จากจดหมายเหตุชีวประวัติซุนฮก โดยเฉินโซ่ว(Biography of Xun Yu)
ซุนฮก หรือ สวินอวี้ (Xun Yu) ชื่อรอง
เหวินรั่ว (Wenruo) เกิดปีค.ศ.162 เป็นชาวอิงฉวน เมืองสวีชางหรือฮูโต๋ มณฑลเหอหนาน เฉินโซ่วบันทึกว่าพื้นเพของซุนฮกว่า เขาเกิดในตระกูลซุนซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงและบารมีมากในจงหยวนหรือภาคกลางของจีน ปู่ของเขาคือซุนซี เคยรับราชการในสมัยพระเจ้าฮั่นซุ่นเต้และฮั่นหวนเต้ ได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองหลางหลิง เกียรติยศชื่อเสียงเลืองลื่อไปทั่วแผ่นดิน ซุนชีมีบุตรชายแปดคน ทั้งหมดมีชื่อเสียงมาก ผู้คนมักเรียกรวมกันว่า “แปดมังกรแห่งตระกูลซุน”
ส่วนบิดาของซุนฮกคือ ซุนกุ๋น เป็นบุตรชายคนรองของซุนชี มีตำแหน่งเจ้าเมืองจื้อหนาน ส่วนอาๆของเขาแต่ละคนก็ล้วนมีตำแหน่งทำงานอยู่ในสำนักสมุหนายก บันทึกประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์ฮั่นระบุว่า ซุนกุ๋นเป็นผู้มีสติปัญญามาก ถึงขนาดได้รับฉายาว่าเป็นบุรุษเหนือคน มีความกล้าหาญ จิตใจกว้างขวาง ใฝ่ใจในการศึกษาหาความรู้ และยังคบหาเป็นมิตรสหายกับผู้คนทั้งปวง
ฝ่ายซุนฮกเมื่อวัยหนุ่มก็ได้เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่ปรากฏเลื่องลือไปทั่ว เหออี้ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงแห่งเมืองหนานหยางได้กล่าวยกย่องซุนฮกอย่างมากกว่า “เด็กหนุ่มคนนี้คือผู้ที่จะช่วยเหลือเจ้าแผ่นดิน” (ต้องการสื่อว่าซุนฮกจะเป็นผู้ช่วยเหลือคนสำคัญของผู้ที่จะเป็นใหญ่นั่นเอง)
ปีค.ศ.189 (ตรงกับปีหย่งฮั่นที่ 1) ซุนฮกได้รับการแนะนำให้เข้ารับราชการในตำแหน่งผู้ตรวจราชการประจำนครหลวง มีหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตและขจัดขุนนางกังฉิน
ระหว่างนั้น ตั๋งโต๊ะได้นำกองทัพจากเมืองเสเหลียงเข้ามายึดอำนาจในเมืองหลวงได้เบ็ดเสร็จ แล้วก็ได้มีการปรับโครงสร้างการปกครอง โยกย้ายถอดถอนและมีการแต่งตั้งขุนนางท้องถิ่นในแต่ละตำแหน่งเสียใหม่ ซุนฮกได้รับตำแหน่งเจ้าเมืองคังฝู แต่ซุนฮกปฏิเสธแล้วขอลาออกจากราชการ กลับไปอยู่ที่บ้านเกิด แล้วเขาก็กล่าวกับพี่ชายของตนว่า
“เมืองอิงฉวนบ้านเกิดของเราเป็นดินแดนที่รายรอบไปด้วยการทำศึกอยู่ทุกด้าน ดังนั้นคงไม่แคล้วตกอยู่ในวังวนของกลียุคท่ามกลางการทำศึกที่เกิดขึ้นในแผ่นดินได้ พวกเราจึงควรหลีกลี้หนีภัยออกจากที่นี่เป็นการด่วนที่สุด” แต่บรรดาชาวบ้านส่วนมากก็ปฏิเสธที่จะหนีภัยสงคราม เพราะพวกเขามีความรักและหวงแหนแผ่นดินบ้านเกิด
ในเวลานั้น ฮันฮก เจ้าเมืองกิจิ๋ว ซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกับซุนฮก ได้ส่งกองกำลังทหารม้าจะไปรับองค์ฮ่องเต้จากนครหลวงลกเอี๋ยง เนื่องจากซุนฮกเห็นว่าไม่มีคนในบ้านเกิดยอมติดตามเขาหนีภัยสงครามไป เขาจึงตัดสินใจนำครอบครัวอพยพไปอยู่ที่เมืองกิจิ๋ของฮันฮกแทน
แต่ต่อมาอ้วนเสี้ยวได้ทำศึกปราบฮันฮกแล้วชิงเมืองกิจิ๋วมาเป็นฐานกำลังของตนได้ จึงเชื้อเชิญซุนฮกให้มาเป็นแขกพิเศษ น้องชายของซุนฮกคือซุนเสี้ยนได้ไปตามคำเชิญของอ้วนเสี้ยวโดยมีกลุ่มบัณฑิตที่มาจากบ้านเดียวกันเช่นพวกของซินผิงและกัวต๋อไปเข้าร่วมกับอ้วนเสี้ยวด้วย ซุนฮกจึงมีความคิดว่าอ้วนเสี้ยวน่าจะผู้ที่สามารถทำการใหญ่ให้ลุล่วงได้
ปีค.ศ.191 (ตรงกับปีซูผิงที่ 2) โจโฉได้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองตงจวิ๋น กำลังสร้างชื่อเสียงไปทั่วในฐานะของขุนศึกผู้เก่งกล้า ซุนฮกจึงตีจากอ้วนเสี้ยว แล้วไปเข้าร่วมกับโจโฉแทน เมื่อได้ซุนฮกมาทำงานให้แล้ว โจโฉมีความยินดีอย่างมาก ถึงกับกล่าวออกมาว่า “นี่คือเตียวเหลียงของข้าพเจ้า” จากนั้นจึงแต่งตั้งให้ซุนฮกเป็นเสนาธิการและนายพันในกองทัพ เวลานั้นซุนฮกมีอายุได้ 29 ปี
อธิบายเสริม
เกี่ยวกับ เตียวเหลียง หรือ จางเหลียง ยอดกุนซือในสมัยต้นยุคราชวงศ์ฮั่นที่โจโฉกล่าวยกย่องเปรียบเทียบกับซุนฮกนั้น เตียวเหลียงก็คือคือยอดกุนซือคู่ใจของ หลิวปัง (เล่าปัง) หรือ พระเจ้าฮั่นเกาจู่ ปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ฮั่น เตียวเหลียงได้รับการยกย่องจากนักประวัติศาสตร์ว่าเป็น 1 ใน 2 สุดยอดกุนซือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีน ด้วยผลงานสำคัญคือการวางแผนเพื่อช่วยชีวิตเหลือหลิวปังไว้หลายครั้ง แล้วยังช่วยวางแผนให้หลิวปังทำศึกปราบราชวงศ์ฉิน และก่อตั้งราชวงศ์ฮั่นขึ้นมาได้ในภายหลัง
ดังนั้นการที่โจโฉกล่าวเปรียบเทียบซุนฮกกับเตียวเหลียงเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่ซุนฮกมีต่อโจโฉอย่างสูงสุด และยังอาจมองว่าซุนฮกคือผู้ที่จะช่วยเหลือให้ตนบรรลุการใหญ่ในการชิงแผ่นดินได้เสมือนที่เตียวเหลียงเคยช่วยหลิวปังให้ได้บัลลังก์และสถาปนาราชวงศ์ฮั่นได้สำเร็จมาก่อนแล้วนั่นเอง
ในขณะเดียวกัน
ตั๋งโต๊ะได้สถาปนาอำนาจของตนขึ้นปกครองเหนือราชสำนักและโดนผู้คนประณามในฐานะของทรราช โจโฉจึงปรึกษากับซุนฮกถึงสถานการณ์แผ่นดิน ซุนฮกกล่าวว่า
“ในเวลานี้ ตั๋งโต๊ะได้ก้าวขึ้นไปสู่ขีดขั้นสูงสุดของการเป็นทรราชแล้ว ดังนั้นก็มีแต่จะผูกโยงไปสู่จุดจบแห่งความโหดเหี้ยมรุนแรงเท่านั้น ตั๋งโต๊ะจะไม่สามารถดำเนินการสิ่งใดได้อีกแล้ว” (ต้องการสื่อว่า ความโหดเหี้ยมของตั๋งโต๊ะจะนำไปสู่จุดจบอย่างที่ไม่อาจจะแก้ไขได้อีก นี่จึงเท่ากับว่าซุนฮกได้ทำนายจุดจบของตั๋งโต๊ะไว้)
ตั๋งโต๊ะส่งขุนพลคนสนิทของตนคือ ลิฉุยและกุยกี ร่วมกับเหล่าขุนพลอีกหลายคนให้นำทัพปราบหัวเมืองทางตะวันออกให้ราบคาบ ทัพของตั๋งโต๊ะเดินทางผ่านบริเวณเมืองตันลิวและอิงฉวน ก็ลงมือสังหารผู้คนและปล้นชิงข้าวไปเป็นอันมาก บรรดาชาวเมืองและคนในตระกูลของซุนฮกที่ยังคงยืนหยัดอยู่ที่เมืองอิงฉวนซึ่งเป็นบ้านเกิด จึงโดนสังหารกันแทบหมดสิ้น
ในปีถัดมา โจโฉได้ตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าเมืองเอียนจิ๋ว และได้รับแต่งตั้งจากราชสำนักให้เป็นนายพลพิทักษ์บูรพา นับแต่นั้นซุนฮกจึงได้ติดตามร่วมทัพกับโจโฉเรื่อยมา
ปีค.ศ.194 (ตรงกับปีซินผิงที่ 1) โจโฉเคลื่อนทัพใหญ่บุกโจมตีโตเกี๋ยม เจ้าเมืองชีจิ๋ว แล้วทิ้งให้ซุนฮกอยู่ดูแลหัวเมืองในแนวหลัง หลังจากโจโฉเคลื่อนทัพบุกเข้าถึงชีจิ๋ว ปรากฏว่าเตียวเมี่ยวและตันก๋งได้วางแผนสมคบกับลิโป้ ก่อกบฏขึ้นที่เมืองเอียนจิ๋ว แล้วทั้งสองก็ได้เชื้อเชิญลิโป้ให้เข้ามาในเมืองโดยอ้างว่าต้องการให้ลิโป้เข้ามาช่วยทำศึกปราบโตเกี๋ยม เมื่อลิโป้เดินทางเข้าเมืองแล้ว เตียวเมี่ยวก็ทำตามแผนโดยให้เล่าอี้เป็นผู้นำสารไปถึงซุนฮกว่า
“ท่านขุนพลลิเดินทางเข้ามาในเมืองก็เพื่อช่วยเหลือท่านโจโฉทำศึกปราบโตเกี๋ยม ขอท่านช่วยมอบเสบียงสำหรับกองทัพให้ในทันที” เวลานั้นไม่มีใครเลยที่รู้ตัวเลยว่าเตียวเมี่ยวได้สมคบคิดกับลิโป้ แต่ซุนฮกคิดว่าเตียวเมี่ยวได้ก่อกบฏขึ้นแล้ว จึงตัดสินใจจัดเตรียมกำลังพลให้พร้อมเพื่อป้องกันเมืองอย่างเข้มแข็ง แล้วซุนฮกก็เร่งส่งสารแจ้งให้แฮหัวตุ้นนำทัพกลับมาช่วยเหลือ และรีบส่งข่าวไปแจ้งให้โจโฉที่กำลังติดพันศึกได้รับทราบข่าวร้ายนี้
สถานการณ์เวลานั้น หัวเมืองทั้งหมดในเอียนจิ๋วได้เข้าร่วมกับลิโป้ทั้งหมดแล้วโดยที่โจโฉนั้นนำทัพใหญ่เคลื่อนบุกโจมตีเมืองชีจิ๋วของโตเกี๋ยมไปแทบทั้งหมด จึงมีกำลังทหารเหลือรักษาแนวหลังอยู่ไม่มากนัก สถานการณ์เวลานั้นคับขันมาก บรรดาขุนนางที่มีตำแหน่งระดับสูงและผู้มีอำนาจบัญชาการทหารในเมืองต่างก็เข้าร่วมกับเตียวเมี่ยวและตันก๋งกันแทบทั้งหมด เมื่อแฮหัวตุ้นนำทัพกลับมาถึง เขาจึงรีบลงมือสังหารแกนนำหลายสิบคนที่ร่วมก่อการในครั้งนี้จนหมดสิ้น จึงทำให้สามารถสยบความวุ่นวายลงได้บ้าง
เวลานั้น กุยกง เจ้าเมืองเอียนจิ๋ว ได้นำทหารราวหมื่นคนมาประชิดที่หน้าประตูเมือง ผู้คนต่างโจษขานว่าเขาได้เข้าร่วมกับลิโป้แล้ว จึงพากันแตกตื่นตกใจมาก กุยกงจึงส่งคนไปเชิญซุนฮกให้มาพบ ซุนฮกยอมออกมาเผชิญหน้ากับกุยกง แต่แฮหัวตุ้นและขุนนางคนอื่นๆคิดว่าซุนฮกไม่ควรเอาตัวไปเสี่ยงเช่นนั้น แต่ซุนฮกกลับกล่าวว่า “กุยกงไม่ได้เป็นสหายกับเตียวเมี่ยวและผู้ร่วมก่อกบฏคนอื่น กล่าวไปแล้ว เขาต้องไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจในแผนการครั้งนี้แน่ ถ้าหากข้าพเจ้าเกลี้ยกล่อมเขาได้ก่อนที่เขาจะตัดสินใจใดๆลงไปก็ย่อมเป็นการดี แต่ถ้าเขาไม่ได้ฟังคำของข้าพเจ้าแล้วไซร้ อย่างน้อยที่สุดก็ยังพอจะทำให้เขาเป็นกลางและไม่เข้าฝ่ายใดได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกเราไม่ยอมตอบรับคำของเขาตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว เขาก็คงจะเข้าร่วมการกบฏด้วยแล้วเมื่อนั้นพวกเราทั้งหมดก็จะตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติเป็นแน่”
