จากจดหมายเหตุชีวประวัติกุยแก โดยเฉินโซ่ว (Biography of
Guo Jia)
กุยแก หรือ กัวะเจียะ (Guo
Jia) ชื่อรอง เฟิ่งเซี่ยว (Fengxiao)
เกิดปีค.ศ.170 เป็นชาวเมืองอิงฉวน มณฑลเหอหนาน เฉินโซ่วบันทึกไว้ด้วยความยกย่องว่า กุยแกเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในฐานะเป็น กุนซือ หรือ เสนาธิการ ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยกย่องมากที่สุดในกองทัพของโจโฉ
เมื่อวัยหนุ่ม กุยแกมีชื่อเสียงอย่างมากว่าเป็นบัณฑิตที่มีสติปัญญาล้ำเลิศ ท่วงท่าสง่างาม เขายังมีชื่อเสียงเลื่องลือในด้านที่ชอบกล่าววิจารณ์ผู้คนและเสียดสีสังคมอย่างตรงไปตรงมา ในเวลานั้นอ้วนเสี้ยวซึ่งกำลังสะสมกำลังอำนาจอยู่ทางตอนเหนือจึงเชิญกุยแกให้มารับราชการอยู่ด้วย จากนั้นกุยแกจึงได้ไปรับราชการอยู่กับอ้วนเสี้ยว เฉกเช่นเดียวกับบัณฑิตและนักปราชญ์ส่วนใหญ่ในแถบเหอหนานและเหอเป่ยที่มักจะเลือกไปทำงานอยู่กับอ้วนเสี้ยวกันมาก ฝ่ายอ้วนเสี้ยวเองก็ให้ความเลื่อมใสในตัวกุยแกมาก
แต่ต่อมา กุยแกได้กล่าววิจารณ์อ้วนเสี้ยวอย่างรุนแรงให้กับเหล่ากุนซือคนอื่นๆเช่น ซินผิงและกัวเต๋าได้ฟังว่า
“ผู้มีปัญญาหาญกล้าย่อมเลือกรับใช้เจ้านายผู้มีปัญญาหาญกล้าเช่นกัน ท่านอ้วนเสี้ยวนั้นต้องการจะเป็นดั่งจอมมหาราชในยุคโบราณดังเช่น โจวไท่กง ซึ่งเป็นยอดนักปกครองที่มีจิตใจกว้างขวางและเปิดรับผู้มีสติปัญญาทั้งหลาย แต่สำหรับอ้วนเสี้ยวแล้วกลับไม่รู้ว่าจะใช้งานบุคคลเหล่านี้ให้เต็มความสามารถอย่างไร และมักจะตัดสินใจกระทำการต่างๆตามที่ตนเองต้องการมากกว่า ด้วยความไร้ซึ่งคุณลักษณะของผู้นำที่ดีเช่นนี้จึงเป็นการยากยิ่งที่จะสามารถพิชิตเหล่าขุนศึกแล้วรวบรวมแผ่นดินจีนให้เป็นหนึ่งเดียวได้ อยู่กับบุคคลเช่นนี้ ก็ย่อมมีแต่ความอับเฉาเท่านั้น ข้าพเจ้าคิดจะผละจากไป แล้วพวกท่านคิดอย่างไรกัน”
พวกซินผิงและกัวเต๋ากลับมีความเห็นตรงกันข้ามว่า “ท่านอ้วนเสี้ยวนับเป็นผู้มีจิตใจเมตตา ผู้คนทั้งหลายยอมติดตามรับใช้เป็นอันมาก ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอ้วนเสี้ยวก็นับได้ว่าเป็นขุนศึกที่มีกำลังเข้มแข็งมากที่สุด แล้วจะมีผู้อื่นใดที่เหมาะสมยิ่งไปกว่านี้กันอีกเล่า”
ในเวลาเดียวกันนั้น ฮือจื่อไช่ กุนซืออาวุโสคนสนิทของโจโฉ เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว แต่เขาอายุมากแล้ว ไม่นานจึงล้มป่วยแล้วสิ้นชีพลง โจโฉเศร้าเสียใจมาก จึงเขียนจดหมายไปสอบถามซุนฮกเพื่อขอให้ช่วยแนะนำบุคลากรที่มีความสามารถจะมาแทนที่ตำแหน่ง ซุนฮกจึงเขียนตอบกลับด้วยการแนะนำกุยแกให้ ไม่นาน กุยแกก็ได้รับเชิญให้เข้าพบกับโจโฉ ทั้งสองสนทนากันเรื่องบ้านเมืองและสถานการณ์ในแผ่นดินกันตลอดวัน โจโฉมีความยินดีมากแล้วกล่าวว่า “ต้องเป็นท่านผู้นี้เองจึงจะสามารถช่วยให้ข้าพิชิตแผ่นดินได้”
กุยแกก็มีความยินดียิ่งนัก จึงตอบว่า “ข้าพเจ้าได้พบนายดีที่คู่ควรจะถวายตัวรับใช้แล้ว”
แล้วโจโฉก็แต่งตั้งกุยแกให้เป็นกุนซืออยู่ในกองทัพ นับแต่นั้นโจโฉก็มีความเชื่อถือและไว้วางใจในความสามารถและสติปัญญาของกุยแกเป็นอย่างมาก
ในปีนั้น ลิโป้ได้ช่วยเหลือเล่าปี่ที่เมืองชีจิ๋ว แต่กลับตลบหลังชิงเมืองมาจากเล่าปี่เสียเอง เล่าปี่เจ็บแค้นใจมาก จึงไปขอพึ่งพิงโจโฉ ฝ่ายโจโฉเองก็ให้การต้อนรับและปฏิบัติต่อเล่าปี่ด้วยความให้เกียรติยิ่งนัก แล้วต่อมายังแต่งตั้งให้โจโฉเป็นเจ้าเมืองอี้จิ๋ว แต่ก็มีบางคนได้แนะนำโจโฉว่า “เล่าปี่ผู้นี้มีจิตใจทะเยอทะยานแอบซ่อนไว้เบื้องหลัง หากปล่อยเอาไว้ก็จะเป็นภัยแก่ฝ่ายเรา จึงควรกำจัดเล่าปี่ทิ้งแต่โดยเร็ว”
โจโฉครุ่นคิดเรื่องนี้จึงปรึกษากับกุยแก ซึ่งเขาได้กล่าวว่า “กองทัพของเราได้ชื่อว่าเป็นกองทัพธรรมผู้พิชิตทรราช นี่คือสาเหตุว่าทำไมผู้คนจำนวนมหาศาลจึงมาเข้าด้วยกับฝ่ายเรา อีกทั้งเล่าปี่เองก็มีชื่อเสียงในหมู่ประชาชนทั่วหลายว่าเป็นผู้ทรงคุณธรรม หากว่าเราลงมือกำจัดวีรบุรุษผู้มาขอพึ่งพิงเราในยามยากเช่นนี้แล้ว ต่อไปเมื่อผู้คนทั้งปวงได้ทราบ ก็จะไม่มีผู้ใดอยากมาเข้าร่วมกับฝ่ายเราอีกต่อไป ดังนั้นข้าพเจ้ามีความเห็นว่าผู้ที่เสนอความคิดให้นายท่านเช่นนี้ พวกเขาเองได้คำนึงถึงผลได้ผลเสียที่ตามมาเหล่านี้บ้างหรือไม่ เขาได้คิดช่วยเหลือนายท่านจริงหรือไม่ จึงไม่เป็นเรื่องฉลาดเลยที่จะฟังคำของคนเพียงคนเดียวแล้วจะทำให้นายท่านต้องสูญเสียงานใหญ่ทั้งปวงไปเช่นนี้”
