ยามเมื่อเผชิญศึกเท็จลวงกับจริงแท้
พึงใช้สอดแทรกซึ่งกันและกันอย่างสลับซับซ้อน ทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ
กลยุทธ์ที่ ๑๒ จูงแพะติดมือ
กลยุทธ์นี้เป็นกลอุบายที่ใช้ช่องอันเป็นจุดอ่อนของข้าศึก ขยายพลังของตนเองออกไป เหมือนหนึ่งจูงแพะของฝ่ายตรงข้ามติดมือเราไปด้วย ช่วงชิงมาซึ่งชัยชนะอย่างสะดวกใจสบายกายอย่างหนึ่ง
กลยุทธ์นี้เดิมมาจาก “คัมภีร์จิงเลี่ย ว่าด้วยการเคลื่อนพล” ซึ่งกล่าวไว้ว่า“คอยจ้องหาจุดอ่อนของข้าศึก ฉกฉวยเอาประโยชน์ให้ทันท่วงที”
“ จูงแพะติดมือ” ก็คือการใช้กลอุบายที่อีกฝ่ายหนึ่งมิได้สำเหนียกหรือมิได้รู้สึกตัว ฉะนั้นจึงย่อมจะตกหลุมพราง ถูกบั่นทอนหรือได้รับความสูญเสียอย่างยับเยินโดยมิได้คาดคิด”.
ช่องทางเล็กก็พึงฉกฉวย ผลได้น้อยก็พึงชิงเอา
มืดน้อย สว่างน้อย
กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า แม้จะเป็นความเลินเล่อของข้าศึกเพียงเล็กน้อยเราก็ถึงฉกฉวยเอาประโยชน์
แม้จะเป็นชัยชนะเพียงเล็กน้อย
ก็จะต้องชิงเอามาให้ได้ “มืดน้อย” หมายถึงความผิดพลาดเล็กๆ
น้อยๆของข้าศึก “สว่างน้อย” หมายถึงชัยชนะเล็ก ๆ น้อย ๆ ของฝ่ายเรา “ จูงแพะติดมือ” หมายถึง อาศัยความประมาทแม้เพียงเล็กน้อยของฝ่ายตรงข้าม
ชิงเอาผลประโยชน์มาเป็นของฝ่ายเราเสีย
กลยุทธ์นี้เป็นกลอุบายที่ใช้ช่องอันเป็นจุดอ่อนของข้าศึก ขยายพลังของตนเองออกไป เหมือนหนึ่งจูงแพะของฝ่ายตรงข้ามติดมือเราไปด้วย ช่วงชิงมาซึ่งชัยชนะอย่างสะดวกใจสบายกายอย่างหนึ่ง
กลยุทธ์นี้เดิมมาจาก “คัมภีร์จิงเลี่ย ว่าด้วยการเคลื่อนพล” ซึ่งกล่าวไว้ว่า“คอยจ้องหาจุดอ่อนของข้าศึก ฉกฉวยเอาประโยชน์ให้ทันท่วงที”
ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือการสร้างวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศไทยและในเอเชีย
โดยประเทศสหรัฐอเมริกา........จีนกับสหรัฐอเมริกานับว่าเป็นประเทศคู่แข่งขันและเป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผย
มาตั้งแต่ประเทศจีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์อย่างสมบูรณ์เมื่อปี
พ.ศ.๒๔๙๒ เป็นต้นมา สหรัฐฯ ได้สร้างพันธมิตรของตนเองทั่วเอเชียเป็นแนวปิดล้อมการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์จีน
การสร้างประเทศต่าง ๆ ให้เป็นประเทศที่มีศักยภาพและมีความมั่งคั่งตามแนว ญี่ปุ่น
เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง มาเลเซียและสิงคโปร์จึงเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
ครั้นเมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดไปแล้ว การขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์หมดความหมายไปตั้งแต่กำแพงเบอร์ลินพังทลายเมื่อปี
พ.ศ.๒๕๓๒ ทำให้ภัยจากลัทธิคอมมิวนิสต์โดยจีนหมดสิ้นไป
อย่างไรก็ตามการที่จีนได้ประกาศนโยบายปฏิรูป และเปิดประเทศในสมัย เติ้ง เสี่ยว ผิง
