Saturday, November 16, 2019

ส่วนที่ ๒ กลยุทธ์เผชิญศึก : กลยุทธ์ที่ ๑๒ จูงแพะติดมือ

ส่วนที่ ๒ กลยุทธ์เผชิญศึก
ยามเมื่อเผชิญศึกเท็จลวงกับจริงแท้
พึงใช้สอดแทรกซึ่งกันและกันอย่างสลับซับซ้อน
ทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ
 กลยุทธ์ที่ ๑๒ จูงแพะติดมือ

ช่องทางเล็กก็พึงฉกฉวย ผลได้น้อยก็พึงชิงเอา มืดน้อย สว่างน้อย

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า แม้จะเป็นความเลินเล่อของข้าศึกเพียงเล็กน้อยเราก็ถึงฉกฉวยเอาประโยชน์

แม้จะเป็นชัยชนะเพียงเล็กน้อย ก็จะต้องชิงเอามาให้ได้ มืดน้อยหมายถึงความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆของข้าศึก สว่างน้อยหมายถึงชัยชนะเล็ก ๆ น้อย ๆ ของฝ่ายเรา จูงแพะติดมือหมายถึง อาศัยความประมาทแม้เพียงเล็กน้อยของฝ่ายตรงข้าม ชิงเอาผลประโยชน์มาเป็นของฝ่ายเราเสีย

กลยุทธ์นี้เป็นกลอุบายที่ใช้ช่องอันเป็นจุดอ่อนของข้าศึก ขยายพลังของตนเองออกไป เหมือนหนึ่งจูงแพะของฝ่ายตรงข้ามติดมือเราไปด้วย ช่วงชิงมาซึ่งชัยชนะอย่างสะดวกใจสบายกายอย่างหนึ่ง

กลยุทธ์นี้เดิมมาจาก คัมภีร์จิงเลี่ย ว่าด้วยการเคลื่อนพลซึ่งกล่าวไว้ว่าคอยจ้องหาจุดอ่อนของข้าศึก ฉกฉวยเอาประโยชน์ให้ทันท่วงที

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือการสร้างวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศไทยและในเอเชีย

                โดยประเทศสหรัฐอเมริกา........จีนกับสหรัฐอเมริกานับว่าเป็นประเทศคู่แข่งขันและเป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผย มาตั้งแต่ประเทศจีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์อย่างสมบูรณ์เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๒ เป็นต้นมา สหรัฐฯ ได้สร้างพันธมิตรของตนเองทั่วเอเชียเป็นแนวปิดล้อมการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์จีน การสร้างประเทศต่าง ๆ ให้เป็นประเทศที่มีศักยภาพและมีความมั่งคั่งตามแนว ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง มาเลเซียและสิงคโปร์จึงเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ครั้นเมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดไปแล้ว การขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์หมดความหมายไปตั้งแต่กำแพงเบอร์ลินพังทลายเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๒ ทำให้ภัยจากลัทธิคอมมิวนิสต์โดยจีนหมดสิ้นไป อย่างไรก็ตามการที่จีนได้ประกาศนโยบายปฏิรูป และเปิดประเทศในสมัย เติ้ง เสี่ยว ผิง เป็นผู้นำนั้น ทำให้จีนสามารถพัฒนาเศรษฐกิจของตนได้อย่างก้าวกระโดด ทำให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกต่างจับตามมองการเคลื่อนไหวขอจีนอย่างสนใจ จีนได้ประกาศนโยบาย การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ๕ ข้อ เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาคมโลก ที่ทำให้เห็นว่า จีนไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อประเทศใด ๆ อีกต่อไป ยิ่งทำให้จีนได้เพิ่มความสำคัญให้กับตัวเอง จีนกลายเป็นประเทศที่มีคู่ค้าขายมากขึ้น ด้วยการมีแผนในการปิดล้อมจีนมาอย่างต่อเนื่องและไม่ได้ยกเลิก แต่มีการพัฒนาให้แผนสามารถที่จะปรับใช้ต่อการเปลี่ยนแปลงของจีนได้อย่างต่อเนื่อง ( บัญญัติ ๑๐ ประการในการทำลายจีนของสหรัฐฯ, The 10 Commandment to conquer China  

