Sunday, November 4, 2018

ส่วนที่ ๒ กลยุทธ์เผชิญศึก : กลยุทธ์ที่ ๑๐ ซ่อนดาบในรอยยิ้ม

ส่วนที่ ๒ กลยุทธ์เผชิญศึก 
ยามเมื่อเผชิญศึกเท็จลวงกับจริงแท้ 
พึงใช้สอดแทรกซึ่งกันและกันอย่างสลับซับซ้อน 
ทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ

กลยุทธ์ที่ ๑๐ ซ่อนดาบในรอยยิ้ม 

เชื่อจึงวางใจ มืดเพื่อเตรียมการ พร้อมแล้วจึงเคลื่อน อย่าให้แปรเปลี่ยน แข็งในอ่อนนอก 
กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า จะต้องทำให้ข้าศึกเชื่อว่าเรามิได้เคลื่อนไหวอะไรเลย จึงสงบไม่เคลื่อนเช่นกัน ทั้งเกิดความคิดมึนชาขึ้น 

แต่เรากลับดำเนินการตระเตรียมเป็นการลับ รอคอยโอกาสเพื่อที่จะออกปฏิบัติการโดยฉับพลันทันที แต่ต้องระวังมิให้ข้าศึกล่วงรู้ก่อน อันจะทำให้สภาพการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงไป 

แข็งในอ่อนนอกคือภายนอกนั้นดูละมุนละไม แต่ภายในนั้นเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง 

 ซ่อนดาบในรอยยิ้มความเดิมหมายถึงโดยผิวเผินก็อ่อนโยน แต่ภายในนั้นมากด้วยเล่ห์ เมื่อนำมาใช้ก็คือกลยุทธ์ที่นอกอย่างในอย่าง แจ้งอย่างลับอย่างภายนอกแสดงความอ่อนละมุน แต่ภายในแผงไว้ด้วยการเอาเป็นเอาตายอยางหนึ่ง



                 กลยุทธ์นี้อยู่ใน จดหมายเหตุราชวงศ์ถังเก่า ประวัติหลี่อี้ฝู่ซึ่งกล่าวว่าภายนอกของอี้ฝู่นอบน้อมถ่อมตน พบใครใบหน้าก็ยิ้มย่องผ่องใน แต่เป็นคนเห็นแก่ตัว เชือดคอคนได้ในทางลับ ต้องการได้อำนาจ จักให้ผู้อื่นศิโรราบด้วยตน หากไม่พึงพอใจใคร ก็จักทำลายเสียโดยพลัน ดังนั้นผู้คนจึงโจษจันกันว่า ซ่อนดาบในรอยยิ้ม


ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ..........

                ในยุคก้านกว๋อ ฉินเสี้ยวกงออกประกาศแสวงหาผู้รู้ เพื่อเสริมสร้างแคว้นฉินให้มั่งคั่งเข้าแข็ง ในขณะนั้นมีชาวเมืองเว่ย แซ่กงซุน ซื่อเอียงได้ข่าวว่าแคว้นฉินต้องการผู้รู้ไปอยู่ด้วย จึงเดินทางจากแคว้นเว่ยเข้าแคว้นฉินไป กงซุนเอียงคนนี้เป็นนักศึกษาผู้คงแก่เรียน ในเรื่องความเป็นไปต่าง ๆ ของแผ่นดิน จึงมีความรอบรู้เป็นอันมาก เมื่อแรก สมัครเป็นที่ปรึกษา อยู่ในจวนของอัครมหาเสนาบดีกงซู่จ้อ แห่งแคว้นเว่ย กงซู่จ้อเคยคิดจะแนะนำให้เข้ารับราชการ กับเว่ยฮุ่ยอ๋อง ผู้ครองแคว้นเว่ย แต่เคราะห์ร้ายที่กงซู่จ้อเกิดล้มป่วยลงเสียก่อน พอล้มหมอนนอนเสื่อ ก็โงหัวไม่ขึ้นแต่บัดนั้น