โจโฉฟังแล้วจึงกล่าวว่า “เจ้านับเป็นยอดคนที่มีสติปัญญาโดยแท้จริง” ดังนั้น โจโฉจึงเสนอตำแหน่งและมอบกำลังทหารให้เล่าปี่ไปประจำการอยู่ที่เมืองเพ่ย เพื่อให้เล่าปี่เป็นกันชนเตรียมรับศึกจากลิโป้ต่อไป แล้วยังเป็นการซื้อใจเล่าปี่ไว้อีกด้วย
ปีค.ศ.197 อ้วนเสี้ยวได้ส่งสารไปถึงโจโฉ เนื้อหาในสารนั้นเต็มไปด้วยความหยิ่งยโสโอหัง สร้างความเดือดดาลให้โจโฉมาก จึงปรึกษากับซุนฮกและกุยแกว่า “ข้าอยากจะเคลื่อนทัพเปิดศึกกับอ้วนเสี้ยว แต่ก็เกรงว่าจะยังมิอาจสู้ศึกได้ ด้วยกองทัพของเรายังอ่อนกำลังกว่า”
ซุนฮกและกุยแกจึงกล่าวว่า “พวกเราเองก็รู้ในข้อนี้ ในครั้งอดีตนั้น หลิวปัง (เล่าปัง) หรือ พระเจ้าฮั่นเกาจู่ ปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ฮั่น ก่อนจะพิชิตแผ่นดินได้นั้น ก็ได้ทำศึกกับ เซี่ยงหยี่ ซึ่งเป็นคู่ปรับคนสำคัญ หลิวปังในช่วงแรกนั้นมิอาจเทียบเคียงกับเซี่ยงหยี่ได้เลย แต่สุดท้ายแล้วเขาก็สามารถใช้สติปัญญาความสามารถเอาชนะได้ในที่สุด บัดนี้ นายท่านมีคุณสมบัติของผู้นำทั้งสิบประการ แต่ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายอ้วนเสี้ยวนั้นไร้ซึ่งคุณสมบัติของผู้นำทั้งสิบประการ”
“แม้ว่าอ้วนเสี้ยวจะแข็งแกร่ง แต่เขาก็ไร้ความสามารถ เขามีกฎระเบียบมากมาย แต่กลับไร้ซึ่งความยุติธรรม เขามีเหล่าขุนนางอยู่จำนวนมาก แต่เขากลับปฏิบัติต่อผู้คนเหล่านั้นอย่างลำเอียงและน่าเคลือบแคลง แม้ว่าเขาจะมีความคิดมากมาย แต่ก็เต็มไปด้วยความลังเลไม่ชัดเจน เขาฟังแต่คำสรรเสริญเยินยอ แต่ผลักไสคนที่กล่าวตักเตือนและวิจารณ์ เขาไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งใดถูกหรือผิด และสุดท้าย เขาไร้ความสามารถในการทหารอย่างสิ้นเชิง”
โจโฉฟังแล้วก็หัวเราะ จึงกล่าวว่า “ข้าเกรงว่าตัวข้าเองจะมิได้ปราดเปรื่องดังเช่นคำของพวกเจ้า”
กุยแกจึงเสนอว่า “อ้วนเสียวต้องนำทัพขึ้นเหนือไปทำศึกกับกองซุนจ้าน ดังนั้นจึงเป็นโอกาสให้พวกเราได้จัดการลิโป้ให้ได้อย่างเด็ดขาด ถ้าแม้นว่าอ้วนเสี้ยวนำทัพบุกพวกเราในเวลานี้แล้วลิโป้เกิดตลกลงเป็นพันธมิตรกับอ้วนเสี้ยวแล้ว ฝ่ายเราก็จะตกอยู่ในภาวะคับขันในทันที”
ซุนฮกจึงกล่าวขึ้นบ้างว่า “ไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่อ้วนเสี้ยวจะพิชิตดินแดนเหอเป่ยได้ในเร็ววัน ดังนั้นพวกเราจึงควรลงมือจัดการลิโป้ก่อนเป็นอันดับแรก”
โจโฉร้องขึ้นว่า “นั่นแหละ!! แต่ข้าเองก็หวาดวิตกว่าถ้าอ้วนเสี้ยวคิดจะบุกโจมตีดินแดนกวนจง (ดินแดนทางตะวันตก) เขาก็จะจับมือเป็นพันธมิตรกับเผ่าเกี๋ยงและเผ่าหูทางตอนเหนือและทางตะวันตก แล้วยังอาจรวมไปถึงกองกำลังในจ๊กและเผ่าหูทางใต้ ซึ่งหากว่าทั้งหมดนี้สามารถผนึกกำลังกันได้แล้ว ก็เป็นการยากที่ฝ่ายเราจะต้านทานไว้ได้แน่ อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกเราสามารถยึดครองเมืองเอียนจิ๋วและอิจิ๋วได้ก่อนแล้ว นั่นก็เท่ากับว่าเราจะสามารถจัดการปัญหาลงไปได้อย่างน้อยห้าในหกส่วนแล้วเช่นกัน”
ซุนฮกจึงกล่าวว่า “เหล่าขุนศึกในดินแดนกวนจงไม่ได้มีกำลังทหารเข้มแข็งมากนัก ม้าเท้งและหันซุยเป็นขุมกำลังที่มีแสนยานุภาพเข้มแข็งที่สุด ถ้าพวกเขาเห็นว่าจะมีภัยมาถึง ก็จะเคลื่อนกำลังป้องกันตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าแม้นพวกเรายอมแสดงความใจกว้างแล้วผูกมิตรต่อพวกเขาไว้ก่อน ก็จะสามารถทำให้แดนตะวันตกพบความสงบได้ ข้าขอเสนอท่านจงฮิงให้เป็นผู้รับหน้าที่ดูแลดินแดนทางตะวันตก ท่านจงฮิวเป็นผู้ที่มีสติปัญญากล้าหาญ หากให้ท่านจงฮิวรับหน้าที่แล้วก็จะสามารถแก้ไขปัญหาในดินแดนตะวันตกได้แน่”
โจโฉเห็นชอบด้วยกับทั้งข้อเสนอของกุยแกและซุนฮก จึงทำฎีกาขึ้นถวายต่อฮ่องเต้เพื่อให้แต่งตั้งจงฮิวรับตำแหน่งเป็นผู้ดูแลดินแดนแถบกวนจง มีอำนาจรับผิดชอบควบคุมเหล่าขุนพลในฝั่งตะวันตกทั้งปวง จากนั้นจงฮิวจึงเดินทางไปประจำการอยู่ที่นครเตียงอัน แล้วเขียนจดหมายไปถึงม้าเท้งและหันซุยเพื่อตกลงเจรจาระหว่างกัน ขุนศึกทั้งสองต่างก็ยอมรับข้อเสนอให้สงบศึกของจงฮิว แล้วพวกเขายังยอมส่งบุตรชายของพวกเขาเองให้เดินทางมาที่นครหลวงฮูโต๋ในฐานะเป็นตัวประกันอีกด้วย จากแผนการนี้ของซุนฮกจึงช่วยทำให้ดินแดนฝั่งตะวันตกแทบทั้งหมดมาอยู่ใต้อาณัติของโจโฉโดยที่ไม่ต้องทำศึกเลย
ปีค.ศ.198 โจโฉทำศึกชนะลิโป้ กระทั่งลิโป้ต้องถอยทัพไปตั้งมั่นอยู่ในเมืองแห้ฝือ ทัพโจโฉบุกโจมตีเมืองอย่างหนักหน่วงแต่เมื่อเวลาผ่านไปนานก็ยังไม่สามารถยึดเมืองได้เลย โจโฉเกิดความลังเลว่าควรจะถอยทัพกลับไปก่อนดีหรือไม่