ซุนฮกได้ออกมาเผชิญหน้ากับกุยกงโดยไม่หวั่นเกรง กุยกงเห็นซุนฮกมีท่าทีเช่นนั้น จึงคิดว่าเมืองอิงฉวนในการป้องกันของซุนฮกคงยากที่จะบุกพิชิตลงได้เป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงนำกำลังทหารออกไป จากนั้นซุนฮกจึงกลับเข้าไปปรึกษากับเทียหยก ให้ส่งคนไปเจรจาเป็นการลับกับขุนนางในหัวเมืองเอียวจิ๋ว ด้วยแผนการประสานทั้งในและนอกเช่นนี้ จึงทำให้ตันลิวและหัวเมืองหลักทั้งสามแห่งของโจโฉสามารถอยู่รอดปลอดภัยแล้วรอดพ้นจากวิกฤติมาได้
เมื่อโจโฉนำทัพกลับมาจากชีจิ๋วแล้ว จึงรีบนำบัญชาทัพบุกโจมตีลิโป้ที่เมืองปักเอี๊ยง สามารถเอาชนะแล้วไล่ลิโป้ให้ต้องหนีไปทางตะวันออกในที่สุด
ปีค.ศ.195 โจโฉจัดเตรียมทัพ เกณฑ์ไพร่พลเพิ่มได้จำนวนมาก เพื่อจะบุกชีจิ๋วอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันนั้น โตเกี๋ยมได้ล้มป่วยกะทันหันแล้วเสียชีวิตลง โจโฉจึงคิดว่าควรนำทัพบุกตีเมืองชีจิ๋วก่อนและตามจับตัวลิโป้หลังจากนั้น ซุนฮกจึงได้ให้คำปรึกษาที่สำคัญซึ่งได้ช่วยกอบกู้สถานการณ์ของโจโฉในเวลานั้นว่า
“ในครั้งอดีต เล่าปัง (หลิวปัง หรือ ฮั่นเกาจู่ ปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ฮั่น) ได้เข้าพิชิตดินแดนจงหยวน ส่วนจักรพรรดิฮั่นกวงหวู่ก็เข้ายึดดินแดนเฮอไนไว้ได้ ทั้งสองล้วนพิชิตดินแดนได้ก็เพราะมีฐานที่มั่นอันมั่นคงและมีแสนยานุภาพทางทหารที่เข้มแข็ง แต่ทั้งสองพระองค์ก็เคยทำศึกพ่ายแพ้ต่อข้าศึกมาก่อนหลายครั้ง ต้องล่าถอยเมื่อเผชิญกับข้าศึกที่ตั้งรับอย่างเข้มแข็ง นี่จึงแสดงให้เห็นว่าเหตุที่ทั้งสองพระองค์ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้นั้น ก็เพราะนำเอาความผิดพลาดในอดีตมาเป็นบทเรียนเพื่อแก้ไข”
“สำหรับนายท่านนั้น ที่ผ่านมาได้สร้างสมกำลังที่เมืองเอียนจิ๋วจนกลายเป็นรากฐานอันมั่นคงเข้มแข็ง ยามเมื่อท่านต้องเผชิญกับอุปสรรคหรือแพ้พ่ายมา ประชาชนและเหล่าข้าบริวารในหัวเมืองเหล่านี้ต่างก็ยังพร้อมจะยินดีน้อมรับต่อนายท่านด้วยใจจริง ขณะเดียวกันดินแดนระหว่างแม่น้ำฮวงโหและแม่น้ำกิสุยล้วนเป็นจุดยุทธ์ศาสตร์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการชิงอำนาจ แม้ว่าจะโดนแย่งชิงไปไม่น้อยแล้ว แต่กองทหารในดินแดนเหล่านี้ก็ยังมีขวัญกำลังใจเต็มเปี่ยม ในขณะที่ดินแดนกวนจงทางตะวันตกและเมืองเฮอไนนั้น นับเป็นดินแดนสำคัญที่นายท่านจักต้องแย่งชิงมาครองให้ได้โดยเร็ว เวลานี้ฝ่ายเราได้ส่งกำลังทหารรุกขึ้นเหนือเพื่อสยบกลุ่มโจรกบฏ หากว่านายท่านแบ่งไพร่พลไปทำศึกทางเมืองชีจิ๋วแล้ว ตันก๋งก็จะมิกล้าผลีผลามรุกรานเข้าดินแดนของเราได้ ในขณะเดียวกันฝ่ายเราก็สามารถเกณฑ์ผู้คนให้ทำไร่นาเพื่อสะสมเสบียงด้วยระบบถุนเถียน เราก็จะฟื้นฟูเสบียงทัพให้กลับมาเต็มคลังอีกครั้ง แล้วจากนั้นก็สามารถจะทำศึกเอาชนะลิโป้ได้ด้วยการเคลื่อนทัพใหญ่บุกโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งหลังจากเราพิชิตลิโป้ได้แล้ว เราก็จะสามารถผูกมิตรกับหัวเมืองในเอียนจิ๋วแล้วให้เคลื่อนทัพบุกปราบอ้วนสุด เมื่อนั้นเราก็จะสามารถรวบรวมดินแดนในฝั่งตะวันออกได้สำเร็จ”
“จากที่กล่าวมานี้ หากนายท่านเลือกปล่อยลิโป้ไว้เช่นนั้นแล้วเดินทัพไปที่ชีจิ๋วในเวลานี้ ฝ่ายเราก็จะเหลือกำลังพลไม่มากพอที่จะทิ้งไว้ให้ดูแลแนวหลังได้ ถ้าเราทิ้งกำลังทหารไว้น้อยเกินไปแล้วระหว่างนั้นโดนข้าศึกชิงตลบหลังแล้ว ก็คงยากที่จะป้องกันเมืองไว้ได้เป็นแน่ สำหรับฝ่ายเราในยามนี้มีเพียงหัวเมืองทั้งสามที่ว่ามาคือ จวนเฉิง ฟ่าน และ วุย ที่ยังมีสถานะเป็นฐานที่มั่นสำคัญที่สุดของฝ่ายเรา และประชาชนในหัวเมืองทั้งสามนี้ก็ล้วนให้การสนับสนุนต่อพวกเราอย่างเต็มที่ ดังนั้นตราบใดที่ยังมีเมืองทั้งสามนี้อยู่ พวกเราก็จะยังมีฐานที่มั่นสำหรับก่อการต่อไปได้ ถ้าแม้นเสียเมืองเหล่านี้ไป ก็ย่อมเท่ากับเสียเอียนจิ๋วทั้งหมดไปด้วย นายท่านหมายจะชิงเมืองชีจิ๋ว แต่โอ้นายท่าน ข้าพเจ้าขอเรียนถามท่านเถิดว่า ที่แห่งใดกันแน่ที่เรียกว่าเป็นบ้านที่ปลอดภัย หากไม่ใช่เมืองทั้งสามนี้”
“ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเวลานี้โตเกี๋ยมจะสิ้นชีพไป แต่พวกเราก็ยังมิอาจชิงเมืองชีจิ๋วมาได้โดยง่าย นายท่านยังจดจำความพ่ายแพ้เมื่อปีก่อนได้หรือไม่ ชาวชีจิ๋วล้วนมีความหวาดกลัวต่อนายท่าน ทำให้พวกเขาผนึกกำลังกันต่อต้านท่านอย่างไม่คิดชีวิต อีกทั้งดินแดนฝั่งตะวันออกของชีจิ๋วในยามนี้ก็มีเรือกสวนไร่นาอุดมสมบูรณ์ เสบียงอาหารพร้อมสรรพ ทัพชีจิ๋วย่อมเลือกที่จะเอาแต่ตั้งรับอยู่ในกำแพงเมืองโดยไม่ยอมส่งกำลังออกมาสู้ศึกกลางสมรภูมิเป็นแน่ จึงเป็นการยากที่นายท่านจะสามารถบุกตีเมืองให้แตกได้ หรือต่อให้มีการทำศึกเกิดขึ้นจริง แต่ภายในไม่เกินสิบวัน ด้วยสภาพชัยภูมิที่เป็นที่ราบ ฝ่ายข้าศึกก็จะสามารถส่งกำลังหนุนมาเสริมได้อีกหลายหมื่นคน”
“คราก่อนที่พวกเราโจมตีชีจิ๋วแล้วต้องถอยทัพกลับมานั้น กองทัพเราได้สังหารผู้คนและเผาทำลายบ้านเรือนตามรายทางไปจำนวนมาก บรรดาคนหนุ่มสาวที่เห็นเหตุการณ์เหล่านี้ยังคงจำฝังใจไม่รู้ลืม ดังนั้นหากพวกเรายกทัพบุกโจมตีอีกในเวลานี้ พวกเขาก็จะพร้อมผนึกกำลังแล้วยอมสู้ตายถวายชีวิตเพื่อปกป้องดินแดนบ้านเกิดของพวกเขาเองและจะไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อฝ่ายเราเป็นแน่แท้ เมื่อพิจารณาแล้ว จึงไม่มีทางที่ฝ่ายเราจะพิชิตเมืองชีจิ๋วในเร็ววันนี้เลยแม้แต่น้อย”
“จริงอยู่ว่า มีตัวอย่างของการศึกหลายครั้งที่จำต้องตัดใจยอมละสิ่งหนึ่งไป เพื่อให้ได้มาซึ่งอีกสิ่งหนึ่ง บางครั้ง ที่ปรึกษาก็จะให้คำแนะนำที่คำนึงถึงผลได้ผลเสีย คำนึงว่าสิ่งใดคุ้มค่ามากหรือน้อยกว่ากัน ในบางครั้งก็ให้คำปรึกษาที่ต้องตัดสินใจในสภาพการณ์เช่นนี้โดยทันที แต่ที่ปรึกษาเหล่านั้นก็มิได้คำนึงถึงชีวิตของผู้นำหรือรากฐานในการสร้างตัวของผู้นำด้วยเลย อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในยามนี้ของพวกเราล้วนแขวนอยู่บนเส้นบางๆของการล่มสลายได้ทุกเมื่อ ดังนั้นข้าพเจ้าหวังว่านายท่านจะไตร่ตรองถึงเรื่องนี้อย่างรอบคอบที่สุด”
เมื่อโจโฉได้ฟังคำแนะนำของซุนฮกดังนี้แล้ว จึงตัดสินใจทำตามคำแนะนำของซุนฮกเรื่องการให้สะสมกำลังพลและให้ทหารออกไปทำนาด้วยระบบถุนเถียนเพื่อฟื้นฟูเสบียงทัพและให้ความสำคัญต่อรากฐานของสามหัวเมืองในเอียนจิ๋วมาก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจึงค่อยเปิดฉากทำศึกกับลิโป้ต่อมา โจโฉส่งกองทัพบุกเอาชนะลิโป้ได้สำเร็จ ลิโป้ต้องถอยหนีไปทางชีจิ๋ว จึงทำให้โจโฉสามารถรวบรวมหัวเมืองและดินแดนในเอียนจิ๋วให้สงบราบคาบได้ในที่สุด
เผยซงจือแทรกเชิงอรรถที่เป็นประโยชน์มากเกี่ยวกับเมืองชีจิ๋วในเวลานั้นว่า เมืองชีจิ๋วมีประชากรมาก หากต้องมีการเกณฑ์ไพร่พล ก็จะสามารถระดมกำลังได้มหาศาล เฉินโซ่วนั้นถึงกับบันทึกว่ากองทัพของชีจิ๋วถ้าต้องระดมกำลังจริงสามารถมีได้ถึงแสนคนด้วยซ้ำ จึงเป็นหนึ่งในเหตุที่ทำให้โจโฉวิตกไม่น้อยในการปราบชีจิ๋ว
มีชีวประวัติของโจม่านได้บันทึกเพิ่มว่า ด้วยความเหี้ยมโหดของตั๋งโต๊ะ ทำให้ประชาชนในนครหลวงลกเอี๋ยงต้องประสบกับความทุกข์ยากแสนสาหัส ดังนั้นผู้คนจำนวนไม่น้อยจึงพากันหนีตายอพยพไปทางตะวันออก แล้วก็ไปขอพึ่งพิงหัวเมืองในบริเวณเผิงเฉิงกระทั่งถึงเมืองชีจิ๋ว ต่อมาเมื่อโจโฉเดินทัพเข้ารุกรานดินแดนแถบนั้น ก็ให้ทหารบุกสังหารประชาชนทั้งผู้ชายและผู้หญิงไปเป็นจำนวนนับหมื่นคน กระทั่งมาถึงบริเวณแม่น้ำกิสุยก็ไม่สามารถผ่านทางได้ ฝ่ายโตเกี๋ยมก็นำทัพออกมาขุดคูคลองบริเวณอู่หยวนเพื่อใช้สกัดทัพของโจโฉไม่ให้รุกหน้าต่อไป โจโฉจึงสั่งเคลื่อนทัพลงไปทางใต้แล้วบุกโจมตีสามหัวเมืองของแม่น้ำกิสุย สังหารข้าศึกและประชาชนไปจำนวนมหาศาลไม่เว้นแม้กระทั่งไก่หรือสุนัขสักตัว ตามถนนสองข้างทางในตัวเมืองไม่มีผู้คนเหลือรอดชีวิตอยู่เลย
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมในการสังหารผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องของโจโฉมาก และทำให้ชื่อเสียงของเขาด่างพร้อยอย่างหนักมานับแต่นั้น และหัวเมืองในชีจิ๋วและทางตะวันออกก็ไม่ยอมสยบต่อโจโฉโดยดีเลย ยังคงพยายามหาทางก่อการกบฏเรื่อยมาแม้จะเป็นในช่วงที่โจโฉสามารถกุมอำนาจในภาคกลางได้ทั้งหมดแล้วก็ตาม