เป็นผู้นำนั้น ทำให้จีนสามารถพัฒนาเศรษฐกิจของตนได้อย่างก้าวกระโดด ทำให้ประเทศต่าง
ๆ ทั่วโลกต่างจับตามมองการเคลื่อนไหวขอจีนอย่างสนใจ จีนได้ประกาศนโยบาย
การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ๕ ข้อ เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาคมโลก
ที่ทำให้เห็นว่า จีนไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อประเทศใด ๆ อีกต่อไป
ยิ่งทำให้จีนได้เพิ่มความสำคัญให้กับตัวเอง
จีนกลายเป็นประเทศที่มีคู่ค้าขายมากขึ้น
ด้วยการมีแผนในการปิดล้อมจีนมาอย่างต่อเนื่องและไม่ได้ยกเลิก
แต่มีการพัฒนาให้แผนสามารถที่จะปรับใช้ต่อการเปลี่ยนแปลงของจีนได้อย่างต่อเนื่อง (
บัญญัติ ๑๐ ประการในการทำลายจีนของสหรัฐฯ, The 10 Commandment to conquer China
ซึ่งหลักฐานอันนี้ได้ถูกตีพิมพ์สู่สาธารณะอันเป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วไปอยู่แล้ว
) สหรัฐฯ ได้พัฒนา แผนดังกล่าวมาโดยตลอดจนกระทั่งล่าสุด
ได้กำหนดแผนขึ้นมาอีกแผนหนึ่งเป็นส่วนประกอบของแผนใหญ่ ในการปิดล้อมจีน คือ
การสร้างวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นในอาเซียนและเอเชีย ซึ่งแผนนี้แท้ที่จริงเป้าหมายหลักคือ
การทำลายการเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจของจีนที่ต่อเนื่องมายาวนานอันเป็นเหตุให้จีนแข็งแกร่ง
และเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ มากขึ้น
แต่แผนนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะบรรลุเป้าหมายกังกล่าวข้างต้นนั้น
จึงอยู่ในข่ายของการใช้กลยุทธ์ “จูงแพะติดมือ” ดังต่อไปนี้
โดยปกติแล้วสหรัฐฯ
ได้มีการเตรียมการวางสายงานด้านการข่าวและเครือข่ายการปฏิบัติงานทั่วโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยอันเป็นฐานที่มั่นหลักในการต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ของสหรัฐฯ
มาตั้งแต่เมื่อครั้งเริ่มต้นของยุคสงครามเย็น เมื่อปี ๒๕๓๖ ขณะนั้นเป็นยุคที่
นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีของไทย มีนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์
เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทย รัฐบาลไทยในยุคนี้
ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาด้านการเงินและการคลังจาต่างประเทศเข้ามาให้คำปรึกษา
อย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายหลายกรณีด้วยกัน
ทำให้ต่างชาติได้เข้ามาล่วงรู้ความลับด้านการเงิน และการคลังของประเทศไทยจนหมดสิ้น
ซึ่งบริษัทต่างชาติดังกล่าวที่ได้รับการว่าจ้างให้เข้ามาเป็น
ที่ปรึกษาด้านการเงินและการคลังในสมัยนั้นคือ บริษัท เลห์แมน บราเธอร์ โฮลดิ้ง
อันเป็นบริษัท ที่อยู่ในเครือของ นาย จอร์จ โซรอส ผู้ที่เข้ามาตีค่าเงินบาทของไทย
ดังที่จะได้กล่าวต่อไป นั่นแสดงให้เห็นว่า จอร์จ โซรอส