แต่กุยแกและซุนฮิวได้โต้แย้งว่าไม่ควรถอยทัพในตอนนี้ พวกเขาเสนอว่า แม้ลิโป้จะเป็นยอดขุนศึกที่มีความเก่งกาจกล้าหาญเหนือคน แต่ก็ไร้ความสุขุมรอบคอบ อีกทั้งลิโป้เองก็พ่ายแพ้ในการศึกกับโจโฉมาแล้วถึงสามครั้งติดต่อกัน ขวัญกำลังใจในกองทัพตกต่ำถึงขีดสุด ถึงแม้ว่าจะมีตันก๋งเป็นกุนซือที่มีความสามารถอันล้ำเลิศคอยช่วยเหลือ แต่ก็ยากที่ตันก๋งเองจะช่วยพลิกสถานการณ์กลับมาให้ลิโป้ได้อีกแล้ว
โจโฉจึงเห็นด้วยกับทั้งสองว่านี่เป็นเวลาอันสมควรแล้วที่จะเผด็จศึกลิโป้ให้จงได้ ไม่ควรถอยทัพกลางคัน ดังนั้นจึงนำทัพบุกตีเมืองต่อไป แล้วกุยแกกับซุนฮิวก็วางแผนด้วยการส่งทหารให้ลอบไปขุดคลองแล้วพังเขื่อนกั้นแม่น้ำกิสุย น้ำปริมาณมหาศาลไหลทะลักเข้าท่วมเมืองแห้ฝืออย่างหนักหน่วง ทหารของลิโป้ต้องเผชิญกับน้ำที่ไหลบ่าเข้าเมืองไม่หยุด จนกระทั่งเกิดโรคระบาดลุกลาม ทั้งประชาชนและทหารในเมืองสูญเสียขวัญกำลังใจสู้ศึกจนไม่เหลือ
โจโฉยังคงสั่งปิดล้อมเมืองจนกระทั่งถึงเดือนสิบสอง ลิโป้ซึ่งกำลังเหนื่อยล้าจากการทำศึกก็ดื่มสุราแล้วเมาหลับไปในปราสาท ทหารคนสนิททั้งสามของลิโป้คือ เฮาเฉง ซ่งเหียน และ อุยสก ทั้งหมดได้แปรพักตร์ไปเข้ากับโจโฉ ช่วยกันรุมจีบลิโป้มัดส่งตัวให้โจโฉในที่สุด ลิโป้ขอยอมสวามิภักดิ์ แต่โจโฉก็สั่งประหารชีวิตลิโป้ในที่สุด หลังเสร็จศึกแล้ว โจโฉก็ตระเตรียมทัพให้พร้อมเพื่อจะเปิดฉากสู้ศึกกับอ้วนเสี้ยวทางภาคเหนือต่อไป
ปีค.ศ.199 โจโฉก้าวขึ้นมาเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนัก อยู่ใต้ฮ่องเต้เพียงองค์เดียว แต่แท้จริงแล้วโจโฉได้กลายเป็นผู้มีอำนาจเหนือกว่าองค์ฮ่องเต้ ชื่อเสียงของโจโฉในการเป็นทรราชผู้กดข่มฮ่องเต้จึงเริ่มแพร่กระจายไปทั่ว
ตังสินได้ส่งสารเป็นการลับไปให้กับเล่าปี่และขุนศึกอีกหลายคนเพื่อให้ร่วมกันโค่นล้มอำนาจของโจโฉ แต่เล่าปี่หวาดเกรงว่าโจโฉอาจจะระแวงสงสัย จึงหาทางหลบหนีออกไปจากนครหลวง แล้วก็สบโอกาสเมื่อเล่าปี่เห็นว่าอ้วนสุดกำลังเคลื่อนทัพเพื่อก่อการกบฏต่อราชวงศ์ฮั่น จึงขออาสาโจโฉเคลื่อนทัพปราบอ้วนสุด โจโฉตกลงให้เล่าปี่ไปแล้วมอบทหารให้ด้วย แต่กุยแกและขุนนางอีกหลายคนเห็นว่าไม่ควรปล่อยเล่าปี่ให้จากไป โจโฉตรองแล้วก็เห็นด้วยจึงส่งสารไปเรียกให้เล่าปี่นำทัพกลับมา แต่สายเกินไปแล้ว อีกทั้งอ้วนสุดได้ถอยทัพกลับไปที่เมืองซิ่วซุน เล่าปี่จึงใช้โอกาสที่โจโฉกำลังเริ่มเปิดศึกกับอ้วนเสี้ยว นำทัพเข้าเมืองชีจิ๋วแล้วลงมือสังหารสองขุนพลที่รักษาเมืองชีจิ๋วและแห้ฝือทิ้ง แล้วเล่าปี่ก็ประกาศไม่ขออยู่ร่วมโลกกับโจโฉอีกต่อไป
ปีค.ศ.200 แผนโค่นล้มอำนาจของโจโฉเกิดรั่วไหล ดังนั้นตังสินและผู้มีส่วนร่วมวางแผนก่อการจึงได้ถูกโจโฉจับกุมตัวแล้วสั่งประหารชีวิตทั้งหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งครอบครัวและญาติพี่น้องที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเพียงเล็กน้อยก็ตาม มีเพียงเล่าปี่เท่านั้นที่หลบรอดหนีออกไปได้ แล้วนับวันขุมกำลังของเล่าปี่ก็มีแต่จะยิ่งเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆด้วย ที่ปรึกษาหลายคนของโจโฉจึงมีความกังวลว่าอ้วนเสี้ยวจะบุกโจมตีมาก่อน ดังนั้นจึงเห็นว่าควรเปิดศึกเพื่อจัดการอ้วนเสี้ยวก่อนเป็นอันดับแรก
แต่โจโฉกลับคิดแตกต่างไป เขามีความเห็นว่าเล่าปี่นับเป็นยอดวีรุบุรษแห่งยุคนี้ และหากปล่อยเล่าปี่ไว้เช่นนี้ต่อไปแล้ว ก็จะกลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่จะขัดขวางงานใหญ่ของตนได้
กุยแกเองก็เห็นด้วยกับโจโฉในข้อนี้ เขาได้วิเคราะห์คุณลักษณะที่แตกต่างกันระหว่างอ้วนเสี้ยวและเล่าปี่ไว้ว่า “อ้วนเสี้ยวเป็นคนขี้ระแวงและด้วยนิสัยเช่นนี้ย่อมทำให้กระทำการต่างๆด้วยความหุนหันและผิดพลาดได้ง่าย ในขณะที่เล่าปี่นั้นมีความเยือกเย็น หากปล่อยไว้เล่าปี่ก็จะกล้าแข็งขึ้นจนจะยากที่จะกำจัดได้โดยง่าย ดังนั้นหากจะจัดการเล่าปี่ก็ควรลงมือเสียตั้งแต่ในยามนี้” ดังนั้นโจโฉจึงตัดสินใจนำทัพบุกถล่มเล่าปี่ที่ชีจิ๋วก่อนเป็นอันดับแรก ฝ่ายอ้วนเสี้ยวนั้นเมื่อทราบข่าว เตียนห้อง กุนซือคนสนิทของอ้วนเสี้ยวจึงแนะนำให้ใช้โอกาสที่โจโฉกำลังบุกปราบเล่าปี่อยู่นี้ ให้อ้วนเสี้ยวนำทัพบุกโจมตีตลบหลังโจโฉเสียเลย แต่อ้วนเสี้ยวกำลังกังวลเรื่องบุตรชายคนเล็กที่กำลังล้มป่วย จึงไม่ยอมสั่งเคลื่อนทัพ ทำให้เสียโอกาสล้ำค่าไป