                มีอยู่วันหนึ่ง เว่ยฮุ่ยอ๋องมาเยี่ยมถึงจวนของกงซู่จ้อ ถามว่า หากท่านป่วยลุกไม่ไหวออกราชการมิได้ กิจการบ้านเมืองของเราท่านคิดว่าควรจักมอบให้ผู้ใดกงซู่จ้อจึงทูลว่า มอบให้กงซุนเอียง ที่ปรึกษาของจวนข้าพเจ้า กงซุนเอียงแม้จะมีอายุน้อย แต่มีอัจฉริยะเหนือนคนอื่น สามารถรับตำแหน่งนี้ได้เว่ยฮุ่ยอ๋องได้ฟังดังนั้น ก็เข้าใจสงซู่จ้อป่วยอยู่เป็นเวลานาน ถึงจะสติฟั่นเฟือน จึงมิได้เชื่อถือ ในขณะที่เว่ยฮุ่ยอ๋องจะกลับ กงซู่จ้อก็ไล่ผู้คนออกไปจนสิ้น แล้วกล่าวแก่เว่ยฮุ่ยอ๋องว่า



หากท่านมิใช้กงซุนเอียงก็จะฆ่าเขาเสีย อย่าให้เขาออกจากแคว้นเราไปเป็นอันขาด เพื่อมิให้เขาไปเป็นขุนนางในแคว้นอื่น มิฉะนั้นแล้ว จะเป็นภัยอย่างร้ายแรงแก่แคว้นเว่ย


                เว่ยฮุ่ยอ๋องก็ยังคงเข้าใจว่า กงซู่จ้อพูดด้วยความเพ้อเจ้อ ก็รับปากไปแกนๆ เพื่อมิให้ เมื่อเว่ยฮุ่ยอ๋องกลับไปแล้ว กงซู่จ้อก็เรียกตัวกงซุนเอียงมาพบ กล่าวว่า เมื่อสักครู่เว่ยฮุ่ยอ๋องมาเยี่ยมเรา ถามเราว่าใครจะเข้ามาแทนหน้าที่เราได้เราแนะนำท่านไป แต่ดูแล้ว เว่ยฮุ่ยอ๋องคงจะไม่เห็นด้วย เราจึงกล่าวแก่ฮุ่ยอ๋องว่า หากท่านอ๋องไม่ใช้ท่านก็จงฆ่าท่านเสีย เว่ยฮุ่ยอ๋องก็พยักหน้ารับแล้ว เราเป็นขุนนางของแคว้นเว่ยก็จำต้องกล่าวแก่ท่านอ๋องเช่นนั้น บัดนี้ เราสงสารท่าน จึงแจ้งแก่ท่าน ให้ทราบความท่านจงรีบหนีเอาตัวรอดไปโดยเร็วเถิด


                กงซุนเอียงจึงกล่าวว่า ขอให้ท่านจงวางใจ เมื่อวุ่ยอ๋องมิฟังคำพูดของท่าน แต่งตั้งให้ข้าพเจ้า รับหน้าที่แทนท่าน แล้วจักเชื่อคำท่านมาฆ่าข้าพเข้าได้อย่างไร? ท่านมิต้องวิตกไปดอกกองซุนเอียงจึงมิได้หนีไปไหน เมื่อเว่ยฮุ่ยอ๋องกลับถึงที่พัก ก็กล่าวแก่ขุนนางน้อยใหญ่ว่า อาการป่วยของกงซู่จ้อเห็นทีจะไม่ไหวแล้ว พูดจาเลอะเทอะ จักให้เรามอบตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี แก่ที่ปรึกษาของเขาชื่อกงซุนเอียงคนนั้น เรามิรู้หัวนอนปลายตีนของคนผู้นั้นเลย เป็นใครมาแต่ไหนก็มิรู้ ไฉนจักมอบกิจการบ้านเมืองให้แก่คนผู้นี้ได้ ชะรอยกงซู่จ้อสติคงจะฟั่นเฟือนไปเป็นแน่แท้แล้ว
 