อธิบายเสริม
การที่โจโฉดึงดันจะพิชิตชีจิ๋วให้ได้นั้น ในนิยายสามก๊กเล่าว่ามีสาเหตุมาจากการที่โจโก๋บิดาของเขาโดนคนของโตเกี๋ยมสังหาร จึงเกิดเป็นความแค้นที่ต้องฆ่างล้างคืนด้วยเลือด การทำศึกปราบชีจิ๋วของโจโฉจึงโหดเหี้ยมรุนแรงมากกว่าการศึกครั้งใด และนับเป็นรอดด่างพร้อยในชีวิตของโจโฉที่ทำให้ดินแดนแถบตะวันออกมีการก่อกบฏและลุกฮือขึ้นต่อต้านอำนาจของโจโฉและตระกูลโจต่อมาอีกหลายครั้ง ซึ่งการบุกปราบชีจิ๋วครั้งนี้ จะพบว่าซุนฮกไม่ได้ร่วมทัพไปด้วย และจากเนื้อหาในจดหมายเหตุข้างต้น ก็ค่อนข้างแสดงให้เห็นว่า เขาไม่เห็นด้วยที่โจโฉจะดึงดันออกศึกปราบชีจิ๋วให้ได้ แต่ซุนฮกให้ความสำคัญกับการปกป้องรักษาสามหัวเมืองในเอียนจิ๋วมากกว่า
วีรกรรมครั้งสำคัญของซุนฮกจึงเกิดขึ้นในศึกดังกล่าวนี้ จากในจดหมายเหตุจะพบว่า การก่อกบฏของเตียวเมี่ยวและตันก๋งซึ่งได้ชักนำลิโป้เข้ามานั้น ส่งผลเสียหายต่อโจโฉมาก ทำให้หัวเมืองในเอียนจิ๋วตกไปอยู่ในอำนาจของลิโป้แทบทั้งหมด สิ่งที่ซุนฮกได้ลงมือป้องกันไม่ให้เสียหายนักขึ้นคือ การรักษาสามหัวเมืองหลักที่ซุนฮกถือว่าเป็น “บ้าน หรือ ฐานที่มั่น” ของโจโฉเอาไว้ให้อยุ่รอดปลอดภัย เขาถือว่าจะเสียที่อื่นไปก็ยังเอาคืนได้ แต่จะเสียหัวเมืองทั้งสามดังกล่าวนี้ไม่ได้เด็ดขาด ซุนฮกและเทียหยกได้วางแผนประสานจนสามารถรักษาเมืองทั้งสามไว้ได้ปลอดภัย นี่นับเป็นผลงานยิ่งใหญ่ของซุนฮกเลยทีเดียว เพราะไม่เช่นนั้นเมื่อโจโฉนำทัพกลับมาแล้ว ก็จะไม่เหลือฐานที่มั่นให้ใช้ก่อการใดๆต่อไปได้อีก
นับแต่นั้นมา โจโฉจึงไว้วางใจมอบหมายหน้าที่สำคัญในการดูแลแนวหลังของตนให้ซุนฮกเป็นผู้รับผิดชอบสูงสุด
ปีค.ศ.196 (ตรงกับปีเจี้ยนอันที่ 1) โจโฉทำศึกปราบปรามโจรผ้าเหลืองบริเวณนครลกเอี๋ยง เวลานั้นพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ได้หนีภัยออกจากนครเตียงอันเพื่อหนีจากพวกลิฉุยและกุยกีแล้วเดินทางกลับสู่นครหลวงลกเอี๋ยง แต่เวลานั้นลกเอี๋ยงมีแต่ซากปรักหักพักเพราะการโดนเผาทำลายด้วยน้ำมือของตั๋งโต๊ะไปก่อนหน้านี้แล้วก็ยังมิได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่เลย โจโฉจึงคิดการจะอัญเชิญฮ่องเต้ไปอยู่ที่นครฮูโต๋ซึ่งจะตั้งให้เป็นนครหลวงแห่งใหม่แทน
แต่ก็มีบางคนแนะนำโจโฉว่า ดินแดนซานตงเวลานี้ยังตกอยู่ในความวุ่นวาย สองขุนศึกเอียวฮองและฮันเหียนหมายจะนำองค์ฮ่องเต้กลับไปอยู่ที่นครลกเอี๋ยง แล้วพวกเขาก็ผูกมิตรกับเตียวเอี๋ยงทางตอนเหนือด้วย สถานการณ์เช่นนี้ทำให้หลายคนคิดเห็นว่าการจะเชิญฮ่องเต้ไปสู่นครหลวงจะมีความเสี่ยงมาก
แต่ซุนฮกมีความเห็นแตกต่างไป แล้วเขาก็ชี้แจงให้โจโฉฟังอย่างละเอียดว่า
“ในอดีตกาล จิ้นเหวินกง ผู้สถาปนารัฐจิ้น ได้อัญเชิญพระเจ้าโจวเซียงอ๋องเสด็จไปประทับที่นครแล้วช่วยเหลือค้ำจุนราชวงศ์โจว ขุนศึกในสมัยนั้นจึงพากันยอมรับในบารมีของจิ้นเหวินกงแล้วยอมสยบให้ทั้งสิ้น หรือครั้งหนึ่ง พระเจ้าฮั่นเกาจู่ก็เคยทรงจัดงานไว้อาลัยพระเจ้าอี้ตี้ ซึ่งเป็นทายาทของอ๋องแห่งรัฐฉู่ที่เซี่ยงหยี่และเซี่ยงเหลียงให้การสนับสนุนให้ขึ้นเป็นฮ่องเต้หุ่นเชิด แต่เมื่ออี้ตี้สิ้นชีพลงด้วยฝีมือของเซี่ยงหยี่ที่มีอำนาจขึ้นมาแล้ว ฮั่นเกาจู่กลับจัดงานเพื่อแสดงความไว้อาลัยให้ ความมีจิตใจกว้างขวางเช่นนี้จึงทำให้ในที่สุดแล้วฮั่นเกาจู่ก็สามารถเอาชนะใจของผู้คนทั้งปวง นำไปสู่ชัยชนะเหนือเซี่ยงหยี่ แล้วสถาปนาราชวงศ์ฮั่นขึ้นได้ในที่สุด”
“ในยุคของเรานี้ เมื่อครั้งที่องค์ฮ่องเต้ต้องหลีบหนีพวกลิฉุยและกุยไป นายท่านเป็นขุนศึกคนแรกที่นำกำลังเข้ามาช่วยเหลือฝ่าบาทและกอบกู้ราชวงศ์ฮั่นเอาไว้ ดินแดนซานตงเวลานี้ตกอยู่ในสภาวะวุ่นวาย นายท่านไม่จำเป็นต้องเดินทางไปปราบศึกด้วยตนเอง เพียงส่งแม่ทัพที่มีความสามารถให้เป็นผู้รับราชโองการจากองค์ฮ่องเต้เพื่อปราบเหล่าโจรร้าย ก็จะสามารถปลุกขวัญกำลังใจของเหล่าทหารและผู้คนได้ เวลานี้ดินแดนรอบนครหลวงล้วนเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย มีเพียงนายท่านที่มีจิตใจมั่นคงเข้าช่วยเหลือค้ำจุนราชวงศ์ฮั่น แล้วจากนี้นายท่านก็สามารถจะอ้างราชโองการจากราชสำนักเพื่อดำเนินการรวบรวมแผ่นดินได้อย่างชอบธรรม”
“องค์ฮ่องเต้และราชสำนักในยามนี้ไม่ได้มีนครหลวงที่ได้รับการยอมรับอย่างชอบธรรม นครหลวงลกเอี๋ยงตกอยู่ในสภาพพังพินาศจากการโดนตั๋งโต๊ะเผาทำลายในคราก่อน ผู้คนที่ยึดมั่นในคุณธรรมทั้งหลายล้วนมีความวิตกว่าระเบียบแบบแผนและมรดกล้ำค่าจากกาลก่อนจะสูญหายไปหมด แม้แต่ผู้คนทั่วไปเองก็มีความระลึกโหยหาในอดีต เพราะเป็นเช่นนี้ การที่นายท่านให้การค้ำจุนองค์ฮ่องเต้จึงยิ่งทำให้ปวงชนมีความยินดีปรีดา พากันแซ่ซ่องสรรเสริญท่าน และมีความหวังที่จะร่วมไปในวิถีทางที่เที่ยงตรงนี้ด้วย นายท่านจึงควรใช้โอกาสนี้ชูธงกองทัพธรรม ก็จะทำให้เหล่าผู้มีสติปัญญาทั้งปวงต่างยินยอมพร้อมใจที่จะเข้าร่วมด้วย ชื่อเสียงของนายท่านจะขจรขจายและได้รับการยกย่องไปทั่วแผ่นดิน แล้วนับประสาอะไรกับคนอย่างฮันเหียนและเอียวฮองที่จะกล้าเป็นศัตรูกับเราได้เล่า ถ้าหากนายท่านไม่ลงมือในตอนนี้ ขุนศึกคนอื่นก็จะชิงตัดหน้าลงมือก่อน เมื่อถึงเวลานี้นทุกอย่างก็จะสายเกินไป”
โจโฉได้คำแนะนำของซุนฮกแล้ว จึงตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการอัญเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้เดินทางจากนครลกเอี๋ยงไปประทับอยู่ที่นครหลวงแห่งใหม่ นั่นคือนครฮูโต๋ (เมืองสวีชาง) จากนั้นโจโฉก็ได้รับแต่งตั้งให้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ “ต้าเจียงจวิน” ส่วนซุนฮกก็ได้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าราชเลขาธิการประจำราชสำนัก “ซ่างซูหลาง” นับแต่นั้น ซุนฮกก็จะได้รับหน้าที่ให้อยู่ดูแลบริหารปกครองบ้านเมืองในแนวหลังให้กับโจโฉเสมอมา แล้วไม่ว่าโจโฉจะออกศึกครั้งใดก็จะส่งสารไปสอบถามความเห็นและแผนการจากซุนฮกทุกครั้งไป โจโฉให้ความไว้ใจมอบหมายงานทั้งด้านการทหารและการปกครองบ้านเมืองให้ซุนฮกดูแลอย่างเต็มที่
จากนั้น โจโฉต้องการบุคลากรที่มีความสามารถเพิ่ม จึงปรึกษาซุนฮกว่าจะมีผู้ใดที่มีความสามารถเหมาะสมบ้าง ซุนฮกกล่าว “มีอยู่สองคน นั่นคือซุนฮิวและจงอิ้ว”
อันที่จริงก่อนหน้านี้ซุนฮกได้เคยแนะนำกุนซืออาวุโสคือ ฮื่อจื่อไช่ ให้กับโจโฉมาแล้ว แต่เมื่อเขาสิ้นชีพลง ซุนฮกจึงได้แนะนำกุยแกให้มารับตำแหน่งกุนซือแทน เนื่องจากบุคคลที่ซุนฮกแนะนำมาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีสติปัญญาล้ำเลิศ มีใจภักดี และไว้วางได้ ช่วยเหลือโจโฉเพาะสร้างขุมกำลังและวางแผนเอาชนะศึกได้หลายครั้ง ดังนั้นโจโฉจึงให้ความไว้ใจในการขอคำปรึกษากับซุนฮกเรื่องการสรรหาบุคลากรตลอดมา โจโฉยังยกย่องว่าซุนฮกมีสายตาหลักแหลมในการมองคนอย่างยอดเยี่ยม อีกทั้งซุนฮกก็พร้อมจะแนะนำคนเหล่านั้นให้มาทำงานกับโจโฉโดยไม่คิดปิดบังหรือมีเงื่อนไขใดๆเลย คนทั้งหลายนี้ส่วนมากค่อนข้างประสบความสำเร็จ มีตำแหน่งหน้าที่สูงส่ง จะมีเพียงแค่ เอียนเฮียง และ อุยคัง ซึ่งเสียชีวิตลงเพราะความพ่ายแพ้ในการศึกหลังจากนี้เท่านั้น
เผยซงจือแทรกเชิงอรรถที่มีบันทึกว่า ซุนฮกเป็นผู้ที่มีบุคลิกนิสัยสุขุมเยือกเย็น สุภาพและอ่อนน้อมถ่อมตน แล้วยังมีรูปโฉมหล่อเหลา สง่าองอาจ และไม่เคยเกียจคร้านจากการทำหน้าที่หรือนั่งรับรองแขกเหรื่อทั้งหลาย แม้ว่าซุนฮกจะมีตำแหน่งเป็นขุนนางสูงส่ง แต่ก็มิเคยถือตัวหรือใฝ่หาลาภยศเข้าสู่ตนเองเพิ่มเติมเลย ซุนฮกมีหลานชายคนหนึ่งซึ่งด้อยสติปัญญาและความกล้าหาญ จึงมีคนแนะนำเขาว่าควรจะใช้อำนาจที่มีแต่งตั้งหลานชายคนนี้ให้มีตำแหน่งในสำนักเลขาธิการเพื่อให้เขาได้พัฒนาตนเอง แต่ซุนฮกเพียงยิ้มให้แล้วตอบว่า “การแต่งตั้งตำแหน่งขุนนางย่อมต้องคัดเลือกจากผู้มีสติปัญญาสามารถที่แท้จริง ถ้าหากข้าพเจ้ากระทำอย่างที่ท่านว่ามาแล้ว จะให้ผู้คนทั้งปวงคิดกับข้าเยี่ยงไรกันเล่า” นี่จึงแสดงให้เห็นถึงความเที่ยงธรรมและซื่อตรงสุจริตของซุนฮกเป็นอย่างดี