ฝ่ายเล่าปี่เมื่อทราบว่าโจโฉกำลังเคลื่อนทัพใหญ่มาก็ประหลาดใจมากที่โจโฉคิดจัดการตนเป็นอันดับแรก เขาไม่ทันเตรียมทัพรับศึกจึงต้องแตกพ่ายไป เล่าปี่ต้องหนีตายและพลัดพรากจากครอบครัว ส่วนโจโฉก็เข้ายึดเมืองแห้ฝือที่มีกวนอูอยู่รักษาเมือง กวนอูไม่มีทางเลือกจึงต้องยอมสวามิภักดิ์ต่อโจโฉในที่สุด ส่วนเล่าปี่ก็หนีตายขึ้นไปทางเหนือ กระทั่งหนีไปขอพึ่งพิงอ้วนเสี้ยวที่เมืองเย่ ผลจากชัยชนะเหนือเล่าปี่ครั้งนี้ ทำให้โจโฉสามารถเตรียมเปิดศึกกับอ้วนเสี้ยวได้โดยที่ไม่ต้องพะวงหลังว่าจะต้องรับศึกจากเล่าปี่พร้อมกันอีกด้าน นับเป็นความดีความชอบของกุยแกที่แนะนำให้โจโฉจัดการเล่าปี่ให้เด็ดขาดไปก่อน
เฉินโซ่วบันทึกเสริมว่า เมื่อซุนเซ็กผงาดขึ้นเป็นใหญ่เหนือดินแดนกังตั๋งได้นั้น ได้สร้างความประหลาดใจให้เหล่าขุนนางและขุนพลของโจโฉอย่างมาก ที่คนหนุ่มอย่างซุนเซ็กสามารถพิชิตดินแดนกังตั๋งจนราบคาบลงได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี อีกทั้งซุนเซ็กยังคิดการใหญ่ อาศัยช่วงที่โจโฉกำลังเปิดศึกกับอ้วนเสี้ยว แล้วนำทัพบุกโจมตีนครฮูโต๋ เหล่ากุนซือของโจโฉพากันแตกตื่นมากเมื่อทราบว่าซุนเซ็กกำลังจะเคลื่อนทัพ มีเพียงกุยแกเท่านั้นที่ยังเยือกเย็นได้โดยไม่หวั่นไหวไปกับสถานการณ์คับขันเช่นนี้
กุยแกกล่าวกับโจโฉและคนอื่นๆว่า แม้ซุนเซ็กจะเป็นยอดขุนศึกผู้ห้าวหาญและเก่งกล้าเหนือคน แต่ซุนเซ็กนั้นปราศจากความสุขุมเยือกเย็น มักออกล่าสัตว์เพียงลำพังกับผู้ติดตามเพียงไม่กี่คน ดังนั้นการลงมือสังหารซุนเซ็กจึงง่ายดายมาก แค่ใช้มือสังหารเพียงไม่กี่คนก็สามารถจัดการได้แล้ว แล้วสุดท้ายก็เป็นไปตามที่กุยแกคาดการณ์ไว้จริงๆ เมื่อซุนเซ็กซึ่งเป็นนักรบผู้เก่งกล้ากลับโดนมือสังหารเพียงไม่กี่คนรุมเล่นงานระหว่างออกล่าสัตว์ แล้วซุนเซ็กก็สิ้นชีพลงเพราะบาดแผลที่ได้รับจากอาวุธที่อาบยาพิษนั่นเอง
ปีค.ศ.200 โจโฉเปิดศึกกับอ้วนเสี้ยวที่กัวต๋อ กุยแกได้ช่วยให้คำแนะนำกับโจโฉในการทำศึกใหญ่ครั้งนี้ เขากล่าวถึงคุณลักษณะของผู้นำที่แตกต่างกันระหว่างโจโฉและอ้วนเสี้ยวซึ่งจะเป็นตัวชี้ผลแพ้ชนะครั้งสำคัญไว้ว่า
“นายท่านมีชัยชนะเหนืออ้วนเสี้ยวถึงสิบประการ หนึ่ง นายท่านมิได้ถือตัวหรือเอาแต่ยศศักดิ์ แม้กระทำการสิ่งใดถ้ามีผู้ใต้บัญชาโต้แย้งขึ้นมา นายท่านก็จะว่าไปตามเหตุผลที่เห็นสมควร”
“สอง นายท่านมีน้ำใจโอบอ้อมอารีต่อคนทั้งปวงอย่างจริงใจ เห็นใจชาวประชาที่ยากไร้”
“สาม นายท่านจะทำการสิ่งใดล้วนถือเอารับสั่งองค์ฮ่องเต้เป็นหลัก คนทั้งปวงล้วนให้การยอมรับ”
“สี่ นายท่านจะว่ากล่าวสิ่งใดก็ความเด็ดขาด ผู้คนทั้งปวงให้ความเคารพยำเกรง”
“ห้า นายท่านมีใจซื่อตรง เลี้ยงดูเหล่าทหารด้วยความยุติธรรม แม้จะเป็นญาติพี่น้อง หากกระทำผิดก็จะลงโทษว่ากล่าวโดยมิได้เอนเอียงข้างผู้ใด”
“หก
นายท่านคิดทำการสิ่งใดก็มีจิตใจมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จลงให้ได้”
“เจ็ด นายท่านจะมีความจริงใจรักใคร่ผู้ใดก็ด้วยใจจริง”
“แปด นายท่านชุบเลี้ยงและปูนบำเหน็จให้ผู้อยู่ใกล้และไกลอย่างเท่าเทียมเสมอกันตามผลงานความชอบและความสามารถโดยมิได้ถือเอาคนใกล้ตัวเป็นหลักแล้วไม่ไยดีคนไกลตัว”
“เก้า นายท่านดำเนินการสิ่งใดก็ล้วนยึดถือตามขนบธรรมเนียมโบราณโดยมิได้ล่วงละเมิด”
“สิบ นายท่านเชี่ยวชาญการทำศึกและการใช้กลยุทธ์ แม้ข้าศึกจะมีกำลังพลมากกว่าก็ยังคิดอ่านหาหนทางที่จะชนะได้ ทั้งหมดคือลักษณะสิบประการที่นายท่านมีชัยเหนืออ้วนเสี้ยวอย่างเทียบกันมิได้”
แล้วกุยแกก็วิเคราะห์แจกแจงต่อว่า
“ฝ่ายอ้วนเสี้ยวนั้นกลับพ่ายแพ้นายท่านถึงสิบประการด้วยกัน หนึ่ง อ้วนเสี้ยวเป็นคนถือยศศักดิ์เป็นใหญ่ ไม่ยอมฟังความคิดเห็นขัดแย้งจากผู้ใด”
“สอง อ้วนเสี้ยวเป็นคนหยาบช้า ไม่มีน้ำใจต่อผู้ใต้บัญชา”
“สาม อ้วนเสี้ยวจะดำเนินการสิ่งใดล้วนไร้ความหนักแน่นเด็ดขาด”
“สี่ อ้วนเสี้ยวมักเห็นแก่ญาติพี่น้องและคนใกล้ชิดของตนเองเป็นหลัก แม้กระทำความผิดก็มิได้คิดจะว่ากล่าวตักเตือนหรือลงโทษตามสมควรเลย”
“ห้า อ้วนเสี้ยวคิดการสิ่งใดมักกลับเอาดีเป็นร้าย เอาร้ายเป็นดี เอาแน่นอนมิได้”
“หก
อ้วนเสี้ยวชุบเลี้ยงผู้คนโดยปราศจากใจจริง แม้แสดงออกว่าต่อหน้าว่ามีความเชื่อถือ แต่ลับหลังกลับเป็นชิง”
“เจ็ด อ้วนเสี้ยวมักเอาใส่ใจปูนบำเหน็จเฉพาะคนใกล้ชิด แต่หากผู้ใดห่างเหินหรือทำงานอยู่ห่างไกลก็ไร้ความใส่ใจ”
“แปด อ้วนเสี้ยวเป็นคนหูเบาเชื่อคำยุแยงของคนคิดร้ายได้ง่ายดาย”