                เมื่อกงซู่จ้อตายแล้วไม่นาน กงซุนเอียงทราบว่าแคว้นฉินแสวงหาผู้รู้จึงเข้าแคว้นฉินไปสมัครด้วย ได้พบฉินเสี้ยวกงถึง ๔ ครั้งด้วยกัน ใน ๒ ครั้งแรกกงซุนเอียงบรรยายเรื่องมรรควิธีแห่งการปกครองบ้านเมือง ของอดีตกษัตริย์ เช่นหยาว ซุ่นแลหยี่ให้ฟัง แต่ฉินเสี้ยวกงมิได้ให้ความสนใจในมรรควิธีเหล่านี้แต่ประการใดเลย จึงมิได้ยกย่องกงซุนเอียงเท่าที่ควร ดังนั้น กงซุนเอียงจึงขอเข้าพบอีกเป็นครั้งที่ ๓ ในครั้งนี้กงซุนเอียง บรรยายถึงวิธีทางแห่งการตั้งตัวเป็นใหญ่ของฉีหวงกง ซ่งเซียงกง สิ้นเหวินกง และฉู่จวงอ๋องในยุคซุนซิว ก่อนหน้านี้ ฉินเสี้ยวกงรู้สึกพึงพอใจเป็นที่ยิ่ง นิ่งฟังอยู่ด้วยความสนใจ ในครั้งที่ ๔ กงซุนเอียงพูดถึงแนวทาง แห่งการสร้างบ้านเมืองให้มั่งคั่งเข้มแข็ง ฉินเสี้ยวกงก็ฟังอย่างเอาใจใส่เหมือนต้องมนต์สะกดเป็นเวลาถึง ๓ วัน ๓ คืน โดยมิได้สึกเหน็ดเหนื่อยเลย ครั้นแล้วก็แต่งตั้งให้กงซุนเอียงเป็นจ่อซู่จ่าง อันเป็นตำแหน่งควบคุมการปกครอง ทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารในสมัยนั้น และลงมือดำเนินตามนโยบายให้บ้านเมืองเข้มแข็งพลเมืองมั่งคั่ง ของกงซุนเอียง ไปทั่วประเทศ


                แนวทางการปฏิบัติการปกครองใหม่ของกงซุนเอียง เป็นต้นว่ายกเลิกการสืบฐานันดรศักดิ์ในวงศ์ตระกูล ให้แต่งตั้งและเลื่อนตำแหน่งขุนนางตามความดีความชอบ ส่งเสริมการเพราะปลูก ที่ผลิตได้มา ก็ไม่ต้องเกณฑ์แรงงาน ห้ามกระทำความผิดอย่างเข้มงวดกวดขัน ผู้ใดทำผิด ครอบครัวและเพื่อนบ้าน จะต้องรับผิดชอบถูกลงโทษด้วยกันเป็นต้น


                แนวทางการปฏิรูปการปกครองของกงซุนเอียง ได้ดำเนินอยู่ในแคว้นฉิน ๑๐ ปี ภาวการณ์ของบ้านเมืองก็เปลี่ยนแปลงไปสิ้น ของตกไม่หาย โจรขโมยไม่มี ราษฎรทั้งหลายจึงหาญกล้า ที่จะออกรบเพื่อบ้านเมือง ไม่หาเหตุทะเลาะวิวาทกันด้วยเรื่องส่วนตัว แคว้นฉินเต็มไปด้วยความสงบราบรื่น บ้านเมืองเข้มแข็ง พลเมืองก็มั่งคั่ง


                ในเวลานั้น เป็นช่วงที่เถียนจี้ ซุนปินนำทัพไปตีแคว้นเว่ยเพื่อช่วยแคว้นหานอยู่ ซุนปินใช้กลอุบายลดเตาไฟ ตีทัพเว่ยพ่ายที่หม่าหลิง ฆ่าฟังจวนขุนพลเอกของเว่ยตายในที่รบ กงซุนเอียงเห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะที่แคว้นฉิน จักแผ่ขยายอำนาจของตนออกไป ในปีรุ่งขึ้นหลังจากฟังจวนเสียชีวิตแล้ว (๓๔๑ ปีก่อนคริสตกาล) กงซุนเอียง



จึงแนะนำฉินเสี้ยวกงว่า

แคว้นเว่ยเป็นหนาวยอกอกแคว้นฉินอยู่ หากมิใช่แคว้นเว่ยกลืนแคว้นฉิน ก็จะต้องเป็นฉินกลืนเว่ยเสีย เพราะแคว้นเว่ยครองด้านตะวันตกของภูเขาจงเถียวซานเอาไว้ ส่วนด้านตะวันออกของภูเขาเถียวซานนั้น เป็นภูเขาสูงชันรับง่ายบุกยาก เมืองหลวงก็ตั้งอยู่ที่นครอันอี้ (อำเภอเซี่ยเสี้ยนในมณฑลซานซีปัจจุบัน)