ซึ่งหลักฐานอันนี้ได้ถูกตีพิมพ์สู่สาธารณะอันเป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วไปอยู่แล้ว ) สหรัฐฯ ได้พัฒนา แผนดังกล่าวมาโดยตลอดจนกระทั่งล่าสุด ได้กำหนดแผนขึ้นมาอีกแผนหนึ่งเป็นส่วนประกอบของแผนใหญ่ ในการปิดล้อมจีน คือ การสร้างวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นในอาเซียนและเอเชีย ซึ่งแผนนี้แท้ที่จริงเป้าหมายหลักคือ การทำลายการเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจของจีนที่ต่อเนื่องมายาวนานอันเป็นเหตุให้จีนแข็งแกร่ง และเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ มากขึ้น แต่แผนนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะบรรลุเป้าหมายกังกล่าวข้างต้นนั้น จึงอยู่ในข่ายของการใช้กลยุทธ์ จูงแพะติดมือดังต่อไปนี้

                โดยปกติแล้วสหรัฐฯ ได้มีการเตรียมการวางสายงานด้านการข่าวและเครือข่ายการปฏิบัติงานทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยอันเป็นฐานที่มั่นหลักในการต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ของสหรัฐฯ มาตั้งแต่เมื่อครั้งเริ่มต้นของยุคสงครามเย็น เมื่อปี ๒๕๓๖ ขณะนั้นเป็นยุคที่ นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีของไทย มีนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทย รัฐบาลไทยในยุคนี้ ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาด้านการเงินและการคลังจาต่างประเทศเข้ามาให้คำปรึกษา อย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายหลายกรณีด้วยกัน ทำให้ต่างชาติได้เข้ามาล่วงรู้ความลับด้านการเงิน และการคลังของประเทศไทยจนหมดสิ้น ซึ่งบริษัทต่างชาติดังกล่าวที่ได้รับการว่าจ้างให้เข้ามาเป็น ที่ปรึกษาด้านการเงินและการคลังในสมัยนั้นคือ บริษัท เลห์แมน บราเธอร์ โฮลดิ้ง อันเป็นบริษัท ที่อยู่ในเครือของ นาย จอร์จ โซรอส ผู้ที่เข้ามาตีค่าเงินบาทของไทย ดังที่จะได้กล่าวต่อไป นั่นแสดงให้เห็นว่า จอร์จ โซรอส ได้เริ่มรวบรวมข้อมูลและได้มีการเตรียมการตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ซึ่งผู้ว่าจ้างคือ นายชวน หลีกภัย ในฐานะนายกรัฐมตรี และนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กระทำอย่างจงใจและตั้งใจ และรู้เรื่องผลเสียหาย ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติในอนาคตอย่างชัดเจนอยู่แล้ว( มีกฎหมายบัญญัติห้ามอยู่แล้ว แต่ฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป ) พร้อมกันนั้นนายธารินทร์ฯ ได้ออกนโยบายการนำเข้าเงินทุน จากต่างชาติเพื่อเข้ามาลงทุนในประเทศไทยย่างเสรี พร้อมกับเปิดวิเทศน์ธนกิจ ทำให้การนำเงินลงทุน เข้ามาในประเทศไทยอย่างผิดขั้นตอนและผิดหลักการทางเศรษฐศาสตร์ อันเป็นเงื่อนไขต่อไปในการทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศไทย

                เมื่อถึงสมัยรัฐบาลพลเอก ชวลิต เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี ๒๕๓๙ เป็นช่วงที่สถานการณ์สุกงอมเต็มที่ เศรษฐกิจของไทยได้กลายเป็นเศรษฐกิจฟองสบู่อย่างสมบูรณ์แล้วระเบิดออกมาในที่สุด กระบวนการเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ได้ถูกวางไว้ในประเทศต่าง ทั่วทุกประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯที่แฝงเข้ามาในรูปขององค์กรการค้าหรือการลงทุนใด ๆ ก็ตาม ได้เข้าไปสร้าง องค์ประกอบของการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ไว้ในประเทศต่าง ๆ อย่างสมบูรณ์แบบ ดังที่ซุน วู กล่าวไว้ว่า

“ ...ภารกิจของสามทัพ มิมีผู้ไว้ใจได้เท่าจารชน มิมีผู้ได้รางวัลเท่าจารชน มิมีเรื่องใดลึกลับเท่าจารชน ไม่ปราดเปรื่องมิอาจช้ารชน ไร้เมตตามิอาจบัญชาจารชน ไม่แยบยลมิอาจได้ความจริงจากจารชน แยบยลแสนจะแยบยล มิมีแห่งใดใช้จารชนมิได้ แผนจารชนมิทันใช้ มีผู้ล่วงรู้ก่อน ให้ตายทั้งจารชนและผู้รู้ ......