“เก้า อ้วนเสี้ยวทำการสิ่งใดล้วนเอาแต่ความอำเภอใจ ปราศจากการยึดถือตามขนบธรรมเนียมโบราณอันดีงาม”
“สิบ อ้วนเสี้ยวปราศจากความรอบรู้ในกลยุทธ์ทางทหาร มักทำตนเสมือนรู้มาก แต่กลับคิดอ่านในการใช้กลยุทธ์ตามแต่ใจโดยมิได้รู้ว่าจะสามารถกำหนดชัยชนะหรือพ่ายแพ้ได้อย่างไร”
“ดังที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คือคุณลักษณะสิบประการที่นายท่านมีชัยเหนือกว่าอ้วนเสี้ยว นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมอ้วนเสี้ยวจะเป็นฝ่ายปราชัยต่อนายท่านอย่างแน่นอน”
การวิเคราะห์คุณลักษณะสิบประการของโจโฉและอ้วนเสี้ยวเหล่านี้ มีความสอดคล้องกับสิ่งที่ซุนฮกเองก็ได้วิเคราะห์ถึงความแตกต่างด้านคุณลักษณะผู้นำที่ดีของทั้งสองคนไว้เช่นกัน เมื่อโจโฉได้ฟังกุยแกกล่าวย้ำเช่นนี้ จึงมีความมั่นใจที่จะทำศึกกับอ้วนเสี้ยวให้เด็ดขาดโดยไม่ถอยทัพกลับกลางคัน ประกอบกับโจโฉได้ส่งสารไปสอบถามความเห็นจากซุนฮกที่นครหลวงเช่นกัน ฝ่ายซุนฮกได้แนะนำให้โจโฉยืนหยัดสู้ต่ออีกอย่างน้อยครึ่งปี เขาเชื่อว่าภายในทัพของอ้วนเสี้ยวจะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นเป็นแน่ แล้วเมื่อนั้นจึงแนะนำให้โจโฉฉวยโอกาสนั้นใช้กลยุทธ์พิสดารเพื่อเอาชัยชนะมาให้ได้
สุดท้าย ด้วยคำแนะนำให้ยืนหยัดสู้ของซุนฮก โดยมีกุยแกช่วยเสริมย้ำถึงโอกาสแห่งชัยชนะด้วยการแจกแจงคุณลักษณะของผู้นำที่โจโฉมีเหนือกว่าอ้วนเสี้ยว ในที่สุดโจโฉก็สามารถเอาชัยชนะเหนืออ้วนเสี้ยวในศึกที่กัวต๋อได้สำเร็จ
ปีค.ศ.201 อ้วนเสี้ยวตรอมใจจากความพ่ายแพ้จนล้มป่วยหนักแล้วสิ้นชีพลงกะทันหัน บุตรชายทั้งสองของเขาคืออ้วนถำและอ้วนซงซึ่งมีข้อขัดแย้งกันมานานจึงเริ่มเปิดศึกชิงอำนาจระหว่างกันเอง ในเดือนเก้าของปีนี้ โจโฉจึงนำทัพบุกโจมตีอ้วนถำที่เมืองหลี่หยาง ฝ่ายอ้วนถำจึงขอความช่วยเหลือไปที่อ้วนซง แต่อ้วนซงกลับระแวงงว่าพี่ชายตนจะถอืโอกาสนี้เข้าแย่งชิงอำนาจในการบัญชาทหารในตระกูลอ้วนของตนไปครองเสียเอง อ้วนซงจึงไม่ได้ส่งกำลังไปช่วย เรื่องนี้จึงยิ่งทำให้ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองพี่น้องทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก
ปีค.ศ.203 โจโฉสั่งเคลื่อนทัพบุกพิชิตตระกูลอ้วนเต็มอัตราศึกเพื่อจะพิชิตแดนเหนือให้ราบคาบ สองพี่น้องตระกูลอ้วนต้องหนีตายจากไปที่เมืองเย่ จากนั้นในเดือนสี่ โจโฉก็นำทัพบุกถึงเมืองเย่ได้ เนื่องจากทัพโจโฉประสบปัญหาเรื่องเสบียง สองพี่น้องตระกูลอ้วนจึงเห็นเป็นโอกาสโจมตีกลับ ทัพของโจโฉประสบปัญหาไม่น้อย โจโฉจึงเตรียมเปิดฉากรบอีกครั้ง
แต่คราวนี้กุยแกกลับแย้งว่ายังไม่ควรดึงดันทำศึกต่อ กุยแกวิเคราะห์ว่า หากโจโฉยังเปิดฉากรุกกดดันทั้งสองพี่น้องตระกูลอ้วนต่อไป พวกเขาก็จะยอมละความบาดหมางแล้วหันมาผนึกกำลังกันเพื่อตอบโต้อย่างสุดกำลัง แต่หากเป็นตรงกันข้าม พวกเขาก็จะหันกลับมาเปิดศึกกันเองต่อไป ดังนั้นกุยแกจึงแนะนำให้โจโฉรั้งทัพไว้ ยังไม่ควรเปิดฉากบุกโจมตีในเวลานี้ แต่ควรแสร้งทำทีว่าจะนำทัพลงใต้เพื่อบุกปราบเล่าเปียวเพื่อให้พี่น้องตระกูลอ้วนตายใจ จากนั้นจึงเฝ้ารอคอยโอกาสที่เหมาะสมค่อยเปิดศึกทางเหนืออีกครั้ง โจโฉเห็นด้วยกับกุยแก จึงนำทัพถอยกลับไปตั้งมั่นที่นครฮูโต๋ แล้วมอบหมายให้ขุนพลส่วนหนึ่งปักหลักดูแลแนวรบทางภาคเหนือเพื่อเฝ้ารอโอกาสเผด็จศึกตระกูลอ้วนในภายหลัง
ปีค.ศ.203 เมื่อไร้ศึกจากโจโฉ ทำให้สองพี่น้องอ้วนถำและอ้วนซงหันมาเปิดศึกชิงอำนาจต่อกันอีกครั้ง อ้วนถำส่งสารไปยอมเข้าด้วยกับโจโฉเพื่อจะขอยืมกำลังโจโฉทำศึกพิชิตอ้วนซง จากนั้นโจโฉก็เคลื่อนทัพบุกโจมตีนครเย่ อ้วนซงและอ้วนฮีพ่ายแพ้ต้องหนีตายขึ้นเหนือไป ฝ่ายอ้วนถำก็ยอมสวามิภักดิ์ต่อโจโฉ แต่โจโฉไม่สนใจแล้วนำทัพบุกถล่มอ้วนถำจนพินาศ โจโฉสามารถบุกยึดสามหัวเมืองทางเหนือได้ อ้วนซงกับอ้วนฮีจึงรวมกำลังทหารที่เหลือเปิดศึกโต้กลับ แต่ก็พ่ายแพ้จนต้องหนีขึ้นเหนือออกนอกด่านไป ฝ่ายโจโฉก็บุกโจมตีเมืองหนานพี้แล้วสังหารอ้วนถำทิ้ง ทำให้โจโฉเข้ายึดครองดินแดนในปกครองทั้งหมดของอ้วนถำได้สำเร็จในปีถัดมา
กุยแกแนะนำให้โจโฉปลอบขวัญเหล่าประชาชนในเมืองและทหารที่เหน็ดเหนื่อยจากการศึก เพราะหัวเมืองทางเหนือนั้นอยู่ในการปกครองของตระกูลอ้วนมานานนับสิบกว่าปี โจโฉจึงควรซื้อใจปวงชนและสร้างความสงบในหัวเมืองทางเหนือให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก ไม่นาน โจโฉก็สามารถรวบรวมหัวเมืองทางภาคเหนือให้เป็นปึกแผ่นได้ในที่สุด กุยแกได้รับความชอบจากผลงานการปราบตระกูลอ้วนมาก จึงได้รับตำแหน่งเป็นขุนนางชั้นพระยา “เย่าหยางถิงโหว”