ได้เริ่มรวบรวมข้อมูลและได้มีการเตรียมการตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ซึ่งผู้ว่าจ้างคือ นายชวน หลีกภัย ในฐานะนายกรัฐมตรี และนายธารินทร์
นิมมานเหมินทร์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กระทำอย่างจงใจและตั้งใจ
และรู้เรื่องผลเสียหาย ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติในอนาคตอย่างชัดเจนอยู่แล้ว(
มีกฎหมายบัญญัติห้ามอยู่แล้ว แต่ฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป )
พร้อมกันนั้นนายธารินทร์ฯ ได้ออกนโยบายการนำเข้าเงินทุน จากต่างชาติเพื่อเข้ามาลงทุนในประเทศไทยย่างเสรี
พร้อมกับเปิดวิเทศน์ธนกิจ ทำให้การนำเงินลงทุน
เข้ามาในประเทศไทยอย่างผิดขั้นตอนและผิดหลักการทางเศรษฐศาสตร์
อันเป็นเงื่อนไขต่อไปในการทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศไทย
เมื่อถึงสมัยรัฐบาลพลเอก ชวลิต
เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี ๒๕๓๙ เป็นช่วงที่สถานการณ์สุกงอมเต็มที่
เศรษฐกิจของไทยได้กลายเป็นเศรษฐกิจฟองสบู่อย่างสมบูรณ์แล้วระเบิดออกมาในที่สุด
กระบวนการเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ได้ถูกวางไว้ในประเทศต่าง
ทั่วทุกประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯที่แฝงเข้ามาในรูปขององค์กรการค้าหรือการลงทุนใด
ๆ ก็ตาม ได้เข้าไปสร้าง องค์ประกอบของการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ไว้ในประเทศต่าง ๆ
อย่างสมบูรณ์แบบ ดังที่ซุน วู กล่าวไว้ว่า
“ ...ภารกิจของสามทัพ
มิมีผู้ไว้ใจได้เท่าจารชน มิมีผู้ได้รางวัลเท่าจารชน มิมีเรื่องใดลึกลับเท่าจารชน ไม่ปราดเปรื่องมิอาจช้ารชน
ไร้เมตตามิอาจบัญชาจารชน ไม่แยบยลมิอาจได้ความจริงจากจารชน แยบยลแสนจะแยบยล มิมีแห่งใดใช้จารชนมิได้
แผนจารชนมิทันใช้ มีผู้ล่วงรู้ก่อน ให้ตายทั้งจารชนและผู้รู้ ......”
“...กองทัพที่จะโจมตี
เมืองที่จะเข้าบุก คนที่จะต้องฆ่า พึงรู้ชื่อแซ่ ขุนทัพ คนสนิทซ้ายขวา ผู้สื่อสาร นายทวาร เหล่าบริวารก่อน
ด้วยใช้จารชนเราสืบหามา...”จารชน
บรรพที่ ๑๓
เมื่อวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นที่ประเทศไทย จึงได้ขยายตัวออกไปยังประเทศต่าง ๆ
ทั่วภูมิภาคอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งกลายมาเป็นวิกฤตเอเชียและกระทบต่อเศรษฐกิจของโลกในเวลาต่อมา
มีนักวิเคราะห์สถานการณ์ ด้านความมั่นคงของโลกได้วิเคราะห์ถึงจำนวนเงินที่สหรัฐฯ
จะได้รับจากการสร้างวิกฤตเศรษฐกิจในอาเซียน และเอเชียครั้งนี้คือประมาณ ๗๐๐,๐๐๐
ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ ๒๘,๐๐๐,๐๐๐
ล้านบาท นับว่าเป็นตัวเงิน ที่มีมูลค่าไม่น้อยต่อการสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม โดยเป้าหมายหลัก ของสหรัฐอเมริกาแล้ว
คือการบรรลุเป้าหมายในการปิดล้อมจีนตามแผน ๓ ขั้น คือ
๑)
ปิดล้อมจากโลกภายนอก
โดยการสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นทั่วโลกแล้วขับไล่อิทธิพลของจีนออกไป
ทั้งด้านการค้า การเมืองระหว่างประเทศและการทหารก็ตามที่จีนจะพึงมีอยู่ในภูมิภาคใด
ๆ ทั้งนี้
การพัฒนาประเทศของจีนไปสู่ความเป็นมหาอำนาจได้จะต้องอาศัยการค้าขายจึงจะสามารถ
สร้างความร่ำรวยมั่งคั่งได้ ความมั่งคั่งคือทุกสิ่งทุกอย่างที่จีนจะสามารถทำได้
เมื่อจีนมั่งคั่ง
จะสร้างกองทัพให้เข้มแข็งมีเทคโนโลยีสูงมากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
การสร้างความเข้มเข็ง
และอิทธิพลในการเมืองระหว่างประเทศก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกเช่นเดียวกัน
ขอให้มีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจขึ้นมาก่อน ฉะนั้นสหรัฐฯ
จึงจำเป็นที่จะต้องป้องกันไม่ให้จีนมีความมั่งคั่งตามเป้าหมายของจีนให้ได้
โดยใช้การปิดล้อมจากโลกภายนอกคือการสร้างสถานการณ์ให้มีความปั่นป่วนเกิดขึ้นในทุกพื้นที่
ที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับสหรัฐฯ ได้ ดังที่ ซุน วู กล่าวไว้ว่า “........จงปราบบรรดาอริราชศัตรูโดย
• ทำความพินาศให้กับมัน
• สร้างความลำบากยากแค้นให้กับมัน
• ให้มันต้องวุ่นอยู่เสมอ
• หยิบยื่นเหยื่อแห่งอามิสประโยชน์
• ทำให้มันต้องรีบรุดไปยังจุดใด
ๆ ที่เราประสงค์.....”บทที่
๘ กลยุทธแปรรูป
“ ...พึงให้เจ้าครองแคว้นอื่นสยบด้วยภยันตราย
ให้เจ้าครองแคว้นอื่นรับใช้ด้วยอิทธิพลให้เจ้าครองแคว้นอื่นขึ้นต่อด้วยผลประโยชน์...”เก้าลักษณะ
(บรรพที่ ๘) และจะสามารถสกัดกั้นการเติบโตด้านการค้าขายของจีนกับตลาดโลกให้ได้
๒)
การสร้างสถานการณ์ความไม่สงบขึ้นรอบบ้านของจีนให้ได้ เช่น
สร้างความขัดแย้งให้ทวีมากยิ่งขึ้น ระหว่างอินเดียกับปากีสถาน สร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นระหว่างไทยกับพม่า
เป็นต้น
๓)
การสร้างความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นในประเทศจีนเอง โดยจัดให้มีกลุ่มเคลื่อนไหวต่าง ๆ
เคลื่อนไหวก่อความไม่สงบขึ้นทุกวิถีทางให้เหมือนกับที่เคยสนับสนุนการก่อจารจลขึ้น
ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินของจีน
ซึ่งมีหลักฐานปรากฏอย่างแน่ชัดว่าเป็นการสนับสนุนโดย องค์กร ซีไอเอ
ของสหรัฐอเมริกา ( จีน – ไทย
ในศตวรรษที่ ๒๑ : ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย )
หรือแม้กระทั่งการสร้างสงครามขึ้นในดินแดนของจีนในพื้นที่ใด ๆ ก็ตาม
ถ้าสามารถทำได้ นี่เป็นสิ่งที่เหนือความคาดคิดของคนทั่วไป
อย่างไรก็ตามนับได้ว่าสหรัฐฯ
สามารถที่จะบรรลุแผนตามเป้าหมายคือการได้รับเงินก้อนใหญ่มหาศาลเข้าประเทศถือได้ว่า
เป็นการ จูงแพะติดมือ ดังกลยุทธ์ที่ได้กล่าวไว้แล้วนั้น
สิ่งที่เป็นแพะตัวใหญ่ที่สหรัฐฯ
ได้ติดมือไปในช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจที่คนไทยไม่ค่อยจะมีคนรู้กันดีเท่าใดนัก คือเรื่องทรัพยากรธรรมชาติที่สหรัฐฯ