นับตั้งแต่โจโฉเข้าค้ำชูองค์ฮ่องเต้ไว้แล้ว ก็ทำให้เขามีอำนาจบัญชาเหล่าขุนศึกได้อย่างชอบธรรม อ้วนเสี้ยวซึ่งเวลานั้นกำลังเรืองอำนาจทางภาคเหนือจึงมีความชิงชังโจโฉมาก เวลานั้นแสนยานุภาพทางทหารของอ้วนเสี้ยวแผ่ขยายปกคลุมดินแดนทางตอนเหนือของแม่น้ำฮวงโหไว้แทบทั้งหมด เป็นที่ยำเกรงของเหล่าขุนศึกในแผ่นดิน ขณะที่ฝ่ายโจโฉในเวลานั้นต้องหวาดวิตกกับขุมกำลังของลิโป้ทางตะวันออกและเตียวซิ่วทางใต้ ฝ่ายอ้วนเสี้ยวเมื่อทราบข่าวว่าโจโฉพ่ายศึกกับเตียวซิ่วที่เมืองอ้วนเสีย จึงมีจดหมายเยาะเย้ยส่งไปถึงโจโฉ จึงทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายย่ำแย่ลง โจโฉโกรธจัดมาก และแสดงท่าทางกระวนกระวายผิดปกติตลอดวัน เหล่าขุนนางคิดว่าเป็นเพราะความพ่ายแพ้จากเตียวซิ่วเป็นสาเหตุหลัก จงอิ้วจึงไปสอบถามความเห็นของซุนฮกในเรื่องนี้ ซุนฮกตอบว่า
“ตามที่ตรองดู
นายท่านจะไม่เอาแต่พร่ำบ่นหรือยึดติดกับความพ่ายแพ้ในอดีตเช่นนี้แน่ ข้าพเจ้าคิดว่าคงต้องมีสาเหตุอื่น” ซุนฮกจึงไปสอบถามกับโจโฉโดยตรง โจโฉจึงยื่นจดหมายที่อ้วนเสี้ยวเขียนเยาะเย้ยถึงตนให้ซุนฮกได้อ่าน แล้วโจโฉจึงกล่าวว่า “ข้าหมายอยากจะนำทัพบุกถล่มเจ้าคนบัดซบนี่ แต่ก็จนใจว่ากำลังของข้าในยามนี้มีไม่เพียงพอ ข้าควรจะทำประการใดดี”
ซุนฮกจึงกล่าวว่า
“เมื่อสำรวจบทเรียนความสำเร็จและความล้มเหลวจากในประวัติศาสตร์แล้วก็พบว่า แม้ว่าผู้นำจะมีความสามารถจำกัด แต่ก็รู้จักแสวงหาผู้มีปัญญามาช่วยเหลือ ก็จะสามารถมีกำลังเข้มแข็งขึ้นได้ เป็นการกลบจุดด้อยและเสริมสร้างจุดแข็งก่อนเป็นลำดับแรก ขณะเดียวกัน ผู้ที่ถือตนว่าเข้มแข็งแล้วถือเอาแต่ตนเองเพียงลำพัง ก็จะกลายเป็นอ่อนกำลังลงได้เช่นกัน ในประวัติศาสตร์มีบทเรียนเรื่องการต่อสู้ระหว่างหลิวปังและเซี่ยงหยี่ให้เห็นกันอยู่แล้ว หลิวปังเดิมอ่อนแอ ส่วนเซี่ยงหยี่เข้มแข็งเหนือประมาณ แต่หลิวปังรู้จักแสวงหาผู้คนที่มีความสามารถ จึงสำเร็จการใหญ่ ส่วนเซี่ยงหยี่ถือดีแต่ความเก่งกาจของตนเองจึงล้มเหลว”
“มาบัดนี้
เมื่อเปรียบเทียบนายท่านและอ้วนเสี้ยวแล้วจะพบเห็นข้อแตกต่าง อ้วนเสี้ยวแสดงท่าทีเปิดกว้างในการรับผู้คน แต่แท้จริงแล้วมีจิตใจคับแคบและระแวงสงสัยมากเกินไปในการใช้งานผู้มีความสามารถ ส่วนนายท่านมีใจเที่ยงธรรมและละเอียดรอบคอบ ท่านช่วงใช้ผู้คนให้ทำงานตามสติปัญญาความสามารถที่พวกเขามีโดยไม่ระแวงสงสัย นี่คือความสามารถในการประเมินผู้คนอันยอดเยี่ยมของนายท่าน”
“อ้วนเสี้ยวนั้นทำสิ่งใดล้วนโลเลมากความ และปราศจากความหนักแน่น ส่วนนายท่านหนักแน่นมั่นคง และสามารถปรับเปลี่ยนยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์ได้เหมาะสม นี่นับเป็นความสามารถในการบริหารของนายท่าน”
“อ้วนเสี้ยวนั้นปราศจากการยึดถือในวินัยทัพ และเอาแต่คิดว่ากำลังทหารที่มีจำนวนมากกว่าจะนำชัยมาได้ เขายังไร้ความสามารถในการบัญชาการด้วย ส่วนนายท่านนั้นหนักแน่นในระบบการให้รางวัลและการลงโทษตามวินัยทัพอย่างชัดเจนและเที่ยงตรง ทหารของท่านจึงล้วนยอมสู้ตายถวายชีวิตให้ได้ นี่นับเป็นความสามารถในการทหารของนายท่าน”
“อ้วนเสี้ยวเอาแต่คนใกล้ชิดเป็นหลักแม้จะเป็นพวกประจบสอพลอและไม่สนใจผู้อยู่ห่างไกลที่ซื่อสัตย์ภักดี ส่วนนายท่านปฏิบัติต่อผู้คนทั้งหลายไม่ว่าจะใกล้หรือไกลด้วยความเมตตาเสมอกัน จึงทำให้นายท่านได้ใจของผู้ภักดีอย่างแท้จริง นี่นับเป็นความสามารถในการสร้างขวัญกำลังใจของนายท่าน”
“นายท่านสนับสนุนค้ำชูองค์ฮ่องเต้ ชื่อเสียงระบือไกลทั้วคาบสมุทรทั้งสี่ทิศ ชิงชังความชั่วร้ายทั้งหลาย แล้วเช่นนี้ผู้ใดเล่าจะมิยอมติดตามนายท่าน ฝ่ายอ้วนเสี้ยวต่อให้จะมีกำลังทหารมากเพียงใดนั้น จะนับเป็นอะไรได้”
โจโฉได้ฟังคำของซุนฮกแล้วก็มีความยินดีมาก ซุนฮกยังกล่าวต่อว่า “แต่ทั้งนี้ หากพวกเราไม่จัดการลิโป้ลงให้ได้ก่อนอื่นใดแล้ว ย่อมเป็นการยากที่ฝ่ายเราจะสามารถรับศึกกับอ้วนเสี้ยวในภายหน้าได้เป็นแน่”
โจโฉจึงเห็นด้วยว่าควรต้องจัดการลิโป้ลงให้ได้ก่อน เขาถามว่า “เหตุที่ว่าทำไมข้าจึงหัวเสียและหวาดเกรงในตัวอ้วนเสี้ยวนัก ก็เป็นเพราะหากอ้วนเสี้ยวทำศึกสยบดินแดนทางภาคเหนือไว้ได้หมดแล้วผูกมิตรกับเผ่าเกี๋ยงและหูที่นอกด่าน แล้วดึงกำลังพลจากทางใต้ของดินแดนจ๊กและฝั่งแม่น้ำฮั่นสุยให้มาเข้าร่วมได้เมื่อใด ข้าก็จะต้องเผชิญหน้ากับศึกรอบทิศทางในทันที สถานการณ์เช่นนี้ย่อมคับขันยิ่งนัก ข้าควรจะแก้ไขอย่างไรดี”
ซุนฮกตอบกลับว่า
“ผู้นำทัพทั้งหลายนั้นอาจมีกำลังพลมากก็จริง แต่พวกเขามิได้รวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกันเลย ข้างฝ่ายม้าเฉียวและหันซุยนั้นมีขุมกำลังที่เข้มแข็ง หมายเข้ายึดชิงดินแดนซานตง พวกเขาก็จะสามารถระดมไพร่พลเพิ่มแสนยานุภาพขึ้นได้อีก แต่หากเราส่งทูตไปขอเจรจาสงบศึกด้วยดีแล้ว แม้จะไม่ถึงขั้นซื้อเวลาได้นานเท่าไรนัก แต่ก็ยังพอจะยื้อเวลาไว้ให้เราได้สั่งสมกำลังให้พร้อมที่จะยึดดินแดนซานตงได้ ข้าพเจ้าขอเสนอท่านจงอิ้วให้เป็นผู้รับภาระหน้าที่ในการดูแลดินแดนฝั่งตะวันตก ท่านจงอิ้วเป็นผู้ที่ไว้วางใจได้ นายท่านจะมิต้องกังวลในเรื่องนี้อีก”
ดังนั้น
โจโฉจึงทำตามคำแนะนำของซุนฮก แล้วมอบหมายให้จงอิ้วรับหน้าที่ดูแลและฟื้นฟูนครลกเอี๋ยง รวมถึงป้องกันศึกจากทางตะวันตกต่อไป
อธิบายเสริม
ไม่ว่าจะในจดหมายเหตุหรือในนิยายสามก๊ก เรื่องราวในช่วงนี้อาจถือว่าคือการแสดงสติปัญญาความสามารถและเป็นผลงานชิ้นใหญ่ที่สุดของซุนฮก สำหรับการช่วยโจโฉสร้างขุมกำลังขึ้นมา ซึ่งนั่นก็คือ ข้อเสนอให้โจโฉเข้าไปอุ้มชูองค์ฮ่องเต้และราชวงศ์ฮั่นไว้ ไม่ให้ต้องล่มสลายลงไป จึงทำให้โจโฉกลายเป็นขุนศึกเพียงผู้เดียวในแผ่นดินเวลานั้นที่มีความชอบธรรมในฐานะเป็นผู้พิทักษ์ฮ่องเต้และราชสำนัก ดั่งคำที่ว่า “เชิดชูฮ่องเต้ บัญชาเหล่าขุนศึก”
ในขณะที่เหล่าที่ปรึกษาคนอื่นต่างก็ไม่แน่ใจและเกรงว่าการเข้าไปโอบอุ้มช่วยเหลือฮ่องเต้จะได้ไม่คุ้มเสีย เพราะจะทำให้ต้องรับศึกกับเหล่าขุนศึกกลุ่มต่างๆเพิ่ม และยังอาจเป็นภาระเกินจำเป็น แต่ซุนฮกเป็นผู้ที่ยืนยันอย่างหนักแน่นและชี้ให้โจโฉเล็งเห็นถึงผลได้ผลเสีย รวมถึงบทเรียนทางประวัติศาสตร์ เพื่อให้โจโฉมีความมั่นใจมากขึ้น แล้วผลก็เป็นไปอย่างที่ทราบ นั่นคือในช่วงระหว่างที่ซุนฮกยังมีชีวิตอยู่แล้วช่วยเป็นที่ปรึกษาให้โจโฉ ก็ทำให้ชื่อเสียงของโจโฉค่อนข้างเป็นไปในด้านบวก และความสัมพันธ์กับราชวงศ์ฮั่นก็ค่อนข้างเป็นไปด้วยดีมาก อีกทางหนึ่งจึงอาจกล่าวว่า สาเหตุที่ซุนฮกเลือกรับใช้โจโฉอย่างเต็มกำลังนั้น เพราะเขายึดมั่นในราชวงศ์ฮั่น และมีความเชื่อว่าโจโฉจะสามารถเป็นผู้กอบกู้ราชวงศ์ฮั่นเอาไว้ให้อยู่รอดปลอดภัยในกลียุคเช่นนี้ได้นั่นเอง
ซุนฮกยังเป็นผู้ที่ช่วยคัดสรรบุคลากรและแนะนำผู้มีสติปัญญาและมีคุณธรรม ให้พากันตบเท้าเข้ามาอยู่กับโจโฉด้วยมากที่สุด ยอดกุนซือที่มีสติปัญญาในการวางแผนอย่างเช่น กุยแก ซุนฮิว หรือยอดขุนนางตงฉินอย่างเช่น จงอิ้ว มอกาย ก็ล้วนมาจากการแนะนำของซุนฮกด้วยกันทั้งหมด ดังนั้นเครือข่ายบุคลากรของโจโฉในช่วงเริ่มสร้างขุมกำลังนี้ จึงมีจิตใจที่ภักดี และมุ่งการทำงานเพื่อเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน โดยมีซุนฮกเป็นผู้กุมนโยบายหลักอีกทีหนึ่ง
แล้วซุนฮกยังประเมินคุณลักษณะของโจโฉและอ้วนเสี้ยวได้อย่างกระจ่าง ซึ่งเขาได้ช่วยยืนยันให้โจโฉมั่นใจว่า จำนวนทหารไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุดในการทำศึก ดังนั้นแม้ว่าโจโฉจะมีความร้อนใจที่จะเปิดศึกกับอ้วนเสี้ยวเพียงใด ซุนฮกก็ยังเน้นว่าเป้าหมายแรกที่ต้องจัดการก่อนอื่นเลยก็คือลิโป้ที่จะเป็นหอกข้างแคร่ทุกเมื่อนั่นเอง เพื่อที่ว่าโจโฉจะได้มีความพร้อมในการทำศึกกับอ้วนเสี้ยวได้โดยที่ไม่ต้องพะวงกับแนวรบด้านตะวันออกอีกต่อไป
ปีค.ศ.198 (ตรงกับปีเจี้ยนอันที่ 3) โจโฉตัดสินใจเคลื่อนทัพพิชิตเตียวซิ่วเพื่อชำระแค้นคราก่อน จากนั้นก็เปิดศึกกับลิโป้ขั้นเด็ดขาด ในที่สุดก็สามารถพิชิตเมืองแห้ฝือแล้วจับตัวลิโป้ ประหารชีวิตลง แล้วเข้ายึดครองเมืองชีจิ๋วทั้งหมดได้สำเร็จ จากนั้นโจโฉจึงเตรียมเปิดศึกกับอ้วนเสี้ยวต่อมา
เวลานั้น ขงหยงได้เข้าปรึกษากับซุนฮก เพราะเห็นว่ายังไม่ควรเปิดศึกกับอ้วนเสี้ยว โดยขงหยงกล่าวว่า “อ้วนเสี้ยวมีอาณาเขตปกครองกว้างใหญ่ไพศาล กำลังทหารเข้มแข็ง แล้วยังมีเหล่ากุนซือที่มีสติปัญญาอย่างเช่นเตียนห้องและเขาฮิว มีขุนนางที่มีความภักดีอย่างเช่น สิมโพย และ ฮองกี๋ และมียอดขุนพลผู้เก่งกล้าเหนือคนอย่างเช่น งันเหลียง และบุนทิว นำหน้าเหล่าทหาร การจะพิชิตอ้วนเสี้ยวนั้นจึงเป็นการยากแสนสาหัสยิ่งนัก!!”