ปีค.ศ.207 ฝ่ายอ้วนซงและอ้วนฮีซึ่งหนีตายขึ้นเหนือแล้วออกนอกด่านไป ก็ได้ไปขอพึ่งพิงท่าตู๋ผู้นำเผ่าวูหวนซึ่งเป็นพันธมิตรกับตระกูลอ้วนมานาน โจโฉต้องการเคลื่อนทัพออกนอกด่านเพื่อพิชิตเผ่าวูหวน แต่ก็ยังเป็นกังวลกับสถานการณ์ทางภาคใต้ของนครฮูโต๋ซึ่งอาจจะโดนตลบหลังได้ โดยเฉพาะเล่าเปียวที่เมืองเกงจิ๋ว เพราะเวลานั้นเล่าปี่ได้ไปเข้าร่วมกับเล่าเปียวที่เกงจิ๋วแล้ว เล่าปี่อาจจะถือโอกาสนี้เสนอแผนการให้เล่าเปียวนำทัพใหญ่จากเกงจิ๋วไปบุกโจมตีนครฮูโต๋ในระหว่างที่โจโฉกำลังติดพันกับศึกทางภาคเหนือก็เป็นได้
แต่กุยแกได้วิเคราะห์สถานการณ์ทั้งหมดแล้วก็ชี้แจงว่า “ชนเผ่าทางเหนือนั้นย่อมไม่คิดระวังตัวว่านายท่านจะเคลื่อนทัพบุกออกไปนอกด่าน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ทันจัดเตรียมทัพเพื่อรับมือเป็นแน่ หากฝ่ายเราเคลื่อนทัพบุกโจมตีอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัวทันแล้ว ก็จะสามารถเอาชัยชนะได้อย่างรวดเร็วเกินคาดเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้น ทางภาคเหนือนี้เคยอยู่ในการปกครองของตระกูลออ้วนมาช้านาน อำนาจอิทธิพลของพวกเขายังคงหยั่งรากลึกและได้ใจผู้คนอยู่อีกมาก หากเราปล่อยเวลาให้ยืดเยื้อต่อไป ก็จะเป็นโอกาสให้เผ่าวูหวนเข้ามาผนึกกำลังกับกองกำลังที่ซุกซ่อนอยู่ก่อการกบฏขึ้น เมื่อนั้นสถานการณ์ก็จะคับขันยากแก้ไข หัวเมืองทางภาคเหนือที่เคยอยู่ในอิทธิพลตระกูลอ้วนมานานย่อมจะร่วมมือด้วย เมื่อชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียเช่นนี้แล้ว ปัญหาทางเล่าเปียวจึงยังมิใช่สิ่งที่ต้องคำนึงถึง”
โจโฉได้ฟังเช่นนั้นจึงตัดสินใจทำตามคำแนะนำของกุยแก สั่งเคลื่อนทัพบุกปราบภาคเหนือที่นอกด่าน กุยแกได้เสนอแผนการครั้งนี้ว่า
“ความรวดเร็วคือกลยุทธ์หลักของการศึกครั้งนี้ การเดินทางทัพไกลออกไปนอกด่านที่ไม่คุ้นเคยย่อมต้องสิ้นเปลืองพลังงานและยุทธ์ปัจจัยไปมาก ขณะที่พวกข้าศึกคือชนเผ่านอกด่านนั้นก็เป็นกลุ่มคนที่มีความคุ้นเคยกับสภาพภูมิประเทศและสภาพอากาศอันโหดร้ายอย่างดี พวกเขาย่อมใช้ความได้เปรียบเหล่านี้ในการตั้งรับการบุกของฝ่ายเราไว้ได้ ดังนั้นฝ่ายเราจึงควรใช้ความรวดเร็วเป็นกลยุทธ์หลัก ให้ทิ้งสัมภาระและยุทธ์ปัจจัยที่ไม่จำเป็นและมีน้ำหนักมากไว้เบื้องหลัง จากนั้นใช้ทหารม้าเคลื่อนพลด้วยความเร็วสูงสุดก็จะสามารถลอบโจมตีเผ่าวูหวนในระหว่างที่พวกเขาไม่ทันเตรียมการได้แน่”
โจโฉทำตามแผนการนี้ กองทัพทหารม้าภายใต้การนำของเตียวเลี้ยวก็ได้เคลื่อนพลไปตามเส้นทางอันทุรกันดารทั้งตลอดวันและคืน จากนั้นหน่วยอาชาเสือดาวที่นำโดยโจซุ่งก็ได้ลอบโจมตีเผ่าวูหวนอย่างรวดเร็ว ทัพของโจโฉบุกสังหารท่าตู๋ ผู้นำของเผ่าวูหวนลงได้ แล้วยังได้สังหารทหารจากเผ่าวูหวนได้อีกราวหมื่นคน จับเป็นเชลยได้อีกราวสองหมื่นคน ซึ่งต่อมาทหารเผ่าวูหวนเหล่านี้ก็ได้ผนวกเข้ามาในกองทัพทหารม้าของโจโฉอีกมาก ส่วนที่เหลือก็ปะปนกับชนเผ่านอื่นๆต่อไป เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ อ้วนซงและอ้วนฮีจึงต้องหนีตายอีกครั้งแล้วไปขอพึ่งพิงกองซุนคังที่เมืองเหลียวตงซึ่งอยู่ในคาบสมุทรทางเหนือจรดกับเกาหลี
โจโฉคิดจะนำทัพบุกเหลียวตงต่อ แต่ก็ติดขัดที่ระยะทางยาวไกล อีกทั้งทัพของโจโฉต้องเดินทัพออกมานอกด่านเพื่อปราบเผ่าวูหวนแล้วใช้กลยุทธ์เดินทัพม้าด้วยความรวดเร็ว ทหารจึงเหนื่อยล้าและเสบียงทัพก็มีจำกัดด้วย
กุยแกแนะนำว่าโจโฉไม่จำเป็นต้องนำทัพไล่ตามพี่น้องตระกูลอ้วนต่อไปแล้ว เพราะอีกไม่นาน กองซุนคังก็จะเอาศีรษะของอ้วนซงและอ้วนฮีมาเป็นของกำนัลให้โจโฉเองแน่นอน ดังนั้นในเดือนเก้าของปีเดียวกัน โจโฉจึงไม่ติดตามพี่น้องตระกูลอ้วน แล้วเดินทัพกลับมาทางเลียบชายฝั่งทะเลตงไห่ซึ่งสามารถใช้เดินทัพได้แล้ว จากนั้นจึงกลับไปตั้งหลักที่ภาคกลางเพื่อเตรียมการต่อ แล้วไม่นานนัก กองซุนคังก็จัดส่งศีรษะของอ้วนซงและอ้วนฮีมาให้ตามคำทำนายของกุยแกจริงๆ
ปีค.ศ.208 โจโฉสามารถสยบดินแดนภาคเหนือและภาคกลาง (จงหยวน) ไว้ได้โดยเบ็ดเสร็จทั้งหมด ฮ่องเต้จึงประกาศแต่งตั้งให้โจโฉขึ้นเป็นสมุหนายก มีอำนาจใต้หนึ่งคนแต่อยู่เหนือผู้คนนับแสนนับล้าน เวลานั้น จึงเหลือเพียงขุนศึกที่มีขุมกำลังอยู่ทางภาคใต้และภาคตะวันตกเท่านั้นที่ยังพอจะต้านทานอำนาจของโจโฉได้บ้าง ซึ่งศัตรูสำคัญที่โจโฉหมายจะจัดการให้ได้มากที่สุดนั้นกลับกลายเป็นเล่าปี่ซึ่งไปขอพึ่งพิงอยู่กับเล่าเปียวที่เกงจิ๋ว