วางแผนมานานกว่าจะได้สิ่งนี้มาคือ
การยึดครองแหล่งอาหารที่ใหญ่ที่สุดหลังปรากฏการณ์ เอล นีโน
ตามที่องค์การนาซา ( NASA)
ของสหรัฐฯรายงานว่า
แหล่งอาหารของโลกทั่วทุกภูมิภาคของโลกจะถูกทำลายไปเป็นจำนวนมากโดยลำดับหลังจาก
ปรากฏการณ์ เอล นีโนแล้ว ยกเว้น ในภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และเอเชียตะวันออกบางส่วน
พื้นที่ที่เหลือในการผลิตอาหารเลี้ยงพลเมืองของโลกนั้นมีเพียงแค่ ประเทศไทย พม่า ลาว
กัมพูชา เวียดนาม ทางตอนใต้ของจีน ( มณฑลยูนนานของจีน ) ปัจจุบันนี้
องค์การนาซาของสหรัฐฯ นอกเหนือจากการสำรวจงาน ด้านอวกาศที่เป็นงานหลักของตนแล้ว
ยังทำหน้าที่ในการสำรวจหาแหล่งทรัพยากรธรรมชาติภายใต้พื้นผิวโลก
โดยเฉพาะแร่ธาตุที่มีคุณค่าทางด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง
นาซาได้พบว่า
หลังจากปรากฏการณ์ที่มีดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจักรวาลมาเรียงตัวกันเป็นแนวระนาบเมื่อไม่กี่ปีมานี้
แล้วเกิดแรงดูดอย่างรุนแรงต่อของเหลวใต้ผิวโลก
น้ำมันปิโตรเลียมบางส่วนมีการเคลื่อนย้าย จากแหล่งเดิมไปสู่แหล่งใหม่
แหล่งปิโตรเลียมใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นคือบริเวณประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และบางส่วนของประเทศจีน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณอ่าวไทยจะมีการเคลื่อนตัวของปิโตรเลียมและแก๊สธรรมชาติ
เข้ามาในบริเวณอ่าวไทยอีกเป็นปริมาณที่มากกว่าเดิมหลายเท่า
แนวเชื่อมตั้งแต่อินโดนีเซีย บรูไน มาเลเซีย อ่าวไทย เข้าไปยังจังหวัดกำแพงเพชร
ผ่านอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ไปยังพม่าและจีนตอนใต้บางส่วน
ซึ่งในขณะนี้จีนกับพม่า ได้สำรวจพบปิโตรเลียมปริมาณมากเหล่านี้แล้ว
เมื่อประมาณกลางเดือน ต.ค.๒๕๔๗
ก็ได้มีการสำรวจพบแหล่งปิโตรเลียมในอ่าวไทยเพิ่มขึ้นอีก
อันนี้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดของการปรากฏตัวของแหล่งปริโตรเลียมใหม่ที่จะมีปริมาณไม่น้อยไปกว่า
ในตะวันออกกลางเลยทีเดียว อีกส่วนหนึ่งที่สหรัฐฯ
ได้ไปก็คือทรัพยากรธรรมชาติที่มีอย่างอุดมสมบูรณ์
ในประเทศไทยที่เมื่อเปลือกโลกและของเหลวใต้โลกเคลื่อนตัวดังที่กล่าวมาแล้วนั้นทำให้แร่ธาตุต่าง
ๆ ที่อยู่ใต้พื้นดินลึกลงไปกลับตื้นขึ้นมา เช่น ยูเรเนียม พลูโตเนียม เพชร ทองคำ
โปแตสเซียม (
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแร่โปแตสเซียมที่มีคุณภาพดีที่สุดในโลกและมากที่สุดในโลกที่อุดรธานี
ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าประเทศไทยมีแต่กว่าจะรู้ว่ามีต่างชาติก็ได้สัมปทานไปหมดแล้ว
) และแร่ธาตุอื่น ๆ อีกมากมาย
สิ่งเหล่านี้ต่างชาติโดยสหรัฐอเมริกาที่เป็นแกนหลักจะได้มาโดยง่ายเพียงแค่ให้พันธมิตรของตนที่เป็นนักการเมืองไทยในบางยุคบางสมัยออกกฎหมายให้ต่างชาติเช่าที่ดิน
จาก อบต.,อบจ.