มีแม่น้ำเหลืองคั่นไว้กับแคว้นฉินเท่านั้น ทั้งยังยึดด้านตะวันออกของภูเขาเสียวซานอ้นเป็นชัยภูมิที่ดีไว้ด้วย มาทางตะวันตกก็จะบุกฉินได้ฉินได้ผู้ครองแคว้นที่ดี จึงรุ่งเรืองเฟื่องฟูขึ้น ส่วนแคว้นเว่ยเมื่อปีที่แล้ว ก็ถูกแคว้นตีเอาจนยับเยินไป ผู้ครองแคว้นต่าง ๆ ก็มิได้สมัครสมานด้วย จึงเป็นโอกาสดีที่แคว้นฉินจะบุกแคว้นเว่ย เมื่อแคว้นเว่ยรับการบุกของแคว้นฉินไม่ไหวก็จักเคลื่อนไปทางตะวันออก ดังนั้น แคว้นฉินก็จะสามารถครอบครองเอาชัยภูมิสำคัญในอาณาบริเวณแม่น้ำเหลืองและภูเขาเสียวซานเอาไว้ ถอยก็จะรับได้ รุกก็ขยายฟื้นที่ออกไปทางตะวันออก ข่มผู้ครองแคว้นอื่นๆ ลงโดยง่ายนี่เป็นมรรควิธีแห่งจักรพรรดิ มิควรจะละทิ้งโอกาสนี้เสีย ขอให้ท่านอ๋องจงตัดสินใจโดยเร็ว


                ฉินเสี้ยวกงตรึกตรองแล้วก็เห็นด้วย จึงตั้งให้กงซุนเอียงเป็นแม่ทัพนำไพร่พล ๕ หมื่นยกออกจากนครเสียนหยาน เดินทัพมุ่งไปทางตะวันออก ฝ่ายเว่ยฮุ่ยอ๋องทราบว่ากองทัพฉินยกมาทางตะวันออก ทางแคว้นซีเหอคับขัน จึงเรียกขุนนางน้อยใหญ่มาปรึกษา กงจื่ออั๋งจึงว่า เมื่อครั้งที่กงซุนเอียงยังอยู่ในแคว้นเว่ยนั้น คบหากับข้าพเจ้าอยู่ บัดนี้ ข้าพเจ้าใคร่จักนำทหารไปต้านทัพฉิน ว่ากล่าวกันด้วยทำนองคลองธรรมกับกงซุนเอียง หากเขาคิดถึงความสัมพันธ์แต่กาลก่อน ทัพฉินก็จะถอยไปในไม่ช้า ถ้าหากเขามิเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็จักยึดแม่น้ำ และภูเขาอันเป็นชัยภูมิตามธรรมชาติต้านทานไว้อย่างสุดความสามารถ ทัพฉินก็คงจะทำอะไรกับแคว้นเว่ยมิได้เว่ยอุ่ยอ๋องฟังความแล้วก็ให้ยินดีเป็นที่ยิ่ง แต่งตั้งให้กงจื่ออั๋งเป็นแม่ทัพนำไพร่พล ๕ หมื่นไปช่วยแคว้นซีเหอ เมื่อกงจื่ออั๋งถึงแคว้นซีเหอ ก็นำทัพเข้าไปตั้งมั่นอยู่ในเมืองอู๋เฉิง เมืองอู๋เฉิงนี้เดิมทีเป็นเมืองหนึ่งที่อู๋ฉี่บุกตีแคว้นฉิน มาได้ ๕ เมืองต่อเนื่องกัน จึงได้รับการแต่งตั้งจากเว๋ยเหวินโหวผู้ครองแคว้นเว่ยในขณะนั้น ให้เป็นผู้ครองแคว้นซีเหอ อู๋ฉี่จึงสร้างกำแพงเมืองและป้อมค่ายคูรบขึ้นมาอย่างแข็งแรงต้านแคว้นฉิน จึงยากแก่การเข้าตียิ่งนัก
 