“...กองทัพที่จะโจมตี เมืองที่จะเข้าบุก คนที่จะต้องฆ่า พึงรู้ชื่อแซ่ ขุนทัพ คนสนิทซ้ายขวา ผู้สื่อสาร นายทวาร เหล่าบริวารก่อน ด้วยใช้จารชนเราสืบหามา...จารชน บรรพที่ ๑๓

                เมื่อวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นที่ประเทศไทย จึงได้ขยายตัวออกไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วภูมิภาคอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งกลายมาเป็นวิกฤตเอเชียและกระทบต่อเศรษฐกิจของโลกในเวลาต่อมา มีนักวิเคราะห์สถานการณ์ ด้านความมั่นคงของโลกได้วิเคราะห์ถึงจำนวนเงินที่สหรัฐฯ จะได้รับจากการสร้างวิกฤตเศรษฐกิจในอาเซียน และเอเชียครั้งนี้คือประมาณ ๗๐๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ ๒๘,๐๐๐,๐๐๐ ล้านบาท นับว่าเป็นตัวเงิน ที่มีมูลค่าไม่น้อยต่อการสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม โดยเป้าหมายหลัก ของสหรัฐอเมริกาแล้ว คือการบรรลุเป้าหมายในการปิดล้อมจีนตามแผน ๓ ขั้น คือ

                ๑) ปิดล้อมจากโลกภายนอก โดยการสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นทั่วโลกแล้วขับไล่อิทธิพลของจีนออกไป ทั้งด้านการค้า การเมืองระหว่างประเทศและการทหารก็ตามที่จีนจะพึงมีอยู่ในภูมิภาคใด ๆ ทั้งนี้ การพัฒนาประเทศของจีนไปสู่ความเป็นมหาอำนาจได้จะต้องอาศัยการค้าขายจึงจะสามารถ สร้างความร่ำรวยมั่งคั่งได้ ความมั่งคั่งคือทุกสิ่งทุกอย่างที่จีนจะสามารถทำได้ เมื่อจีนมั่งคั่ง จะสร้างกองทัพให้เข้มแข็งมีเทคโนโลยีสูงมากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก การสร้างความเข้มเข็ง และอิทธิพลในการเมืองระหว่างประเทศก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกเช่นเดียวกัน ขอให้มีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจขึ้นมาก่อน ฉะนั้นสหรัฐฯ จึงจำเป็นที่จะต้องป้องกันไม่ให้จีนมีความมั่งคั่งตามเป้าหมายของจีนให้ได้ โดยใช้การปิดล้อมจากโลกภายนอกคือการสร้างสถานการณ์ให้มีความปั่นป่วนเกิดขึ้นในทุกพื้นที่ ที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับสหรัฐฯ ได้ ดังที่ ซุน วู กล่าวไว้ว่า “........จงปราบบรรดาอริราชศัตรูโดย

ทำความพินาศให้กับมัน
สร้างความลำบากยากแค้นให้กับมัน
ให้มันต้องวุ่นอยู่เสมอ
หยิบยื่นเหยื่อแห่งอามิสประโยชน์
ทำให้มันต้องรีบรุดไปยังจุดใด ๆ ที่เราประสงค์.....บทที่ ๘ กลยุทธแปรรูป

“ ...พึงให้เจ้าครองแคว้นอื่นสยบด้วยภยันตราย ให้เจ้าครองแคว้นอื่นรับใช้ด้วยอิทธิพลให้เจ้าครองแคว้นอื่นขึ้นต่อด้วยผลประโยชน์...เก้าลักษณะ (บรรพที่ ๘) และจะสามารถสกัดกั้นการเติบโตด้านการค้าขายของจีนกับตลาดโลกให้ได้

                ๒) การสร้างสถานการณ์ความไม่สงบขึ้นรอบบ้านของจีนให้ได้ เช่น สร้างความขัดแย้งให้ทวีมากยิ่งขึ้น ระหว่างอินเดียกับปากีสถาน สร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นระหว่างไทยกับพม่า เป็นต้น

                ๓) การสร้างความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นในประเทศจีนเอง โดยจัดให้มีกลุ่มเคลื่อนไหวต่าง ๆ เคลื่อนไหวก่อความไม่สงบขึ้นทุกวิถีทางให้เหมือนกับที่เคยสนับสนุนการก่อจารจลขึ้น ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินของจีน ซึ่งมีหลักฐานปรากฏอย่างแน่ชัดว่าเป็นการสนับสนุนโดย องค์กร ซีไอเอ ของสหรัฐอเมริกา ( จีน ไทย ในศตวรรษที่ ๒๑ : ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ) หรือแม้กระทั่งการสร้างสงครามขึ้นในดินแดนของจีนในพื้นที่ใด ๆ ก็ตาม