ซุนฮกกลับโต้แย้งแล้ววิจารณ์บุคลากรของอ้วนเสี้ยวว่า “อ้วนเสี้ยวมีไพร่พลมหาศาลก็จริง แต่วินัยทัพหย่อนยาน ขาดการบัญชาการที่ดี ด้านเตียนห้องนั้นแม้จะเก่งกาจกล้าหาญแต่เขาแข็งทื่อและขาดประมุขศิลป์ จึงไม่สามารถโน้มน้าวใจของเจ้านายได้ ส่วนเขาฮิวนั้นเป็นคนโลภมากที่เอาแต่หวังในลาภยศและยังไร้ซึ่งคุณธรรม ด้านสิมโพยนั้นแม้มีใจภักดีแต่ก็โง่เขลาเบาปัญญา ส่วนฮองกี๋นั้นแม้มีความหนักแน่นแต่ก็เห็นแก่ผลประโยชน์ของตัวเอง สองคนหลังนี้ยังแบ่งฝักแบ่งฝ่ายต่อกัน ทำให้ภายในเหล่าขุนนางแตกแยก แล้วถ้าแม้นว่าใครสักคนจับคนในครอบครัวของเขาฮิวไปลงโทษตามกฎหมายด้วยข้อหาว่ากระทำการทุจริตแล้ว รับรองได้ว่าจะไม่มีใครยอมละเว้นชีวิตพวกเขาแน่ เมื่อนั้นเขาฮิวก็จะหาเหตุตีจากออกมาแน่นอน ส่วนขุนพลอย่างงันเหลียงและบุนทิวนั้น ทั้งสองคนนี้มีแต่เพียงความกล้าหาญในการเข้าสมรภูมิเท่านั้น เราสามารถวางแผนจับกุมและสังหารพวกเขาได้ตั้งแต่การศึกครั้งแรกเลยด้วยซ้ำไป”
ปีค.ศ.200 (ตรงกับปีเจี้ยนอันที่ 5) โจโฉจึงตัดสินใจเปิดศึกครั้งใหญ่กับอ้วนเสี้ยวที่กัวต๋อ ฝ่ายโจโฉนั้นเสียเปรียบในด้านกำลังพลและเสบียงอาหารก็ขาดแคลนมาก โจโฉร้อนใจมากจึงเขียนจดหมายไปถามความเห็นของซุนฮกว่าควรถอยทัพกลับไปตั้งมั่นที่นครฮูโต๋ แล้วล่อให้ทัพใหญ่ของอ้วนเสี้ยวติดตามมาจะเป็นการดีกว่าหรือไม่ แต่ซุนฮกตอบว่า
“นายท่านสอบถามข้าพเจ้าว่าควรถอยทัพหรือไม่ควรถอยนั้น ในความเห็นของข้าพเจ้าคือ ฝ่ายทัพเรามีเสบียงเหลือน้อย ส่วนอ้วนเสี้ยวนั้นรวมกำลังแทบทั้งหมดมาไว้ที่กัวต๋อ กล่าวไปแล้วสถานการณ์ของเราในเวลานี้นับว่ายังดีกว่าเหตุการณ์ในอดีตเมื่อครั้งหลิวปังและเซี่ยงหยี่ทำศึกเผชิญหน้ากันขั้นเด็ดขาดที่สิงหยางและเฉิงเก่า ในครั้งนั้นหลิวปังหรือเซี่ยงหยี่ ฝ่ายใดที่เลือกถอยทัพก่อนก็จะมีกำลังลอดน้อยถอยลง ขวัญกำลังใจสูญเสียจนยากจะกู้คืนได้ เช่นเดียวกัน หากนายท่านถอยทัพครั้งนี้ อ้วนเสี้ยวก็จะมีกำลังเหนือว่าแล้วเขาครองดินแดนฝั่งแม่น้ำฮวงโหไว้ได้ นายท่านเองก็จะเสียกำลังที่จะทำศึกได้อีก”
“มาบัดนี้ นายท่านทำศึกต้านทานทัพอ้วนเสี้ยวที่มีกำลังไพร่พลเหนือกว่าชนิด 1 ต่อ 10 คน หากว่านายท่านสามารถต้านทานศึกนี้เอาไว้ได้อีกสักครึ่งปี เมื่อนั้นสถานการณ์ก็จะพลิกผัน เป็นโอกาสให้ฝ่ายเราใช้แผนกลยุทธ์พิสดารเพื่อเอาชัยได้ ขอนายท่านอย่าได้เสียโอกาสล้ำค่านี้ไปโดยเด็ดขาด!!”
เมื่อได้อ่านความเห็นนี้ โจโฉจึงเลือกที่จะต้านทานศึกต่อไป กระทั่งสถานการณ์เกิดพลิกผันตามคำบอกของซุนฮก เมื่อสิมโพยจับกุมครอบครัวของเขาฮิวลงโทษในข้อหาทุจริต เขาฮิวจึงผละจากไปสวามิภักดิ์กับโจโฉแทน โจโฉได้ทราบข่าวจากเขาฮิวถึงสถานที่ตั้งค่ายเสบียงหลักของอ้วนเสี้ยว ดังนั้นโจโฉจึงบัญชาทัพด้วยตนเองในยามวิกาลบุกโจมตีค่ายเสบียงหลัก สังหารบุนอิเองผู้เฝ้าค่ายและขุนพลอีกหลายคนทิ้ง ความเสียหายครั้งนี้ใหญ่หลวงมาก อ้วนเสี้ยวจึงสั่งถอยทัพทั้งหมดกลับไป
สำหรับบุคคลสำคัญอื่นในทัพอ้วนเสี้ยวนั้น ล้วนเป็นไปตามที่ซุนฮกคาดการณ์ไว้ นอกเหนือจากเขาฮิวที่แปรพักตร์ตามคาดแล้ว งันเหลียงและบุนทิว สองขุนพลเอกก็โดนสังหารจนตายในสนามรบ (งันเหลียงโดนกวนอูสังหาร ส่วนบุนทิวโดนโจโฉและซุนฮิววางกับดักสังหาร) ฝ่ายเตียนห้องนั้นโดนจับกุมขังเพราะมีความเห็นขัดแย้งกับอ้วนเสี้ยวอย่างรุนแรง เมื่ออ้วนเสี้ยวถอยกลับไปแล้วก็สั่งประหารชีวิต ทุกความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับทัพอ้วนเสี้ยว จึงเป็นไปตามที่ซุนฮกได้คาดการณ์ไว้ทั้งสิ้น
อธิบายเสริม
ยุทธการกัวต๋อ เป็นศึกใหญ่ที่จะตัดสินชี้ขาดว่าระหว่างโจโฉและอ้วนเสี้ยว ใครกันที่จะได้ขึ้นเป็นขุนศึกผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคกลางและภาคเหนือ ซึ่งก็จะส่งผลให้เป็นผู้ที่ใกล้เคียงต่อการครองแผ่นดินมากที่สุดด้วย แต่สถานการณ์เวลานั้น โจโฉมีกำลังพลด้อยกว่า อีกทั้งยังไม่สามารถรวมศูนย์กำลังทั้งหมดมารับศึกอ้วนเสี้ยวได้ เพราะต้องกระจายกำลังพลไปตามแนวรบด้านต่างๆ แต่อ้วนเสี้ยวสามารถรวมกำลังทั้งหมดเปิดศึกกับโจโฉได้โดยไม่ต้องพะวงหลัง เพราะเขตปกครองของเขาไม่ได้รายล้อมไปด้วยขุนศึกกลุ่มใดเลย ในขณะที่ฝ่ายโจโฉนั้นโดนปิดล้อมแทบทุกทางจากขุนศึกกลุ่มต่างๆ สถานการณ์ของโจโฉเวลานั้นจึงคับขันมาก การตัดสินใจใดๆล้วนส่งผลต่อความอยู่รอดแทบทั้งสิ้น
ข้อเสนอของซุนฮกที่ให้โจโฉยืนหยัดป้องกันต่อไปอีกครึ่งปีเพื่อรอให้ในทัพของอ้วนเสี้ยวเกิดความเปลี่ยนแปลง แล้วฉวยโอกาสใช้แผนกลยุทธ์พิสดาร ดูผิวเผินแล้วจึงเป็นแผนการที่เรียบง่าย และยังต้องอาศัยการออกแรงของโจโฉอีกมากจึงจะชนะได้ เพราะถ้าหากว่าในทัพของอ้วนเสี้ยวไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่ซุนฮกคาดการณ์ล่ะ หรือหากว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจริงๆ แต่โจโฉไม่มีแผนการที่จะฉวยโอกาสนั้นได้ ทุกอย่างก็ยังต้องเข้าสู่สภาพเดิม อีกทั้งโจโฉมีเสบียงเหลือน้อยกว่า หากต้องต้านทานต่อไปก็มีแต่จะพ่ายแพ้เท่านั้น ดังนั้นหากมองในมุมนี้ แผนการของซุนฮกจึงดูไม่ดีมีความพิสดารหรือช่วยให้โจโฉเอาชนะศึกได้เลย แต่หากวิเคราะห์ลงไปให้ดีแล้ว อาจจะพบว่าในแผนการที่ซุนฮกเขียนบอดในจดหมายนี้มีความนัยซุกซ่อนไว้ก็เป็นได้
ก่อนหน้านี้ซุนฮกเคยวิเคราะห์ให้โจโฉฟังถึงคุณลักษณ์ของผู้นำที่แตกต่างกันระหว่างโจโฉและอ้วนเสี้ยว ซึ่งในจดหมายเหตุบทประวัติกุยแกเองก็มีเรื่องราวนี้เช่นกัน (แต่การแจกแจงทั้งสิบข้อของกุยแกแจกมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากกว่า) ในจดหมายเหตุข้างต้นก็จะพบว่า ซุนฮกเคยชี้แจงเรื่องจุดด้อยในทัพของอ้วนเสี้ยวให้ขงหยงฟังเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้อด้อยในด้านบุคลิกภาพของอ้วนเสี้ยว และปัญหาภายในจากบุคลากรของอ้วนเสี้ยวเองซึ่งแม้ว่ากุนซืออย่างเตียนห้อง หรือเขาฮิว จะมีความสามารถ แต่ก็มีจุดอ่อนร้ายแรงที่ส่งผลเสียหายถึงตายได้ แม้กระทั่งขุนพลชื่อดังอย่างเช่น งันเหลียง และบุนทิว ซึ่งมีความสามารถในการทำศึกเก่งกล้า เหนือกว่าขุนพลของโจโฉหลายคนด้วยซ้ำ แต่ซุนฮกก็ประเมินว่าการจัดการกับพวกเขาทั้งสองนั้นทำได้ไม่ยากเลย และผลก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ
เรื่องทั้งหมดนี้ ในเมื่อซุนฮกเคยกล่าวให้ขงหยงฟังมาก่อน แล้วมีหรือที่จะไม่เคยนำไปปรึกษาหรือแนะนำให้โจโฉฟังมาก่อนหน้าที่จะเริ่มเปิดศึกเลยสักครั้งเล่า เป็นไปได้สูงว่า ซุนฮกและโจโฉเคยปรึกษาเรื่องราวเหล่านี้กันมาแล้ว เพียงแต่จดหมายที่ซุนฮกตอบกลับโจโฉนั้น เป็นการเตือนและตอกย้ำถึงสิ่งที่เคยวางแผนกันมาก่อนตั้งแต่เริ่มเปิดศึกก็เป็นได้ อีกทั้งโจโฉก็มีความมั่นใจมากในการทำตามคำแนะนำของซุนฮก ดังนั้นแผนเหล่านี้จึงน่าจะได้เตรียมการมาก่อนแล้ว นอกจากนี้ ภายหลังจากนี้ไปอีกสิบกว่าปี โจโฉก็เคยใช้แผนการลักษณะนี้กับเหล่าขุนพลของตนเช่นกัน นั่นคือการเตือนและตอกย้ำถึงบทบาทหน้าที่และสิ่งที่ได้วางแผนกันไว้ก่อน ให้ผู้รับปฏิบัติได้มีความมั่นใจยิ่งขึ้น นั่นคือกรณีของศึกหับป๋า โจโฉให้แผนการลับมอบไว้กับเตียวเลี้ยว ลิเตียน และงักจิ้น เป็นการเตือนย้ำเรื่องแนวทางแผนการสู้ศึกที่เตรียมไว้ให้ชัดเจนอีกครั้ง คล้ายคลึงกับกรณีของซุนฮกที่ตอบจดหมายโจโฉมาก ดังนั้นกรณีศึกกัวต๋อนี้จึงน่าจะเป็นเช่นเดียวกัน
แม้ว่าซุนฮกจะไม่ได้ออกหน้าช่วยโจโฉวางแผนทำศึกในสนามรบ แต่ความสำเร็จในศึกกัวต๋อนี้ ก็นับว่าซุนฮกได้รับผลงานไปอย่างมาก ประวัติศาสตร์และในนิยายสามก๊กก็ให้การยกย่องซุนฮก ไม่ว่าจะในเรื่องที่ช่วยดูแลแนวหลังให้โจโฉอย่างมั่นคง ทำให้โจโฉไม่ต้องพะวงหลัง สู้ศึกได้เต็มที่ และการที่ซุนฮกย้ำเตือนโจโฉให้ยืนหยัดสู้ศึกต่อไปแล้วฉวยโอกาสสำคัญไว้อย่าให้พลาด ทั้งหมดนี้จึงล้วนเป็นเครดิตสำคัญที่ยิ่งใหญ่ของซุนฮกอย่างยากที่จะปฏิเสธได้