                เมื่อกงซุนเอียงนำทัพฉินเข้ามายังแคว้นซีเหอจนกระทั้งมาประชิดเมืองอู๋เฉิง เห็นกำแพงเมืองอู๋เฉิงแข็งแรงนัก ยากที่จะหักเข้าไปด้วยกำลังได้ จึงคิดอุบายที่จะตีเมืองอู๋เฉิงอยู่ ครั้งทราบว่าทางแคว้นเว่ยส่งกงจื่ออั๋งนำไพร่พล มาต้านทัพฉินก็ให้รู้สึกดีใจ คิดอยู่ในใจว่า อุบายเราสำเร็จแน่แล้วในครั้งนี้จึงเขียนหนังสือขึ้นฉบับหนึ่ง ส่งคนนำสารไปตะโกนยังตีนกำแพงเมืองว่า กงซุนเอียงแม่ทัพแห่งแคว้นฉินมีหนังสือถึงกงจื่ออั๋งแม่ทัพแคว้นเว่ย ขอให้เปิดประตูออกมารับด้วย ทหารจึงนำความไปแจ้งแก่กงจื่ออั๋ง ขณะนั้น กงจื่ออั๋งก็กำลังคิดจะมีหนังสือ ถึงกงซุนเอียงอยู่ เพื่อเจรจาสงบศึกต่อกัน
 
                เมื่อได้ข่าวว่ากงซุนเอียงมีหนังสือก่อน จึงสั่งให้หย่อนเชือกลงจากกำแพงเมืองรับหนังสือขึ้นมา หนังสือของกงซุนเอียงมีความว่า เมื่ออยู่ในแคว้นเว่ย ท่านกับข้าพเจ้าก็คบหาสมาคมกันเป็นอันดี บัดนี้ แม้เราจะรับใช้เจ้านายที่ต่างกัน เป็นแม่ทัพของเว่ยและฉิน แต่ข้าพเจ้าก็มิอยากจะให้เกิดการรบราฆ่าฟันกัน ใคร่จะได้พบหน้าท่าน ทำสัญญาแก่กัน ต่างถอยทัพกลับไป ทำให้แคว้นฉินกับแคว้นเว่ยอยู่ด้วยกันอย่างสันติสุข หากท่านเห็นฟ้องด้วยก็จงกำหนดวันเวลาที่เราทั้งสองจักพบกันเพื่อหารือในเรื่องนี้สืบไป กงจื่ออั๋งอ่านจบก็ดีใจยิ่งนัก รีบเขียนหนังสือตอบเห็นด้วยกับการเจรจา แต่กงจื่ออั๋งมิได้เฉลี่ยวแม้สักนิดเดียว นี่คือกลอุบาย เชื่อจึงวางใจ มืดเพื่อเตรียมการเมื่อกงซุนเอียงได้รับหนังสือตอบแล้ว ก็รู้ว่ากงจื่ออั๋วหลงกลในจนแล้ว จึงสั่งให้เตรียมการในทันที ถอนทัพฉินออกไปจากใต้กำแพงเมืองอู่เฉิง แสร้งทำเป็นยกทัพกลับฉิน แต่ในทางลับแล้วกลับสั่งให้ซุ่มซ่อนไพร่พลไว้ในที่พ้นตาโดยรอบ ให้ถือเสียงประทัดเป็นสำคัญ แล้วให้กรูกันออกมาจับตังกงจื่ออั๋งไว้ในขณะเดียวกันก็ให้คนจัดสุราอาหารโต๊ะเก้าอี้ไว้พร้อมสรรพ ณ แหล่งประชุมรอกงจื่ออั๋งออกมา