ถ้าสามารถทำได้ นี่เป็นสิ่งที่เหนือความคาดคิดของคนทั่วไป อย่างไรก็ตามนับได้ว่าสหรัฐฯ สามารถที่จะบรรลุแผนตามเป้าหมายคือการได้รับเงินก้อนใหญ่มหาศาลเข้าประเทศถือได้ว่า เป็นการ จูงแพะติดมือ ดังกลยุทธ์ที่ได้กล่าวไว้แล้วนั้น

                สิ่งที่เป็นแพะตัวใหญ่ที่สหรัฐฯ ได้ติดมือไปในช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจที่คนไทยไม่ค่อยจะมีคนรู้กันดีเท่าใดนัก คือเรื่องทรัพยากรธรรมชาติที่สหรัฐฯ วางแผนมานานกว่าจะได้สิ่งนี้มาคือ

                การยึดครองแหล่งอาหารที่ใหญ่ที่สุดหลังปรากฏการณ์ เอล นีโน ตามที่องค์การนาซา ( NASA) ของสหรัฐฯรายงานว่า แหล่งอาหารของโลกทั่วทุกภูมิภาคของโลกจะถูกทำลายไปเป็นจำนวนมากโดยลำดับหลังจาก ปรากฏการณ์ เอล นีโนแล้ว ยกเว้น ในภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียตะวันออกบางส่วน พื้นที่ที่เหลือในการผลิตอาหารเลี้ยงพลเมืองของโลกนั้นมีเพียงแค่ ประเทศไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม ทางตอนใต้ของจีน ( มณฑลยูนนานของจีน ) ปัจจุบันนี้ องค์การนาซาของสหรัฐฯ นอกเหนือจากการสำรวจงาน ด้านอวกาศที่เป็นงานหลักของตนแล้ว ยังทำหน้าที่ในการสำรวจหาแหล่งทรัพยากรธรรมชาติภายใต้พื้นผิวโลก โดยเฉพาะแร่ธาตุที่มีคุณค่าทางด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง

                นาซาได้พบว่า หลังจากปรากฏการณ์ที่มีดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจักรวาลมาเรียงตัวกันเป็นแนวระนาบเมื่อไม่กี่ปีมานี้ แล้วเกิดแรงดูดอย่างรุนแรงต่อของเหลวใต้ผิวโลก น้ำมันปิโตรเลียมบางส่วนมีการเคลื่อนย้าย จากแหล่งเดิมไปสู่แหล่งใหม่ แหล่งปิโตรเลียมใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นคือบริเวณประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบางส่วนของประเทศจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณอ่าวไทยจะมีการเคลื่อนตัวของปิโตรเลียมและแก๊สธรรมชาติ เข้ามาในบริเวณอ่าวไทยอีกเป็นปริมาณที่มากกว่าเดิมหลายเท่า แนวเชื่อมตั้งแต่อินโดนีเซีย บรูไน มาเลเซีย อ่าวไทย เข้าไปยังจังหวัดกำแพงเพชร ผ่านอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ไปยังพม่าและจีนตอนใต้บางส่วน ซึ่งในขณะนี้จีนกับพม่า ได้สำรวจพบปิโตรเลียมปริมาณมากเหล่านี้แล้ว