ปีค.ศ.201 (ตรงกับปีเจียนอันที่ 6) โจโฉไปนำทหารเก็บเสบียงที่อันหมิน แต่ได้เสบียงมาไม่มากนัก จึงไม่เพียงพอที่จะเดินทัพรุกขึ้นเหนือต่อเพื่อพิชิตอ้วนเสี้ยวที่ถอยกลับไปทางเหนือแล้ว ดังนั้นโจโฉจึงคิดจะบุกปราบเล่าเปียวแทน แต่ซุนฮกกล่าวว่า “อ้วนเสี้ยวเพิ่งจะพ่ายศึกกับฝ่ายเรา เวลานี้กำลังขวัญทหารของอ้วนเสี้ยวตกต่ำลงมาก พวกเราจึงควรใช้โอกาสนี้พิชิตอ้วนเสี้ยวและตระกูลอ้วนที่เหลือลงให้ได้จนหมดสิ้น ถ้าแม้นพวกเราย้อนกลับไปเดินทัพต่อไปทางใต้ของแม่น้ำแยงซีและฮั่นสุยแล้ว ก็จะเป็นโอกาสให้อ้วนเสี้ยวสามารถรวมกำลังพลที่เหลือแล้วจัดทัพกลับมาบุกโจมตีตลบหลังเราได้ ดังนั้นนายท่านจึงควรปราบตระกูลอ้วนลงให้ได้ก่อน”
ดังนั้น โจโฉจึงกระจายกำลังทหารเข้ายึดดินแดนบริเวณริมแม่น้ำฮวงโหไว้จนดหมด เพื่อสะสมเสบียงเพิ่ม ขณะเดียวกัน อ้วนเสี้ยวซึ่งพ่ายศึกที่กัวต๋อไปนั้น ก็ตรอมใจอย่างหนักจนล้มป่วย ในที่สุดก็สิ้นชีพลง ดังนั้นโจโฉจึงสั่งเคลื่อนทัพข้ามแม่น้ำฮวงโหแล้วบุกโจมตีบุตรชายทั้งสองคนของอ้วนเสี้ยว นั่นคือ อ้วนถำและอ้วนซง ขณะเดียวกัน พันธมิตรของตระกูลอ้วนคือโกกั๋นและก๊วยเอี๋ยนก็ได้ถือโอกาสก่อการขึ้นในดินแดนเหอตง แล้วร่วมกันโจมตีด่านทางตะวันตกเพื่อกระหนาบโจโฉอีกทาง แต่จงอิ้วเจ้าเมืองลกเอี๋ยง ก็ได้แก้สถานการณ์ด้วยการเจรจาสงบศึกกับม้าเท้งแห่งเสเหลียง แล้วร่วมมือกันปราบพวกโกกั๋นและก๊วยเอี๋ยนจนราบคาบ
ปีค.ศ.203 (ตรงกับปีเจี้ยนอันที่ 8) ด้วยผลงานความชอบที่ผ่านมาทั้งหมด โจโฉจึงถวายฎีกาเพื่อแต่งตั้งให้ซุนฮกขึ้นเป็นพระยาแห่งว่านสุย
โจโฉยังได้เขียนฎีกาถวายองค์ฮ่องเต้ เพื่อกล่าวยกย่องสรรเสริญซุนฮกว่า
“ท่านสมุหราชเลขาธิการซุนฮก เป็นผู้มีสติปัญญาสามารถและปฏิบัติหน้าที่ด้วยดี ไม่เคยทำสิ่งให้ผิดพลาด ทุกวันนี้โลกเราตกอยู่ในกลียุค ผู้คนต้องพบความทุกข์ทรมานแสนสาหัส ดังนั้นข้าพระองค์จึงมุ่งถวายความภักดีและช่วยเหลือราชสำนักด้วยดีเสมอมา นับตั้งแต่ข้าพระองค์ชูธงตั้งกองทัพธรรมขึ้นเพื่อบ้านเมืองแล้ว ซุนฮกก็ได้ร่วมต่อสู้เคียงข้างข้าพระองค์เสมอมา เขานับเป็นบุคคลที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จทั้งหลาย แผนการทั้งหมดจากความคิดของเขาล้วนแต่ล้ำเลิศ แผนกลยุทธ์ทางทหารของเขาไม่เคยผิดพลาดเลย จึงกล่าวได้ว่า ซุนฮกคือผู้ที่แบกรับภาระยิ่งใหญ่ในการช่วยข้าพระองค์บริหารปกครองบ้านเมือง หากว่าท้องนภาเต็มไปด้วยเมฆหน้าปกคลุมแล้วไซร้ นี่ย่อมเป็นดั่งแสงสว่างเจิดจ้าของดวงตะวันและแสงนวลผ่องอำไพจันทราที่ช่วงนำทางและปัดเป่าเมฆหมอกทั้งหลายที่ขวางทางอยู่ให้ออกไปจนสิ้น”
“ข้าพระองค์มีความยินดียิ่งนักที่ได้ซุนฮกอยู่เคียงข้างให้คำปรึกษาที่สำคัญเรื่อยมา เขาได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความภักดี อุทิศตนโดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก น่าเคารพนับถือ นอบน้อมถ่อมตน อีกทั้งยังมีความห่วงใยผู้คนทั้งหลาย เขายังมีความมุ่งมั่นพัฒนาพรสวรรค์ของตนจนถึงขีดขั้นสูงสุดเพื่อให้ปกครองบ้านเมืองได้ด้วยดี ภายใต้การบริหารด้วยคุณธรรมและความเมตตาของซุนฮก บ้านเมืองจึงอยู่ในความสงบสุขได้อีกครั้ง ข้าพระองค์จึงเห็นควรให้ราชสำนักมอบตำแหน่งที่เขาจะสามารถแสดงความสามารถได้ยิ่งขึ้นและคู่ควรกับความรอบรู้ของเขาได้มากที่สุด”
ดังนั้นซุนฮกจึงยอมรับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทั้งหมดที่โจโฉได้เสนอแก่ทางราชสำนักนับแต่นั้นมา
ปีค.ศ.204 (ตรงกับปีเจี้ยนอันที่ 9) โจโฉได้นำกองทัพเข้าพิชิตเมืองเย่ ซึ่งเป็นเมืองเอกของตระกูลอ้วนมาครองได้สำเร็จ แล้วก็เป็นการปราบเมืองกิจิ๋วลงได้ด้วย จึงมีบางคนแนะนำว่า “น่าจะเป็นการดีหากว่าได้รื้อฟื้นระบบปกครองในสมัยราชวงศ์โจวด้วยการแบ่งหัวเมืองทั้งหลายออกเป็นเก้ามณฑลหลักให้กลับคืนมาอีกครั้ง ในครั้งนี้ ฝ่ายเรามีมณฑลกิจิ๋วที่มีอาณาเขตปกครองกว้างใหญ่ที่สุด แล้วทั่วทั้งแผ่นดินก็จะได้รับรู้โดยทั่วไปถึงบารมีอันยิ่งใหญ่ของนายท่าน” โจโฉฟังแล้วก็ค่อนข้างเห็นชอบด้วย แต่ซุนฮกแย้งว่า
“ถ้าเรารื้อฟื้นระบบนี้กลับมา นั่นเท่ากับว่ามณฑลกิจิ๋วจะต้องรวบเอาเขตปกครองของหัวเมืองในภาคเหนือเข้ามาอีก เช่น เหอตง เฝิ่งอี่ ฟู่เฟิง ซื่อเหอ อิ้ว และ เป้ง นี่จึงเท่ากับว่าเราต้องยึดเอาดินแดนมาจากผู้คนอีกมาก แต่ก่อนหน้านี้นายท่านเพิ่งทำศึกเอาชนะอ้วนซงและจับตัวสิมโพยได้ไม่นาน ทั้งสี่คาบสมุทรต่างก็ยำเกรงต่อนายท่านอย่างมากอยู่แล้ว ผู้คนทั้งหลายต่างก็หวาดกลัวว่าจะเสียดินแดน ดังนั้นจึงเพิ่มกำลังทหารเพื่อปกป้องตนเองอย่างสุดกำลัง แล้วมาบัดนี้ ฝ่ายเรากลับคิดจะขีดเส้นบนแผนที่เพื่อตัดแบ่งดินแดนของพวกเขาให้มาเข้ากับมณฑลกิจิ๋วของเราเสียแล้ว ผู้คนที่เสียประโยชน์ทั้งหมดจะต้องผนึกกำลังกันต่อต้านเราเป็นแน่แท้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีขุนศึกและใครบางคนอีกไม่น้อยที่พยายามหาทางเจรจาเป็นการลับกับเหล่าขุนศึกทางตะวันตกเพื่อให้เคลื่อนทัพเข้ากดดันฝ่ายเราในภาคกลาง หากฝ่าบเราดำเนินแผนการเช่นนี้จริง พวกเขาก็จะลุกฮือขึ้นแล้วก่อการกบฏเพื่อต่อสู้ปกป้องดินแดนของพวกเขาเองไว้อย่างสุดกำลังในทันที แล้วหากพวกเขาทั้งหมดนี้จับมือร่วมกันเป็นพันธมิตรแล้ว เมื่อนั้นก็จะเกิดเป็นปัญหาอันยุ่งยากตามมาอีกมาก”
“แล้วหากสถานการณ์เป็นไปเช่นนั้น อ้วนซงก็จะถือโอกาสหลบหนีขึ้นไปกบดานทางเหนือที่นอกด่าน ส่วนอ้วนถำก็จะถือโอกาสก่อการขึ้นด้วย ฝ่ายเล่าเปียวทางใต้ก็จะนำทหารเข้าป้องกันเขตแดนระหว่างแม่น้ำแยงซีและแม่น้ำฮั่นสุย ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้จะทำให้ฝ่ายเรายากที่จะรวมแผ่นดินได้ในเร็ววันได้”
“ข้าพเจ้าจึงขอร้องต่อนายท่าน ให้เร่งนำกำลังทหารบุกพิชิตดินแดนทางภาคเหนือของแม่น้ำฮวงโหทั้งหมดให้ได้โดยเร็ว แล้วฟื้นฟูอำนาจราชสำนักให้กลับคืนมาใหม่ แล้วหลังจากนั้น เคลื่อนทัพบุกลงใต้เพื่อยึดครองเกงจิ๋ว สำเร็จโทษเหล่าผู้ที่มิยอมสวามิภักดิ์ต่อองค์ฮ่องเต้ แล้วจากนั้น ทั่วทั้งแผ่นดินก็จะเข้าใจในเจตนาอันดีของนายท่าน จิตใจของผู้คนทั้งปวงก็จะยอมสยบให้โดยดี นำความผาสุกกลับคืนมาสู้แผ่นดินเสียก่อน แล้วนายท่านจึงค่อยไตร่ตรองเรื่องการฟื้นฟูระบบปกครองแบบโบราณขึ้นภายหลังก็ยังไม่สาย นี่จึงนับเป็นวิถีทางแห่งราชวงศ์ที่ยั่งยืนยาวสถาพรต่อไป”
ดังนั้นโจโฉจึงยอมพักเรื่องการฟื้นฟูระบบปกครองเก้ามณฑลในสมัยราชวงศ์โจวไว้ก่อน แล้วมุ่งไปที่การพิชิตภาคเหนือเป็นอันดับแรก
อธิบายเสริม
ต้นยุคราชวงศ์โจว นับเป็นช่วงเวลารุ่งเรืองมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน เพราะเป็นยุคสมัยที่มีรัฐบุรุษยอดนักปกครองผู้ยิ่งใหญ่สองท่านคือ เจียงไท่กง (เจียงจื่อหยา) และ โจวกง (โจวกงต้าน) ทั้งสองได้ช่วยกันวางรากฐานการปกครองที่สำคัญของจีนซึ่งสืบทอดต่อมาในราชวงศ์หลังจากนั้น หนึ่งในมรดกสำคัญคือ การจัดตั้งแบ่งเขตการปกครอง ซึ่งสิ่งนี้ก็ยังคงตกทอดต่อมาจนถึงสาธารณรัฐประชาชนจีนในยุคปัจจุบัน
การที่เหล่าขุนนางได้เสนอให้โจโฉฟื้นฟูระบบปกครองเช่นนี้ มีผลดีที่จะเกิดขึ้นคือ จะทำให้ระบบการปกครองยุคโบราณที่ได้รับการยอมรับกันฟื้นกลับมา ซึ่งสถานการณ์ในยุคสมัยนั้นที่เหล่าขุนศึกเปิดฉากรบกันเป็นแต่ละก๊ก นั่นก็เท่ากับเป็นความพยายามที่จะประกาศให้ผู้คนทั้งแผ่นดินได้รับรู้กันว่าเวลานี้โจโฉกำลังผงาดขึ้นมาเป็นใหญ่ที่สุด และเสมือนกับเป็นการสถาปนารัฐของตนขึ้นด้วยเช่นกัน แต่ซุนฮกกลับโต้แย้งข้อเสนอเหล่านี้ เพราะเห็นว่าการบุกขึ้นเหนือเพื่อพิชิตตระกูลอ้วนให้ราบคาบ ถือเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนมากกว่าจะฟื้นฟูระบบการปกครองขึ้น อีกทั้งซุนฮกยังมองเห็นข้อเสียที่จะเกิดขึ้นหากฟื้นฟูระบบนี้ในเวลานั้น เพราะจะทำให้เกิดความสับสนและความหวาดเกรงขึ้นในบรรดาเหล่าเจ้าเมืองทั้งหลายที่ยังมิได้ยอมสยบแต่โดยดีนั่นเอง ดังนั้นความคิดของซุนฮกในที่นี้คือ ต้องการให้โจโฉกลายเป็นผู้ปกครองที่มีความชอบธรรมและเป็นผู้ฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่นให้กลับคืนมาเป็นเป้าหมายสำคัญที่สุด ดังนั้นเรื่องระบบการปกครองโบราณเหล่านี้จึงไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจนัก
หลังจากนั้น ซุนฮกก็ยังคงทำงานช่วยเหลือให้คำแนะนำทางการทหารแก่โจโฉเรื่อยมา เวลานั้น พี่ชายของซุนฮกคือ ซุนเอี๋ยน ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บังคับการหน่วยทหารองครักษ์ที่เมืองเย่ ต่อมาจึงได้เป็นผู้บัญชาการทหารของหัวเมืองในเหอเป่ยทั้งหมด เมื่อโจโฉนำทัพบุกโจมตีอ้วนซงนั้น โกกั๋นก็ได้วางแผนการลับ นำทัพบุกโจมตีเมืองเย่ ซุนเอี๋ยนทราบเรื่องนี้ จึงเข้าแก้ไขแล้วสังหารโกกั๋นกับพรรคพวกจนตายลงทั้งหมด ด้วยผลงานนี้จึงได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นเป็นขุนนางชั้นโหว
ในบันทึกตระกุลซุน ได้มีเล่าถึงทัศนะที่ขุนนางวุยก๊กมีต่อเหล่าสมาชิกในตระกูลซุนของซุนฮกอย่างน่าสนใจ เมื่อครั้งตันกุ๋นและขงหยง สองขุนนางใหญ่ของวุยก๊กได้สนทนากันถึงเรื่องบ้านเมือง ตันกุ๋นได้กล่าวว่า ซุนฮก และญาติพี่น้องคนสำคัญอื่นๆคือ ซุนฮิว ซึ่งเป็นหลานชายและเป็นกุนซือคนสำคัญอีกคนของโจโฉ กับ ซุนเอี๋ยนซึ่งเป็นพี่ชาย ซุนเสี้ยนน้องชาย รวมถึง จงอิ้ว ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงและสหายสนิทของซุนฮก “บุคคลทั้งหมดนี้ล้วนเป็นคนดีเกินกว่าจะอยู่ในโลกแห่งกลียุคนี้ได้”
จากนั้น โจโฉได้ยกบุตรีของตนคือเจ้าหญิงอันหยาง ให้แต่งงานกับซุนอุ๋น ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของซุนฮก เป็นการเชื่อมสัมพันธ์ ดังนั้นจึงทำให้สถานะของซุนฮก ซุนฮิว และสมาชิกตระกูลซุนในวุยก๊กยิ่งทวีมีความสูงส่งมาก แต่ทั้งซุนฮกและซุนฮิวก็ไม่เคยถือตนว่ามีตำแหน่งใหญ่โต พวกเขายังแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน และใช้ชีวิตเรียบง่าย ประหยัดมัธยัสถ์ พวกเขามักมอบเงินเบี้ยหวัดให้กับสหายสนิทและญาติมิตร เพื่อหวังช่วยเหลือครอบครัวของพวกเขาเหล่านั้นเป็นอย่างดีเรื่อยมา จากนั้นซุนฮกก็ได้รับศักดินาเพิ่มขึ้นเป็นสองพันครัวเรือน หากไม่นับญาติของโจโฉในตระกูลโจและแฮหัวแล้ว นับวาซุนฮกเป็นผู้มีศักดินาสูงสุดในบรรดาขุนนางทั้งหมด
โจโฉได้เขียนคำประกาศเพื่อกล่าวยกย่องซุนฮกอย่างสูง โดยกล่าวยกย่องถึงผลงานในอดีตเมื่อครั้งช่วยเสนอแผนที่ศึกกัวต๋อ โดยเฉพาะการยับยั้งไม่ให้โจโฉถอยทัพ และกระตุ้นให้เขานำทัพบุกขึ้นเหนือเพื่อพิชิตตระกูลอ้วนให้เด็ดขาด ในประกาศนี้ โจโฉต้องการประทานรางวัลมหาศาลและเพิ่มศักดินาของซุนฮกให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก แต่เมื่อซุนฮกได้อ่านสารแล้วก็ปฏิเสธที่จะรับศักดินาเพิ่มขึ้น แล้วเขายังเขียนจดหมายตอบกลับโจโฉอีกว่า
“นายท่าน เท่าที่ข้าระลึกได้นั้น กลยุทธ์ที่ข้ามอบให้ท่านมิได้มีเพียงแผนกลยุทธ์ในศึกกัวต๋อเท่านั้น ขณะเดียวกัน นายท่านกลับกดข่มความชอบของตัวท่านเองลงมาเสียเองอีก นี่นายท่านคิดจะเป็นเลียนเยี่ยงลู่จงเหลียนแห่งรัฐจ้าวกระนั้นหรือ ปราชญ์ผู้มุ่งหมายสู่คุณธรรมสูงสุดมิควรจะตีค่าตนเองเช่นนั้น เจี้ยจื่อถุยแห่งรัฐจิ้นเคยกล่าวไว้ว่า การเอาความชอบของผู้อื่นไปนั้นย่อมมิต่างจากปล้นชิงทรัพย์สิน มาบัดนี้นายท่านนำผลงานที่ทำเพื่อประชาชนมายกย่องสรรเสริญข้าพเจ้าและหมายจะเพิ่มศักดินาให้อีก ในเมื่อข้าพเจ้าเพียงแค่เสนอแผนการให้ไม่กี่แผนเท่านั้น แต่นายท่านกลับปฏิเสธผลงานของผู้อื่น นายท่านทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกละอายยิ่งนัก”
อันที่จริง โจโฉเขียนคำประกาศนี้โดยหวังว่าจะยกย่องความชอบในศึกกัวต๋อของซุนฮกเพื่อจะประทานตำแหน่งขุนนางขั้นสูงสุดในระบบซานกงให้ แต่การที่โจโฉเขียนถึงผลงานการวางแผนของซุนฮกเพียงแค่สองแผน แม้จะเป็นแผนการสำคัญที่ช่วยให้ชนะศึกกัวต๋อ แต่ก็กลับเป็นการเปิดช่องให้ซุนฮกเขียนสารตอบโต้ด้วยสำนวนเล่นลิ้นเสียดสีหยอกล้อ ปนใส่อารมณ์ขัน เพื่อที่ซุนฮกจะได้ปฏิเสธความชอบของตนว่าช่างมีเพียงน้อยนิด อีกทั้งการชนะศึกกัวต๋อก็เป็นผลงานของโจโฉเอง รวมถึงเหล่ากุนซือและขุนพลอีกหลายคน ซุนฮกถือว่าตนไม่ได้ร่วมในสนามรบ จึงคิดว่าตนเองไม่ควรได้รับรางวัลไปมากกว่าที่เป็นอยู่อีกแล้ว ซุนฮกยังขอให้ซุนฮิวช่วยออกหน้าปฏิเสธแทนตนอย่างหนักแน่นไปอีกสิบครั้ง จนกระทั่งโจโฉยอมถอดใจในที่สุด
ปีค.ศ.208 (ตรงกับปีเจี้ยนอันที่ 13) เมื่อโจโฉสยบภาคกลางและภาคเหนือได้แทบทั้งหมด ทำให้จงหยวนอยู่ในการปกครองของตนได้แล้ว โจโฉก็บัญชาการทัพใหญ่เคลื่อนพลลงใต้เพื่อพิชิตเมืองเกงจิ๋วของเล่าเปียวต่อไป โจโฉได้ขอคำปรึกษาจากซุนฮก ได้ความว่า
“บัดนี้ ดินแดนภาคกลางได้สยบราบคาบแล้ว ส่วนดินแดนภาคใต้นั้นก็หวาดเกรงท่านและพร้อมจะยอมสวามิภักดิ์เช่นกัน ของเพียงนายท่านสั่งทัพใหญ่จากเมืองอ้วนเสียและเมืองเย่ แล้วส่งกำลังแบ่งแยกเป็นหลายสาย ให้เคลื่อนทัพในแบบเอิกเกริก แต่อีกสายก็ให้เคลื่อนทัพด้วยความเงียบเชียบ จากนั้นเมื่อทัพทั้งหมดบรรจบกันก็จะสามารถเข้ายึดเกงจิ๋วโดยที่ข้าศึกไม่ทันรู้ตัวได้”
โจโฉดำเนินตามแผนการไม่ทันไร เล่าเปียวก็ล้มป่วยแล้วสิ้นชีพลงกะทันหัน เล่าจ๋องบุตรชายคนรองจึงขึ้นเป็นเจ้าเมืองแทน ซุนฮกจึงแนะนำโจโฉว่า “ขอเพียงเคลื่อนกำลังเข้ากดดัน เมื่อนั้นเล่าจ๋องก็จะยอมสวามิภักดิ์ต่อนายท่านเป็นแน่” แล้วเมืองเกงจิ๋วก็ยอมสวามิภักดิ์ต่อโจโฉโดยง่ายจริงๆ
อธิบายเสริม
จากจดหมายเหตุจะพบว่าโจโฉต้องการเสนอตำแหน่งขุนนางขั้นสูงสุดในระดับซานกงให้กับซุนฮก แต่ก็โดนเขียนสารปฏิเสธกลับอย่างแรง ซึ่งในสารที่ซุนฮกตอบกลับนั้น ได้แฝงอารมณ์ขันเชิงเสียดสีไว้ด้วย แม้จะเป็นการปฏิเสธแบบรุนแรง แต่ก็ยังเป็นการหาข้ออ้างเพื่อที่จะไม่ต้องการหักหน้าโจโฉเกินไปนั่นเอง
โจโฉพยายามจะให้ตำแหน่งสำคัญนี้แก่ซุนฮกให้ได้ แต่ซุนฮกก็ยืนกรานปฏิเสธเรื่อยมา ดังนั้นตำแหน่งในราชสำนักของซุนฮกจึงไม่ได้สูงเกินไปกว่านี้ มิเช่นนั้นซุนฮกอาจจะมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการระดับสูงกว่าที่เป็นอยู่ก็เป็นได้ เพราะในทางปฏิบัติ ซุนฮกคือกุนซือที่มีอำนาจหน้าที่สูงสุด เป็นผู้ที่โจโฉมอบความไว้วางใจให้ดูแลรักษาแนวหลังทั้งหมด รวมถึงมีหน้าที่บริหารปกครองภายในราชสำนักอีกด้วย
หลังจากยึดครงเกงจิ๋วได้แล้ว โจโฉก็ไปทำศึกผาแดง (ศึกเซ็กเพ๊ก) แล้วพ่ายแพ้ต่อพันธมิตรเล่าปี่และซุนกวน แต่ยังมีซุนฮกช่วยดูแลรักษาความสงบที่แนวหลังให้อย่างดี ดังนั้นจึงไม่ได้ปรากฏว่ามีการก่อกบฏขึ้นในเขตปกครองของโจโฉหลังจากพ่ายศึกที่ผาแดงแล้วถอยทัพกลับแต่อย่างใด
แต่ซุนฮกยืนกรานคัดค้านข้อเสนอนี้อย่างรุนแรง เขามีความคิดว่า เริ่มแรกโจโฉก่อตั้งกองทัพธรรมขึ้นก็เพื่อราชวงศ์ฮั่น จึงควรที่จะถวายความจงรักภักดี อีกทั้งการยอมรับตำแหน่งวุยก๋งก็จะทำให่คุณความดีงามที่โจโฉทำเพื่อแผ่นดินและราชสำนักจะต้องมลายไปสิ้น ซุนฮกมีความเห็นว่า จอมคนที่แท้จริงควรที่จะแสดงคุณธรรมควรให้ปวงชนได้รับรู้ และไม่ควรยอมรับเอาชื่อเสียงเกียรติยศหรือตำแหน่งไว้ที่จะลดทอนคุณธรรมของตนไว้
นี่เป็นครั้งแรกที่โจโฉไม่เห็นด้วยกับซุนฮกแล้วไม่พอใจที่ซุนฮกขัดขวางความคิดนี้ ในปีเดียวกัน เมื่อโจโฉบัญชาทัพไปทำศึกกับซุนกวนที่หับป๋า ก็ได้ถวายฎีกาขอตัวซุนฮกให้ติดตามร่วมทัพมาด้วย แล้วให้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาในกองทัพในตำแหน่งสมุหราชเลขาธิการและผู้ตรวจการแห่งราชสำนัก กระทั่งโจโฉนำทัพมาถึงบริเวณยี่สู ซุนฮกก็มีอาการล้มป่วยหนัก จึงต้องพักอยู่ที่เมืองซิ่วซุนโดยไม่ได้ตามทัพไปด้วย จากนั้นซุนฮกก็สิ้นชีพลงในวัย 50 ปี
โจโฉอวยยศย้อนหลังให้ซุนฮกขึ้นเป็นเจ้าพระยาสงบสันติ แล้วปีถัดมาโจโฉก็ขึ้นเป็นวุยก๋งตามความตั้งใจ
จดหมายเหตุราชวงศ์วุยได้บันทึกเพิ่มเติมว่า เมื่อซุนฮกล้มป่วยอยู่นั้น โจโฉได้ส่งกล่องใส่สำรับอาหารไปให้ เมื่อซุนฮกเปิดดูกลับพบว่าในกล่องมีแต่ความว่างเปล่า ดังนั้นซุนฮกจึงตัดสินใจกินยาพิษฆ่าตัวตาย ภายหลังเมื่อโจผีขึ้นครองราชย์ ก็ได้อวยยศย้อนหลังเพิ่มให้ซุนฮกขึ้นเป็นผู้บัญชาการสำนักพระราชวัง