กุยแกได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่โจโฉให้ความไว้วางใจเชื่อถือในคำแนะนำมากที่สุด ครั้งหนึ่งโจโฉได้กล่าวขึ้นว่า “กุยแกเป็นเพียงผู้เดียวในโลกนี้ที่สามารถหยั่งรู้ถึงห้วงความคิดของข้าได้”
แต่ระหว่างการทำศึกปราบเผ่านอกด่านทางภาคเหนือนั้น กุยแกซึ่งมีสุขภาพร่างกายไม่ดีนักก็ได้ล้มป่วยลงอย่างหนัก กุยแกต้องกลับไปรักษาตัวที่นครฮูโต๋ สุดท้ายก็จึงสิ้นชีพลงด้วยวัยเพียง 38 ปีเท่านั้น
โจโฉเศร้าเสียใจกับการจากไปของกุยแกอย่างสุดซึ้ง เขาถึงกับเอ่ยด้วยความอาลัยให้เหล่าขุนนางทั้งหมดได้ฟังว่า “ในบรรดาพวกเจ้าทุกคน กุยแกเป็นผู้ที่อ่อนวัยที่สุด ข้าคิดจะฝากฝังเรื่องราวภายหลังจากนี้ให้แก่เขา แต่เขากลับมาด่วนสิ้นลงตั้งแต่ยังหนุ่ม หรือบางทีนี่อาจเป็นลิขิตที่สวรรค์กำหนดไว้แล้ว”
โจโฉจึงได้ออกประกาศสรรเสริญกุยแกไปทั่วทั้งแผ่นดินว่า “กุยแกร่วมต่อสู้ศึกเคียงข้างตัวข้ามานานกว่า 11 ปี เมื่อใดที่ข้าต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากแก่การตัดสินใจ กุยแกก็ได้ช่วยเหลือข้าแก้ไขปัญหาเหล่านั้นจนลุล่วงได้เสมอ เขาต้องมาสิ้นลงก่อนเวลาอันควรเช่นนี้นับเป็นความเสียหายใหญ่หลวงยิ่งนัก พวกเราจะไม่มีวันลืมเลือนเรื่องราวของเขา และจะยังรำลึกถึงเกียรติคุณของเขาต่อไปตราบนานเท่านาน”
จากนั้น โจโฉจึงถวายฎีกาให้ราชสำนัก ขอตำแน่งย้อนหลังให้กุยแกขึ้นเป็นพระยาผู้ภักดี “จิงโหว” (Loyal of Marquis) ส่วนบุตรชายของกุยแกก็ได้รับสืบทอดตำแหน่งต่อไป
ปีค.ศ.208 โจโฉนำทัพบุกลงใต้ พิชิตเมืองเกงจิ๋ว แล้วทำศึกผาแดงกับพันธมิตรเล่าปี่และซุนกวน ผลคือโจโฉเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ กองทัพเรือยโดนเผาทำลายเสียหายยับเยินจำนวนมาก โจโฉต้องถอนทัพกลับขึ้นเหนือ ระหว่างนั้นเขาได้ถอนใจแล้วกล่าวกับเหล่าบริวารว่า
“ถ้ากุยแกยังคงมีชีวิตอยู่ ข้าคงมิต้องเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้ใหญ่หลวงเช่นนี้เป็นแน่”
เฉินโซ่ววิจารณ์ทิ้งท้ายไว้ว่า กุยแกเป็นผู้ที่คู่ควรกับการเป็นยอดกุนซือเมื่อพิจารณาจากผลงานที่เขาได้ให้คำแนะนำและเป็นที่ปรึกษากองทัพของโจโฉได้อย่างยอดเยี่ยม คำแนะนำต่างๆของเขามีคุณค่าต่อโจโฉมาก ด้วยแผนกลยุทธ์และคำแนะนำทั้งหลายของกุยแกนั้นมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้โจโฉสามารถพิชิตแผ่นดินภาคเหนือและภาคกลางให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้สำเร็จได้ เฉินโซ่วยังเขียนยกย่องว่า กุยแกนับเป็นยอดกุนซือที่มีความสามารถด้านกลยุทธ์ทางทหารอย่างชนิดที่ยากจะปรากฏให้เห็นได้ในประวัติศาสตร์จีนเลยทีเดียว
โจโฉเองก็ได้ประเมินคุณค่าของกุยแกไว้สูงส่งมากเช่นกัน ดังนั้นการที่กุยแกต้องมาด่วนสิ้นชีพลงตั้งแต่ยังหนุ่มก่อนที่จะสามารถบรรลุความฝันในการรวบรวมแผ่นดินให้กลับมาเป็นปึกแผ่นได้อีกครั้งนั้น จึงเท่ากับเป็นเรื่องที่น่าโศกาอาลัยยิ่งนัก
อธิบายเสริม
จากจดหมายเหตุทั้งหมดนี้ จะพบว่ากุยแกเป็นผู้มีความสามารถในการวางกลยุทธ์ทางทหารและการเมืองภายใต้แนวคิด “วิเคราะห์บุคลิกของผู้คน” จึงนับว่าเป็นยอดกุนซือที่มีความสามารถในด้านนี้อย่างล้ำเลิศและหาตัวได้ยากยิ่งนัก โจโฉมีกุนซือและที่ปรึกษาทางทหารจำนวนมากก็จริง แต่ผู้ที่มีความสามารถในการทำนายผลการศึกและสถานการณ์ต่างๆโดยอาศัยการวิเคราะห์บุคลิกของผู้ที่มีส่วนได้เสียต่างๆนั้น นับว่ายังไม่มีผู้ใดเทียบเท่ากับกุยแก
ความเสียดายที่โจโฉมีต่อกุยแกยิ่งเห็นได้ชัดหลังจากเขาไปพ่ายศึกผาแดงในเวลาต่อมา ซึ่งทำให้โจโฉไม่กล้าที่จะนำทัพบุกลงภาคใต้อีกเลยชั่วชีวิต ทำได้เพียงตรึงกำลังไว้ตามแนวรบบริเวณภาคใต้เท่านั้น แต่อันที่จริงแม้ว่ากุยแกจะยังมีชีวิตอยู่ โจโฉก็คงยากที่จะชนะศึกผาแดงได้อยู่ดี เพียงแต่ความเสียดายของเขาคือ ถ้ากุยแกยังอยู่ อาจจะช่วยมิให้ต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยินเช่นนั้น หรือสามารถแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้ เพราะหากกุยแกยังมีชีวิตอยู่ เขาน่าจะสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ศึกได้อย่างเฉียบคมเมื่อต้องเผชิญกับแม่ทัพใหญ่ของง่อก๊กอย่างจิวยี่ แล้วก็อาจจะช่วยโจโฉแก้ไขวิกฤติที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้นการบ่นเสียดายของโจโฉจึงอาจจะไม่ได้เล็งเรื่องชัยชนะ แต่อย่างน้อยที่สุดถ้ามีกุยแกก็อาจจะไม่ได้พ่ายแพ้ยับเยินนั่นเอง