                เมื่อประมาณกลางเดือน ต.ค.๒๕๔๗ ก็ได้มีการสำรวจพบแหล่งปิโตรเลียมในอ่าวไทยเพิ่มขึ้นอีก อันนี้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดของการปรากฏตัวของแหล่งปริโตรเลียมใหม่ที่จะมีปริมาณไม่น้อยไปกว่า ในตะวันออกกลางเลยทีเดียว อีกส่วนหนึ่งที่สหรัฐฯ ได้ไปก็คือทรัพยากรธรรมชาติที่มีอย่างอุดมสมบูรณ์ ในประเทศไทยที่เมื่อเปลือกโลกและของเหลวใต้โลกเคลื่อนตัวดังที่กล่าวมาแล้วนั้นทำให้แร่ธาตุต่าง ๆ ที่อยู่ใต้พื้นดินลึกลงไปกลับตื้นขึ้นมา เช่น ยูเรเนียม พลูโตเนียม เพชร ทองคำ โปแตสเซียม ( โดยเฉพาะอย่างยิ่งแร่โปแตสเซียมที่มีคุณภาพดีที่สุดในโลกและมากที่สุดในโลกที่อุดรธานี ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าประเทศไทยมีแต่กว่าจะรู้ว่ามีต่างชาติก็ได้สัมปทานไปหมดแล้ว ) และแร่ธาตุอื่น ๆ อีกมากมาย สิ่งเหล่านี้ต่างชาติโดยสหรัฐอเมริกาที่เป็นแกนหลักจะได้มาโดยง่ายเพียงแค่ให้พันธมิตรของตนที่เป็นนักการเมืองไทยในบางยุคบางสมัยออกกฎหมายให้ต่างชาติเช่าที่ดิน จาก อบต.,อบจ. ๙๙ ปี แค่นี้ต่างชาติก็ได้ทรัพย์สินที่มีค่าของประเทศชาติทั้งหมดไปได้ ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่หนักหน่วงที่สุดเท่าที่เคยมีมา รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวผู้อ่าน สามารถหาอ่านได้จากหนังสือ ปอกเปลือก...อานันท์ ปันยารชุน ของ ชลธิศ อาจมนภาพ ฯ , ชำระประวัติศาสตร์ กรณี ตุลาฯ และพฤษภาทมิฬ ( อ้างแล้ว ) , เนื้อหากฎหมายขายชาติ ๑๑ ฉบับ ช่วงรัฐบาลนายชวน หลีกภัย

                มีตัวอย่างบางตัวอย่างที่เกี่ยวข้องพอจะยกมาเป็นอุทาหรณ์ได้บ้างดังนี้
“......ธนาคารพัฒนาแห่งเอเซีย (ADB) ซึ่งปรากฏตามเอกสารของ Asian Development Bank , 1995 คงจะเป็นคำตอบได้ในกรณี นายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ รมว.คลัง ซึ่งเป็นบุคคลใกล้ชิดกับนายอานันท์ เป็นผู้ไปติดต่อกู้เงินจาก ธนาคาร ADB ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 8% ทั้งที่สามารถกู้ธนาคารภายในประเทศ ได้ในอัตราเพียงไม่เกินร้อยละ 2% ที่แสบไปกว่านั้นคือ ประธานของ ADB ได้เปิดเผยในการประชุมที่เชียงใหม่ เมื่อต้นเดือน พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๓ ว่า รัฐบาลของประเทศไทยเป็นผู้เขียนลงในสัญญาการกู้เอง ว่า

เกษตรกรไทยจะต้องจ่ายเงินซื้อน้ำที่ใช้ในการเกษตร ให้กับธนาคารADB ไม่ว่าจะเป็นน้ำฝน น้ำบ่อ น้ำคลอง เขาทำเพื่ออะไร ?? หากจะให้เข้าใจเอาเองแล้วละก็ต้องเข้าใจว่าเนื้อแท้ความต้องการของผู้ไปเขียนสัญญาเช่นนั้นก็คือ ต้องการทำลายโครงการเกษตรพอเพียง ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ประชาชนเสื่อมความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นนโยบายหลักของวาติกันอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ ? ....”

“.......วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๔๑ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย พรรคประชาธิปัตย์ได้รับการแต่งตั้งเป็น กรรมการถาวรกองทุนการเงินระหว่างประเทศIMF โดยได้รับเงินเดือนประจำและทำงานให้กับ IMF สิ่งที่น่าแปลกก็คือตัว นายชวนฯ ยังเป็นนายกรัฐมตรีของประเทศไทยแต่เหตุใดจึงรับตำแหน่งเป็นกรรมการของIMF ?? ...”

“....วันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๑ ธนาคารโลก และ IMF แต่งตั้งนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นรับตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาธนาคารโลกและกองทุนระหว่างประเทศ(IMF) อย่างเป็นทางการ สิ่งที่น่าสังเกตที่สุด ก็คือตำแหน่งที่ได้รับนั้นเป็นตำแหน่งควบของธนาคารโลก กับ IMF จึงไม่เป็นที่กังขาหรือปฏิเสธกันต่อไปอีกแล้วว่า ธนาคารโลกคือเครื่องมือเปิดทางให้กับ IMF และสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า นายธารินทร์ฯ คือบุคคลที่ IMF ที่วางไว้ในตำแหน่งการเงินของประเทศ เพื่อรองรับปฏิบัติการตามแผนธารินทร์ ๓๕-๔๓ ให้แล้วเสร็จตามคำสั่งของ IMF ...”