มีบันทึกประวัติซุนฮกอีกฉบับที่บันทึกว่า ระหว่างที่ซุนฮกอยู่ในตำแหน่งสมุหราชเลขาธิการ เขาได้เขียนจดหมายและเอกสารจำนวนมากเพื่อให้คำแนะนำการบริหารปกครองบ้านเมือง แต่ก่อนหน้าที่ซุนฮกจะสิ้นชีพไม่นาน เขาก็ได้ตัดสินใจเผาจดหมายและเอกสารเหล่านั้นทิ้งลงทั้งหมด ดังนั้นกลยุทธ์ทางทหารและการปกครองชั้นยอดที่ซุนฮกได้คิดขึ้นจึงสาบสูญไปอย่างน่าเสียดาย มีการวิเคราะห์ว่า อาจเพราะซุนฮกไม่ต้องการหลงเหลือผลงานเหล่านี้แล้วทำให้ขุนศึกคนใดในยุคถัดมาได้นำไปใช้เพื่อสนองอำนาจของตนนั่นเอง
เผยซงจือแทรกเนื้อหาจากพระราชประวัติพระเจ้าเหี้ยนเต้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับสาเหตุการตายของซุนฮก และความขัดแย้งที่เกิดกับโจโฉเอาไว้ กล่าวคือในระหว่างศึกกัวต๋อ พระมเหสีคือพระนางฮกฮองเฮาได้วางแผนร่วมกับบิดาคือฮกอ้วนเพื่อตะจัดการกับโจโฉ ผู้คิดแผนการนี้ก็คือ ตังสิน ขุนนางผู้ใหญ่คนสนิทของพระเจ้าเหี้ยนเต้
ต่อมาโจโฉได้ประหารตังสินทิ้ง พระนางฮกฮองเฮาจึงเขียนจดหมายถึงบิดาว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้มีความเจ็บแค้นโจโฉมาก เมื่อฮกอ้วนได้จดหมาย เขาก็ได้แสดงให้กับซุนฮกเห็น แต่ซุนฮกเมื่อเห็นจดหมายฉบับนั้นแล้วก็เก็บเงียบไว้โดยมิได้ปริปากพูด ต่อมาจดหมายได้หลุดรอดไปถึงมือของโจโฉแล้ว ก็ทำให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายโดนจับตัวไปสอบสวนและมีคำสั่งให้กรมราชทัณฑ์ประหารชีวิตตามกฎหมาย ซุนฮกจึงค่อยมาบอกกับโจโฉในภายหลัง เมื่อโจโฉถามว่าเหตุใดจึงไม่ได้บอกตั้งแต่แรก แต่ซุนฮกก็แจ้งว่าตนเคยบอกไปแล้ว โจโฉยืนยันว่ายังไม่ได้แจ้ง ซุนฮกจึงว่าเพราะเวลานั้นโจโฉติดพันศึกที่กับต๋ออยู่ จึงไม่อยากเพิ่มปัญหาขึ้นอีก แต่โจโฉก็ถามอีกว่าแล้วหลังเสร็จศึกทำไมจึงไม่บอก ซุนฮกไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้แล้วขออภัยโจโฉหลายครั้ง นับแต่นั้นมาโจโฉก็มีความเย็นชาต่อซุนฮกมากขึ้น ภายหลังเมื่อโจโฉต้องการยกบุตรีของตนคือนางโจเจี๋ยให้ขึ้นเป็นสนมของพระเจ้าเหี้ยนเต้แล้ว ซุนฮกก็คัดค้านเรื่องนี้อย่างรุนแรง เพราะหลังจากนั้นไม่กี่ปี เมื่อพระนางฮกฮองเฮาโดนประหารชีวิตไปแล้ว โจเจี๋ยก็ได้ขึ้นเป็นพระมเหสีแทนที่
แต่เรื่องนี้ก็เป็นเพียงตำนานที่เล่ากันมาแล้วนำมาใส่ไว้ในพระราชประวัติของพระเจ้าเหี้ยนเต้เท่านั้น แต่เรื่องที่บันทึกไว้ตรงกันคือ ซุนฮกแทบจะเป็นผู้เดียวที่คัดค้านเรื่องที่โจโฉจะตั้งตนขึ้นเป็นวุยก๋ง จึงเป็นหนึ่งในชนวนเหตุสำคัญที่ทำให้โจโฉไม่พอใจแล้วปฏิบัติต่อซุนฮกอย่างเย็นชามานับแต่นั้น
หลังจากซุนฮกสิ้นชีพแล้ว บุตรชายของเขาคือซุนหุน ก็ได้รับตำแหน่งสืบต่อมา และได้เป็นนายพลพยัคฆ์เดช ต่อมาเมื่อโจผีขึ้นครองราชย์ ซุนหุนได้มีความสนิทสนมกับโจสิดซึ่งเป็นบุตรชายคนที่สี่ของโจโฉมาก ขณะเดียวกันซุนหุนกลับไม่ถูกกันกับแฮหัวซงซึ่งเป็นนายทหารเชื้อพระวงศ์ที่มีความสนิทสนมกับโจผีมานาน ดังนั้นโจผีจึงค่อนข้างชิงชังซุนหุนอยู่ไม่น้อย สุดท้ายซุนหุนก็สิ้นชีพลงตั้งแต่ยังหนุ่ม จากนั้นบุตรชายของเขาทั้งสองคนคือซุนฮั่นและซุนอี่ก็ได้กลับมามีสถานะทางสังคมที่ดีอีกครั้งเมื่อถึงรัชสมัยของฮ่องเต้โจยอย เพราะมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องที่สนิทสนมกัน
บรรดาญาติพี่น้องของซุนฮกแต่ละคนล้วนมีชื่อเสียงและได้รับตำแหน่งขุนนางในระดับสูงกันทั้งหมด แต่พวกเขาทั้งหมดก็ล้วนเสียชีวิตลงตั้งแต่อายุยังไม่มากนัก
ซุนฮกมีบุตรชายและหลานชายที่มีความสามารถจำนวนมาก ซึ่งสองคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดก็คือ ซุนอี้ บุตรชายคนที่สี่ ซึ่งได้ตำแหน่งเป็นเจ้ากรมมหาดไทยในสมัยของพระเจ้าสุมาเอี๋ยน เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมาก เคยโต้คารมกับจงโฮยซึ่งเป็นขุนพลอัจฉริยะในยุคนั้นในหัวข้อด้านปรัชญาจนโด่งดังไปทั่ว เขาได้แต่งงานกับน้องสาวของสุมาสูและสุมาเจียว จึงได้เกี่ยวดองเป็นญาติกับฮ่องเต้สุมาเอี๋ยนไปด้วย ส่วนอีกคนก็คือ ซุนซ่าน บุตรชายคนที่ห้า เขาเป็นนักปรัชญาที่ได้ศึกษาลัทธิเต๋าอย่างจริงจัง ในขณะที่บรรดาพี่น้องของเขาทุกคนต่างศึกษาลัทธิหยูของขงจื่อ ซุนซ่านกลับโต้แย้งและถกเถียงแนวคิดของขงจื่ออย่างรุนแรงในหลายประเด็น เขาศึกษาคัมภีร์เต๋าจนแตกฉาน ต่อมาก็ได้แต่งงานกับบุตรีของโจหอง แล้วก็เสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่ม อย่างไรก็ตาม ทายาทและบุตรหลานของซุนฮกก็ยังได้รับราชการมีตำแหน่งระดับสูงในราชวงศ์จิ้นสืบต่อมา
ความขัดแย้งระหว่างซุนฮกกับโจโฉเกี่ยวกับเรื่องการขึ้นเป็นวุยก๋งนั้น ในจดหมายเหตุและนิยายสามก๊กได้บันทึกเรื่องราวไว้ตรงกัน แต่สาเหตุที่ซุนฮกดื่มยาพิษฆ่าตัวตายหลังจากได้รับกล่องอาหารเปล่าจากโจโฉนั้น ก็ยังเป็นที่น่ากังขากันอยู่ไม่น้อย และพอจะทำให้มองเห็นอะไรบางอย่างในกลุ่มขุนนางของโจโฉและวงการเมืองภายในวุยก๊กว่ามีความขัดแย้งกันเองระหว่างผู้ที่มีใจมาทางราชวงศ์ฮั่น กับที่ยึดถือเอาตัวโจโฉเป็นหลัก
ซุนฮกไม่เห็นด้วยเรื่องที่โจโฉจะขึ้นไปรับตำแหน่งวุยก๋ง เพราะเขาเห็นว่าวิญญูชนนั้นรักและนับถือผู้มีคุณธรรม หากโจโฉทำเช่นนี้จะทำให้ตัวเองได้ก้าวล้ำเส้นเกินไป แล้วก็จะไม่ใช่ขุนนางผู้มีใจภักดีและมีเกียรติคุณที่ดีงามในแผ่นดินอีก สิ่งต่างๆที่โจโฉทำเพื่อราชวงศ์ฮั่นและเพื่อแผ่นดินก็จะสูญเสียไปด้วย ดังนั้นซุนฮกจึงทักท้วงการรับตำแหน่งของโจโฉอย่างรุนแรง การกระทำในครั้งนี้ ยิ่งตอกย้ำว่าแท้จริงแล้วซุนฮกเป็นผู้ที่มีใจซื่อตรงและภักดีต่อราชวงศ์ฮั่น แต่สาเหตุที่เขาเลือกมารับใช้โจโฉตั้งแต่แรกนั้น เพราะมีความเห็นว่าโจโฉเป็นขุนศึกเพียงผู้เดียวในกลียุคที่มีกำลังเข้มแข็งและมีคุณลักษณะของผู้นำที่ดีพร้อม สามารถช่วยเกื้อหนุนและฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่นให้กลับคืนมาได้ แล้วโจโฉก็ทำอย่างที่ซุนฮกคาดหวังไว้ด้วยดีเรื่อยมา จะมีเพียงกรณีเมืองชีจิ๋วที่โจโฉสังหารผู้คนอย่างโหดเหี้ยมเท่านั้นที่ซุนฮกแสดงความเห็นโต้แย้งการกระทำของโจโฉเอาไว้
สรุปข้อแตกต่างเรื่องราวของซุนฮก ระหว่างจดหมายเหตุและนิยาย
1.ในนิยายสามก๊ก หลังจากซุนฮกเข้ามาอยู่กับโจโฉแล้ว ก็ได้แนะนำกุนซือและบุคลากรที่มีความสามารถให้มาร่วมกับโจโฉด้วยเป็นอันมาก ในนิยายนั้นเล่าว่าซุนฮกมาอยู่กับโจโฉพร้อมกับซุนฮิว แต่ที่จริงซุนฮิวตามมาอยู่กับโจโฉด้วยก่อนหน้าที่โจโฉจะเริ่มเปิดศึกกับลิโป้ไม่นาน ส่วนในนิยายนั้น บุคลากรคนแรกที่ซุนฮกแนะนำให้มาอยู่กับโจโฉก็คือเทียหยก แต่ที่จริงแล้วคนแรกที่ซุนฮกแนะนำให้ก็คือกุนซืออาวุโสนามว่าฮือจื่อไช่ เพียงแต่ในนิยายได้ตัดบทของกุนซืออาวุโสผู้นี้ออกไปเพราะไม่ได้มีบทบาทอะไรในเรื่องเลย
2.ในนิยายสามก๊กนั้น
หลอก้วนจงเขียนบรรยายเรื่องการแนะนำเครือข่ายบุคลากรที่มีซุนฮกเป็นจุดเริ่มต้นไว้ชัดเจนมากกว่า โดยเริ่มต้นจาก ซุนฮกมาพร้อมกับซุนฮิว จากนั้นซุนฮกก็แนะนำเทียหยก จากนั้นเทียหยกกระตุ้นเตือนให้ซุนฮกนึกถึงกุยแก เมื่อกุยแกมาแล้วก็แนะนำเล่าหัวให้ ส่วนเล่าหัวก็แนะนำหมันทองและลิเกี๋ยน แล้วทั้งสองคนนี้ก็แนะนำมอกายให้อีกที ทั้งหมดนี้ในนิยายเล่าไว้รวดเดียวอย่างมีสีสันมาก
3.อันที่จริงมีความสับสนอยู่ในจดหมายเหตุเกี่ยวกับการบันทึกเรื่องผลงานของซุนฮก กุยแก และซุนฮิว เพราะผลงานของทั้งสามคนค่อนข้างทับซ้อนกัน แต่หากจะแบ่งแยกกันจริงๆก็พอจะสรุปได้ว่า ซุนฮกมีหน้าที่หลักด้านการบริหารแนวหลังและกำหนดยุทธ์ศาสตร์ภาพรวม โจโฉจะต้องส่งสารไปขอคำแนะนำจากซุนฮกทุกครั้งที่จะเปิดศึก เพื่อให้ซุนฮกกำหนดนโยบายหลักมาก่อน ส่วนกุยแกและซุนฮิวมักจะติดตามโจโฉไปร่วมในกองทัพด้วยเพื่อวางแผนกลยุทธ์ทางทหาร
CREDIT : https://my.dek-d.com/eagle/writer/viewlongc.php?id=10590&chapter=5
No comments:
Post a Comment