กุยแกยังสร้างผลงานสำคัญอีกเรื่องคือเป็นผู้ดำเนินแผนการช่วยเหลือกวีหญิงอัจฉริยะแห่งยุค นั่นคือ นางไช่เหวินจี หรือนางซัวบุนกี๋ง บุตรีของมหาปราชญ์ซัวหยง อดีตเจ้ากรมอาลักษณ์ของราชสำนักฮั่นผู้ล่วงลับไปแล้ว
โจโฉมีความเคารพซัวหยงและสนิทสนมกับนางซัวบุนกี๋มาก แต่เมื่อครั้งตั๋งโต๊ะเผาเมืองหลวงลกเอี๋ยงจนเหลือแต่ซากไปแล้ว นางซัวบุนกี๋โดนชนเผ่านอกด่านลักพาตัวออกไป นางจึงตกเป็นภรรยาของผู้นำเผ่าซงหนูโจเอียนอ๋อง ซึ่งนางซัวบุนกี๋นั้นได้ชื่อว่าเป็นกวีหญิงยอดอัจฉริยะชนิดที่มิอาจหาได้อีกในสมัยนั้น โจโฉเมื่อทราบข่าวก็คิดพาตัวนางกลับมาจากนอกด่าน กุยแกจึงเสนอแผนให้ส่งแก้วแหวนเงินทองเพื่อไปไถ่ตัวนางกลับมา หลังจากกุยแกเสียชีวิตไปแล้ว นางซัวบุ๋นกี๋จึงได้เดินทางกลับมายังแผ่นดินจงหยวนอีกครั้ง แล้วโจโฉก็จัดการให้นางได้แต่งงานใหม่เป็นภรรยาของตังกี๋ ซึ่งเป็นขุนนางใกล้ชิดของโจโฉในเวลาต่อมา ผลงานครั้งนี้ของกุยแกจึงทำให้โจโฉยิ่งชื่นชมและอาลัยมากยิ่งขึ้น
มาจนถึงยุคปัจจุบัน นักประวัติศาสตร์และนักวิจารณ์วรรณกรรมรุ่นหลังมักวิเคราะห์และถกเถียงกันอย่างรุนแรงว่า ระหว่าง กุยแก และ จูกัดเหลียง ขงเบ้ง หากสมมติว่าทั้งสองคนได้มีโอกาสเผชิญหน้าประลองปัญญากันแล้ว ใครกันแน่ที่จะมีสติปัญญาเหนือกว่า หรือใครกันแน่ที่จะเป็นฝ่ายชนะ นี่เป็นหนึ่งในคำถามที่ถกเถียงกันมานาน และเป็นคำถามโลกแตกที่ยากจะวัดผลได้
อันที่จริง หากเราวิเคราะห์กันตามประวัติศาสตร์และผลงานที่ปรากฏจับต้องได้จริงโดยให้ความยุติธรรมกับทั้งสองฝ่ายมากพอแล้วก็จะพบว่า ไม่ว่าจะ กุยแก หรือ ขงเบ้ง ทั้งสองคนก็ล้วนเป็นสุดยอดกุนซือแห่งยุคสามก๊ก เพียงแต่พวกเขาต่างก็เป็นยอดกุนซือที่มีความสามารถแตกต่างกันไปอย่างมาก เพราะกุยแกนั้นมีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์บุคลิกของผู้นำหรือผู้เกี่ยวข้องกับการศึก แล้วจึงนำมาประมวลผลเพื่อคาดการณ์และแจกแจงถึงผลการศึกที่ตามมาได้อย่างแม่นยำ ส่วนขงเบ้งนั้นมีความเคร่งครัดในวินัยกองทัพ การบริหารจัดการบุคลากร มีความเจนจัดในด้านคัมภีร์ และการเจรจาทางการเมือง ความสามารถของทั้งคู่เป็นไปคนละเส้นทาง จึงยากที่จะชี้วัดได้ว่าใครจะเก่งกว่ากัน
แต่สุดท้ายแล้วที่เชื่อกันมากคือ กุนซืออันดับหนึ่งในสายทหารของโจโฉก็คือกุยแกผู้นี้เอง โดยมีซุนฮกเป็นกุนซืออันดับหนึ่งสายบริหาร น่าเสียดายว่ากุยแกสิ้นชีพเร็วเกินไป จึงยากจะวัดผลงานของเขากับกุนซือชั้นนำคนอื่นๆได้ชัดเจนนัก
สรุปข้อแตกต่างเรื่องราวของกุยแก ระหว่างจดหมายเหตุและนิยาย
1.ในนิยายสามก๊ก
ไม่ได้เล่ารายละเอียดเรื่องที่กุยแกมาเข้าร่วมกับโจโฉมากเท่าไรนัก โดยในนิยายนั้นเล่าเพียงว่า หลังจากซุนฮกได้แนะนำเทียหยกให้กับโจโฉแล้ว เทียหยกก็เตือนให้ซุนฮกนึกถึงคนบ้านเดียวกันกับซุนฮกอย่างกุยแกว่าเป็นผู้มีความสามารถมาก ซุนฮกจึงนึกขึ้นได้แล้วก็แนะนำกุยแกให้มาอยู่กับโจโฉนั่นเอง แต่ในจดหมายเหตุก็จะพบว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้กุยแกได้มาอยู่กับโจโฉเพราะซุนฮกช่วยแนะนำกุนซือที่จะมาแทนตำแหน่งของฮื่อจื่อไช่เอาไว้ เมื่อโจโฉและกุยแกได้พบแล้วสนทนากันแล้ว โจโฉจึงมีความยินดีรับกุยแกมาเป็นกุนซือในกองทัพนับแต่นั้นมา
2.อันที่จริง ผลงานของกุยแกที่ประทับอยู่ในความรู้สึกของคนอ่านนิยายสามก๊กนั้น เห็นจะไม่พ้นเรื่องการวิเคราะห์คุณลักษณะผู้นำสิบประการที่โจโฉมีเหนือกว่าอ้วนเสี้ยว มากกว่าเรื่องการวางแผนกลยุทธ์ทางทหารใดๆเสยด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าการใช้กลยุทธ์ของกุยแกจึงดูไม่ชัดเจน และยากที่จะนำไปเปรียบเทียบกับซุนฮกได้ว่าหากขาดใครแล้วโจโฉจะเสียหายกว่ากัน ดังนั้นนักประวัติศาสตร์จีนที่มีความเห็นว่ากุยแกเป็นยอดกุนซืออันดับหนึ่งของโจโฉ ส่วนหนึ่งจึงเป็นเพราะอิทธิพลจากจดหมายเหตุสามก๊กของเฉินโซ่วที่ได้กล่าววิจารณ์ยกย่องกุยแกไว้อย่างเลิศเลอว่าเป็นยอดกุนซือที่มีความสามารถในกลยุทธ์ทางทหารล้ำเลิศมากชนิดที่ยากจะพานพบได้ในประวัติศาสตร์จีนเลยทีเดียว นับว่านี่เป็นการเขียนโดยให้การยกย่องต่อกุยแกเป็นอย่างสูงมาก ซึ่งแม้แต่ในชีวประวัติบทของซุนฮกนั้น เฉินโซ่วก็ยังไม่ได้เขียนยกย่องมากถึงเพียงนี้เลย
Credit : https://my.dek-d.com/eagle/writer/viewlongc.php?id=10590&chapter=7
No comments:
Post a Comment