“....นับตั้งแต่การออก พ.ร.บ.วิเทศธนกิจ หรือที่เรารู้จักกันในนามว่า BIBF นอกจากนั้นยังเป็นผู้นำเอา นายราเกซ สักเสนา ซึ่งทำงานให้กับองค์กรCIA เข้ามาบริหารธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ (BBC) แต่ในปี พ.ศ.๒๕๔๑ นายธารินทร์ ได้มีคำสั่งให้ปิดBBC อย่างถาวรเพื่อทำลายหลักฐานทั้งหมด เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่าเป็นการรับ-ส่งหน้าที่และประสานงานกันอย่างมีระบบ ไม่ใช่เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ตามธรรมชาติของนักการเมืองแต่อย่างใดแต่เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ เป็นสมการที่มีชื่อเฉพาะว่าสมการกลืนชาติหรือ E=MOC2

                ดังนั้น สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนำความหายนะมาสู่ประเทศไทย ย่อมต้องไม่ธรรมดา มีการเข้าควบคุมข่าวสาร สร้างสถานการณ์กลบกระแส การยุบกรมตำรวจ การสลายอำนาจกองทัพ เปลี่ยนระบบโครงสร้าง กองทัพ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน รวมถึงการขาย สินทรัพย์ของชาติ ออกกฎหมายขายชาติ ฯลฯ จึงได้เกิดขึ้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนได้ถูกวางแผนงานไว้ เพื่อการ ล่าอาณานิคมชนิดใหม่ เป็นปฏิบัติการประสานภารกิจที่กลมกลืนระหว่าง สมการกลืนชาติ กับ พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ อย่างได้ผลที่สุดในประเทศไทย ....

                จะเห็นได้ว่าสหรัฐฯ วางแผนมายาวนานเพื่อที่จะได้สิ่งละอันพันละน้อยจากประเทศไทยไป ค่อย ๆ เอาไปทีละเล็กละน้อยคนไทยส่วนใหญ่ก็จะไม่รู้เมื่อสมรู้ร่วมคิดกับผู้มีอำนาจในบ้านเมือง ในแต่ละยุคแต่ละสมัยทำให้สหรัฐฯ ได้รับสิ่งนี้ไป ตามกลยุทธ์ จูงแพะติดมือ

                ในชั่วชีวิตของผู้เขียนอยากจะเห็นความมั่งคั่งของประเทศไทยที่พัฒนาตนเองจากทรัพยากรทั้งสิ้น ที่มีอยู่ในประเทศไทย ทั้งปิโตรเลียมทรัพยากรธรรมชาติและแร่ธาตุอื่น ๆ ที่ประเทศไทยมี ราคาน้ำมันอาจจะ ลดลงเหลือราคาลิตรละครึ่งหนึ่งของปัจจุบันนี้ ( ต.ค.๒๕๔๗ ราคาน้ำมันเบนซินพิเศษลิตรละ ๒๒ บาทเศษ ) ผู้เขียนเชื่อว่าทำได้และทำได้อย่างง่ายดายด้วย ที่จะทำได้เช่นนั้นก็ต่อเมื่อทรัพยากรทั้งหลายที่ควรจะเป็น ของคนไทยต้องกลับมาเป็นของคนไทยทั้งสิ้น แล้วลองเอาพวกที่เคยให้ประโยชน์กับต่างชาติไปมาอธิบาย ให้คนไทยทั้งชาติฟังว่าทำไมเขาจึงให้ทรัพยากรเหล่านั้นกับต่างชาติไป เขาได้อะไร ประเทศชาติเสียอะไร และประชาชนเสียอะไร ผู้เขียนเชื่อว่าไม่ช้าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น คนชั่วและคนดีจะได้รับการพิสูจน์ ต่อหน้าคนไทยทั้งชาติ

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า

โอกาสแม้จะน้อยแสนน้อยก็ควรจะใช้ให้เป็นประโยชน์ ชัยชนะแม้จะเล็กแสนเล็กก็ควรจะช่วงชิงมาให้ได้

จูงแพะติดมือก็คือการใช้กลอุบายที่อีกฝ่ายหนึ่งมิได้สำเหนียกหรือมิได้รู้สึกตัว ฉะนั้นจึงย่อมจะตกหลุมพราง ถูกบั่นทอนหรือได้รับความสูญเสียอย่างยับเยินโดยมิได้คาดคิด”.




Source :  http://porgorn0009.blogspot.com/2012/05/blog-post_2970.html

No comments:

Post a Comment