๙๙ ปี แค่นี้ต่างชาติก็ได้ทรัพย์สินที่มีค่าของประเทศชาติทั้งหมดไปได้
ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่หนักหน่วงที่สุดเท่าที่เคยมีมา
รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวผู้อ่าน สามารถหาอ่านได้จากหนังสือ
ปอกเปลือก...อานันท์ ปันยารชุน ของ ชลธิศ อาจมนภาพ ฯ , ชำระประวัติศาสตร์
กรณี ตุลาฯ และพฤษภาทมิฬ ( อ้างแล้ว ) , เนื้อหากฎหมายขายชาติ ๑๑ ฉบับ ช่วงรัฐบาลนายชวน
หลีกภัย
มีตัวอย่างบางตัวอย่างที่เกี่ยวข้องพอจะยกมาเป็นอุทาหรณ์ได้บ้างดังนี้
“......ธนาคารพัฒนาแห่งเอเซีย
(ADB) ซึ่งปรากฏตามเอกสารของ
Asian Development Bank ,
1995 คงจะเป็นคำตอบได้ในกรณี นายธารินทร์
นิมมานเหมินทร์ รมว.คลัง ซึ่งเป็นบุคคลใกล้ชิดกับนายอานันท์ เป็นผู้ไปติดต่อกู้เงินจาก ธนาคาร ADB ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ
8%
ทั้งที่สามารถกู้ธนาคารภายในประเทศ ได้ในอัตราเพียงไม่เกินร้อยละ 2%
ที่แสบไปกว่านั้นคือ ประธานของ ADB
ได้เปิดเผยในการประชุมที่เชียงใหม่ เมื่อต้นเดือน พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๓ ว่า
รัฐบาลของประเทศไทยเป็นผู้เขียนลงในสัญญาการกู้เอง ว่า
“เกษตรกรไทยจะต้องจ่ายเงินซื้อน้ำที่ใช้ในการเกษตร
ให้กับธนาคารADB ไม่ว่าจะเป็นน้ำฝน
น้ำบ่อ น้ำคลอง” เขาทำเพื่ออะไร ?? หากจะให้เข้าใจเอาเองแล้วละก็ต้องเข้าใจว่าเนื้อแท้ความต้องการของผู้ไปเขียนสัญญาเช่นนั้นก็คือ “ต้องการทำลายโครงการเกษตรพอเพียง
ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ประชาชนเสื่อมความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์” อันเป็นนโยบายหลักของวาติกันอยู่แล้ว
ใช่หรือไม่ ? ....”
“.......วันที่
๑๘ เมษายน ๒๕๔๑ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย พรรคประชาธิปัตย์ได้รับการแต่งตั้งเป็น
กรรมการถาวรกองทุนการเงินระหว่างประเทศIMF โดยได้รับเงินเดือนประจำและทำงานให้กับ IMF สิ่งที่น่าแปลกก็คือตัว นายชวนฯ
ยังเป็นนายกรัฐมตรีของประเทศไทยแต่เหตุใดจึงรับตำแหน่งเป็นกรรมการของIMF ?? ...”
“....วันที่
๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๑ ธนาคารโลก และ IMF แต่งตั้งนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พรรคประชาธิปัตย์
ขึ้นรับตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาธนาคารโลกและกองทุนระหว่างประเทศ(IMF) อย่างเป็นทางการ
สิ่งที่น่าสังเกตที่สุด ก็คือตำแหน่งที่ได้รับนั้นเป็นตำแหน่งควบของธนาคารโลก
กับ IMF จึงไม่เป็นที่กังขาหรือปฏิเสธกันต่อไปอีกแล้วว่า
ธนาคารโลกคือเครื่องมือเปิดทางให้กับ IMF และสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า นายธารินทร์ฯ คือบุคคลที่ IMF ที่วางไว้ในตำแหน่งการเงินของประเทศ
เพื่อรองรับปฏิบัติการตามแผนธารินทร์ ๓๕-๔๓ ให้แล้วเสร็จตามคำสั่งของ
IMF ...”