                เมื่อถึงวันกำหนด กงจื่ออั๋งก็นั่งรถออกมาจากเมือง พร้อมด้วยบริวารมือเปล่า ๓๐๐ คน กงซุนเอียงจึงออกมาต้อนรับ กงจื่ออั๋งเห็นฝ่ายตรงข้ามมีอยู่เพียงไม่กี่คน ทั้งไม่มีอาวุธด้วยก็ยิ่งไม่สงสัย ทั้ง ๒ คนเมื่อพบกัน ต่างสนทนากันถึงเรื่องเก่า ๆ ในครั้งกระโน้นเป็นที่สำราญใจและเมื่อปรึกษาถึงเรื่องสงบศึกต่างเป็นมิตรแก่กันแล้ว กงซุนเอียงก็เชิญกงจื่ออั๋งและบริวารให้เข้าร่วมโต๊ะ เลี้ยงสุราอาหารเป็นที่เบิกบาน แต่กงจื่ออั๋งดื่มสุราได้เพียงไม่กี่จอก ก็ได้ยินเสียงประทัดดังขึ้น พร้อมทั้งเสียงโห่ร้องอึงคะนึง กงจื่ออั๋งจึงรู้ว่าหลงกลเสียแล้ว ขยับตัวจะหนีก็ถูกคนรับใช้ ๒ คน ซึ่งที่แท้เป็นขุนพลของแคว้นฉินจับมัดไพล่หลังจนกระดิกตัวไม่ได้กงจื่ออั๋งจึงตะโกนเรียกบริวารให้ช่วย แต่บริวาร ก็ถูกจับเป็นเชลยหมดสิ้นแล้ว ไหนเลยจะมาช่วยกงจื่ออั๋งได้ กงซุนเอียงจึงนำกงจื่ออั๋งใส่รถนักโทษ ส่งคนนำกลับไปถวายฉินเสี้ยวกงรายงานชัยชนะของตน ครั้นแล้วจึงใช้บริวารของกงจื่ออั๋งเรียกให้ทหารเว่ย เปิดประตูเมือง แล้วเข้ายึดเมืองอู๋เฉิงได้ โดยมิได้เสียไพร่พลสิ้นเปลืองกำลัง


                เมื่อเมืองอู๋เฉิงแตก แคว้นซีเหอก็รักษาไว้ได้ยาก เว่ยฮุ่ยอ๋องจึงจำต้องย้ายเมืองหลวงจากนครอันฮี้ไปอยู่เมืองต้าเหลียง (เมืองไคฟงในมณฑลเหอหนานปัจจุบัน) และตัดแคว้นซีเหอให้แคว้นฉินไปเพื่อสงบศึก ในเวลานั้นเว่ยฮุ่ยอ๋อง ให้รู้สึกกลัดกลุ้มเป็นอันมาก รำพึงรำพันแก่คนทั้งหลายว่า เราเสียใจที่มิได้เชื่อฟังคำของกงซู่จ้อแต่แรก ฆ่ากงซุนเอียงเสีย เวลานี้เสียใจก็สายไปเสียแล้วส่วนกงซุนเอียง เนื่องจากมีความดีความชอบในการตีแคว้นเว่ย ฉินเสี้ยวกงจึงตั้งให้เป็นซาง จินเทียบเท่าผู้ครองแคว้น แล้วมอบ ๑๕ เมืองให้อยู่ได้การปกครองของกงซุนเอียง



                แต่หลังจากฉินเสี้ยวกงสิ้นชีพแล้ว เนื่องจากในช่วงเวลาที่กงซุนเอียงปฏิรูปการปกครองตามแนวทางของตนนั้น ได้กระทบกระเทือนถึงผลประโยชน์ของพวกเจ้านายเป็นอันมาก ต่างแค้นเคียงอยู่ในใจครั้นเมื่อเฉินฮุ่ยเหวินอ๋อง ขึ้นมาครองแคว้นฉิน กงซุนเอียงก็ถูกจับมัดติดกับรถศึก ๔ คัน ฉีกร่างออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ จนตาย กลยุทธ์นี้ เห็นจะตรงกับสุภาษิตไทยเราที่ว่า ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ





กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า

พยายามทำให้ฝ่ายข้าศึกเข้าใจว่าฝ่ายเรามิได้มีการตระเตรียมแต่อย่างใดเลย จึงสูญเสียความระมัดระวัง แต่ฝ่ายเรากลับวางแผนอย่างลับ ๆ เมื่อตระเตรียมพร้อมแล้วก็ให้รวบหัวรวบหางพิชิตเอาชัยในทันที

แต่ไม่ควรจะให้ข้าศึกรู้ตัวก่อนเป็นอันขาด อันอาจจะก่อให้เกิดอุปสรรคที่ไม่จำเป็นขึ้น ที่ว่า ซ่อนดาบในยิ้ม” ก็คือ ปากหวานใจคดใบหน้านั้นยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ในใจแฝงไว้ด้วยด้วยความเหี้ยมเกรียมที่จะเอาชีวิตกัน”.




 Source :  http://porgorn0009.blogspot.com/2012/05/blog-post_2970.html

No comments:

Post a Comment