“....นับตั้งแต่การออก
พ.ร.บ.วิเทศธนกิจ หรือที่เรารู้จักกันในนามว่า BIBF นอกจากนั้นยังเป็นผู้นำเอา นายราเกซ สักเสนา ซึ่งทำงานให้กับองค์กรCIA เข้ามาบริหารธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ
(BBC) แต่ในปี พ.ศ.๒๕๔๑ นายธารินทร์
ได้มีคำสั่งให้ปิดBBC อย่างถาวรเพื่อทำลายหลักฐานทั้งหมด เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่าเป็นการรับ-ส่งหน้าที่และประสานงานกันอย่างมีระบบ ไม่ใช่เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ตามธรรมชาติของนักการเมืองแต่อย่างใดแต่เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ
เป็นสมการที่มีชื่อเฉพาะว่า“สมการกลืนชาติ” หรือ
E=MOC2
ดังนั้น
สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนำความหายนะมาสู่ประเทศไทย ย่อมต้องไม่ธรรมดา
มีการเข้าควบคุมข่าวสาร สร้างสถานการณ์กลบกระแส การยุบกรมตำรวจ การสลายอำนาจกองทัพ
เปลี่ยนระบบโครงสร้าง กองทัพ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน รวมถึงการขาย
สินทรัพย์ของชาติ ออกกฎหมายขายชาติ ฯลฯ จึงได้เกิดขึ้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้
ล้วนได้ถูกวางแผนงานไว้ เพื่อการ “ล่าอาณานิคม” ชนิดใหม่
เป็นปฏิบัติการประสานภารกิจที่กลมกลืนระหว่าง สมการกลืนชาติ กับ
พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ อย่างได้ผลที่สุดในประเทศไทย ....”
จะเห็นได้ว่าสหรัฐฯ
วางแผนมายาวนานเพื่อที่จะได้สิ่งละอันพันละน้อยจากประเทศไทยไป ค่อย ๆ
เอาไปทีละเล็กละน้อยคนไทยส่วนใหญ่ก็จะไม่รู้เมื่อสมรู้ร่วมคิดกับผู้มีอำนาจในบ้านเมือง
ในแต่ละยุคแต่ละสมัยทำให้สหรัฐฯ ได้รับสิ่งนี้ไป ตามกลยุทธ์ “จูงแพะติดมือ”
ในชั่วชีวิตของผู้เขียนอยากจะเห็นความมั่งคั่งของประเทศไทยที่พัฒนาตนเองจากทรัพยากรทั้งสิ้น
ที่มีอยู่ในประเทศไทย ทั้งปิโตรเลียมทรัพยากรธรรมชาติและแร่ธาตุอื่น ๆ
ที่ประเทศไทยมี ราคาน้ำมันอาจจะ ลดลงเหลือราคาลิตรละครึ่งหนึ่งของปัจจุบันนี้ (
ต.ค.๒๕๔๗ ราคาน้ำมันเบนซินพิเศษลิตรละ ๒๒ บาทเศษ )
ผู้เขียนเชื่อว่าทำได้และทำได้อย่างง่ายดายด้วย ที่จะทำได้เช่นนั้นก็ต่อเมื่อทรัพยากรทั้งหลายที่ควรจะเป็น
ของคนไทยต้องกลับมาเป็นของคนไทยทั้งสิ้น
แล้วลองเอาพวกที่เคยให้ประโยชน์กับต่างชาติไปมาอธิบาย
ให้คนไทยทั้งชาติฟังว่าทำไมเขาจึงให้ทรัพยากรเหล่านั้นกับต่างชาติไป เขาได้อะไร
ประเทศชาติเสียอะไร และประชาชนเสียอะไร
ผู้เขียนเชื่อว่าไม่ช้าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น คนชั่วและคนดีจะได้รับการพิสูจน์
ต่อหน้าคนไทยทั้งชาติ
กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“ โอกาสแม้จะน้อยแสนน้อยก็ควรจะใช้ให้เป็นประโยชน์
ชัยชนะแม้จะเล็กแสนเล็กก็ควรจะช่วงชิงมาให้ได้
“ จูงแพะติดมือ” ก็คือการใช้กลอุบายที่อีกฝ่ายหนึ่งมิได้สำเหนียกหรือมิได้รู้สึกตัว ฉะนั้นจึงย่อมจะตกหลุมพราง ถูกบั่นทอนหรือได้รับความสูญเสียอย่างยับเยินโดยมิได้คาดคิด”.
Source : http://porgorn0009.blogspot.com/2012/05/blog-post_2970.html
No comments:
Post a Comment