ลิโป้ เฟิ่งเซี่ยน
Lu Bu (Fengxian)
“หยืนจงหลี่ปู้
หม่าจงชื่อทู่” ความหมายของประโยคนี้คือ
“ยอดคนต้องลิโป้ ยอดอาชาต้องเซ็กเธาว์”

แต่น่าเสียดายที่ในยุคสามก๊กนั้น ความแข็งแกร่งในเชิงยุทธ์
หรือกระทั่งความสามารถในการทหารเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะทำให้ใครคนใดเป็นใหญ่หรือเอาชีวิตให้รอดได้
เพราะมันเป็นยุคที่คนเราทำทุกวิถีทาง
ไม่ว่าจะเล่ห์กลสกปรกเพียงใดเพื่อกลืนกินผู้อื่น ด้วยเหตุนี้ ลิโป้
ยอดนักรบอันดับหนึ่งของแผ่นดินจึงไม่อาจที่จะบรรลุความฝันในการเป็นใหญ่
หรือเพียงแค่เอาชีวิตให้รอดเขาได้ นอกเหนือจากนั้น
สิ่งสำคัญคือการที่ลิโป้มีพฤติกรรมและการกระทำหลายอย่างอันไร้ซึ่งคุณธรรมกำกับ
โดยคิดแต่จะยึดเอาผลประโยชน์เฉพาะหน้าเป็นหลัก จนสร้างศัตรูเอาไว้มากเกินไป
จากที่กล่าวมา
อาจเป็นคำตอบว่าเหตุใดชายที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดจนถูกขนานนามว่าเทพนักรบถึงได้หายไปจากหน้ายุคสามก๊กเร็วเกินไปนั้น
คงต้องดูจากเรื่องราวชีวิตของเขาเพื่อไว้เป็นอุทาหรณ์
ชีวประวัติลิโป้ เฟยเสียง
จากจดหมายเหตุชีวประวัติลิโป้ (Biography
of Lu Bu) โดยเฉินโซ่ว
และบางส่วนจากนิยายสามก๊ก (Sanguo
Yanyi) โดยหลอก้วนจง
ลิโป้ หรือ หลู่ปู้ (Lu Bu) ชื่อรองหรือฉายาคือ เฟิ่งเซี่ยน (Fengxian)
ปีเกิดไม่แน่ชัด แต่เฉินโซ่วบันทึกในจดหมายเหตุสามก๊ก
ชีวประวัติลิโป้ คาดว่าราวปีค.ศ.156 เป็นชาวเมืองอู่เหยียน มณฑลซานซี
ถิ่นกำเนิดของลิโป้อยู่ทางตอนเหนือของประเทศจีน ซึ่งบรรดาขุนพล นักรบ
ชื่อดังในประวัติศาสตร์จีนหลายต่อหลายคนที่มีความเก่งกาจในการบบนหลังม้าเป็นพิเศษนั้น
ต่างก็มีพื้นเพเดิมมาจากตอนเหนือด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งในยุคสามก๊กนั้น
ปรากฏเหล่ายอดนักรบผู้กล้าบนหลังม้าขึ้นมาสร้างชื่อเสียงและวีรกรรมไว้มากมาย เช่น
กวนอู จูล่ง เตียวเลี้ยว ม้าเฉียว เป็นต้น
สาเหตุหลักอาจเป็นเพราะในสมัยยุคชุนชิว แถบตอนเหนือของประเทศจีน
อันรวมไปถึงบริเวณนอกกำแพงเมืองจีนขึ้นไปนั้น
เป็นดินแดนของเหล่านักรบบนหลังม้ายาวนานกว่าหลายร้อยปี
คนจีนส่วนใหญ่ในแถบนี้ส่วนมากจะเป็นลูกผสมระหว่างจีนแท้กับชาวจีนนอกด่าน
ด้วยเหตุนี้จึงได้สืบทอดเอาความสามารถการรบบนหลังม้าของพวกนอกด่านมาทางสายเลือดด้วย
ลิโป้เองก็นับว่าเป็นขุนพลซึ่งสืบสายเลือดแห่งนักรบบนหลังม้าติดตัวมาแต่กำเนิดเช่นกัน
ช่วงวัยหนุ่มของลิโป้ไม่ปรากฏประวัติไม่แน่ชัด
เฉินโซ่วบันทึกในจดหมายเหตุสามก๊กว่าลิโป้ได้รับความชื่นชมจากเต็งหงวน
เจ้าเมืองเป้ง ด้วยเต็งหงวนนั้นชื่นชอบในความสามารถและฝีมือการสู้รบของลิโป้มาก
จึงให้แต่งตั้งให้เขาเป็นนายพลทหารม้า ประจำการอยู่ที่เมืองเฮอไน และยังมีสายสัมพันธ์ประดุจบุตรและบิดาบุญธรรมด้วย
ปี ค.ศ.189
ได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในประวัติศาสตร์จีนเมื่อตั๋งโต๊ะ ขุนศึกจากดินแดนเสเหลียง
ได้เข้าทำรัฐประหาร ยึดอำนาจในนครหลวงลกเอี๋ยง
ปลดรัชทายาทหองจูเปียนลงแล้วตั้งองค์ชายรองหองจูเหียบขึ้นเป็นฮ่องเต้
ทรงพระนามพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้
ฝ่ายตั๋งโต๊ะนั้นได้ตั้งตนขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการ
กุมอำนาจการปกครองและการทหารทั้งหมดเบ็ดเสร็จ
ซ้ำยังยกตนเป็นบิดาบุญธรรมของฮ่องเต้ด้วย
เหล่าขุนนางต่างพยายามต่อต้านตั๋งโต๊ะ แต่เนื่องจากตั๋งโต๊ะกุมอำนาจทหารอยู่ในมือ
เหล่าขุนนางผู้ภักดีซึ่งพยายามต่อต้านจึงถูกสังหารไปหลายคน ในบรรดาขุนนางเหล่านั้น
เต็งหงวนเป็นขุนศึกผู้หนึ่งที่พยายามต่อต้านตั๋งโต๊ะ
เขายกกองทัพออกมาท้ารบตั๋งโต๊ะที่นอกเมือง โดยมีลิโป้เป็นขุนพลทัพหน้า
ลิโป้ปรากฏกายโดยสวมเครื่องรัดผมทองคำ สวมเสื้อนักรบยาวลายดอกไม้
ใส่เกราะและคาดลายเข็มขัดหัวสิงห์ ควบม้าถือทวนกรีดฟ้า ท่าทางองอาจมาก
เมื่อตั๋งโต๊ะนำกองทัพออกไปเผชิญหน้า
ก็ถูกลิโป้ควบม้าเข้ามาตีทัพตั๋งโต๊ะจนแตกพ่าย
ตั๋งโต๊ะต้องชักม้าหนีกลับไปยังค่ายพัก
เฉินโซ่วยังบันทึกในจดหมายเหตุสามก๊กว่า ลิโป้ให้ความนับถือเต็งหงวนประดุจบิดาของตนเอง
หลังจากได้ลิ้มรสฝีมืออันร้ายกาจของลิโป้แล้ว
ตั๋งโต๊ะก็มีความต้องการดึงลิโป้มาเป็นพวกของตนเอง
หลอก้วนจงบรรยายในนิยายสามก๊กว่า
ลิซกซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกับลิโป้นั้นเสนอแผนการดึงตัวลิโป้มาอยู่ด้วย
โดยกล่าวว่าลิโป้นั้นเป็นคนละโมบและเอาแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า
หากตั๋งโต๊ะประทานทรัพย์สินเงินทองและม้าศึกให้ ก็สามารถดึงตัวลิโป้มาได้แน่
ตั๋งโต๊ะจึงทำตาม
โดยการทรัพย์สินเงินทองและม้าเซ็กเธาว์หรือม้าเหงื่อโลหิตซึ่งเป็นม้าพันธุ์หายากให้
ลิโป้ยอมรับของกำนัล และยอมขายตนเองให้แก่ตั๋งโต๊ะ จากนั้นจึงสังหารเต็งหงวน
แล้วเข้าสวามิภักดิ์ต่อตั๋งโต๊ะ พร้อมกับได้รับการอวยยศให้เป็นนายพลทหารม้า
ควบคุมกองทัพม้าศึกอันแข็งแกร่งที่สุดของเสเหลียงให้แก่ตั๋งโต๊ะ
ลิโป้นั้นให้ความเคารพต่อตั๋งโต๊ะอย่างสูง
กล่าวกันว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์ประดุจบุตรและบิดาทีเดียว
ในช่วงนี้เอง ชื่อเสียงด้านความสามารถในการสู้รบของลิโป้
ว่าเป็นยอดฝีมือที่มีพละกำลังเหนือคน มีความสามารถในเชิงยุทธ์สูง
เชี่ยวชาญทั้งการขี่ม้า เพลงอาวุธ และการยิงธนู จนกระทั่งได้รับการเรียกขานว่า “แม่ทัพบิน”
(Flying General) และจากนั้นไม่นานก็ได้รับการอวยยศให้สูงขึ้นเรื่อยๆจนถึงชั้นพระยา
และยังควบตำแหน่งองครักษ์ประจำตัวของตั๋งโต๊ะด้วย
ปีค.ศ.190 เหล่าขุนศึก 18
หัวเมืองได้รวมตัวกันก่อเกิดเป็นทัพพันธมิตรกวนจงเพื่อร่วมกันปราบตั๋งโต๊ะ
เกิดการสู้รบอย่างหนักขึ้นที่ ด่านกักพยัคฆ์ หรือ ด่านฮูเลา (Hu lao Gate) ซึ่งที่ด่านนี้เอง
ลิโป้ได้สร้างชื่อเสียงด้วยการสังหารเหล่าขุนพลของทัพพันธมิตรได้
แต่เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย
สามพี่น้องซึ่งเข้ามาดวลกันจนเกิดเหตุการณ์ สามพี่น้องรบลิโป้ ในนิยายสามก๊ก
ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้มีบันทึกในประวัติศาสตร์
การศึกที่ด่านกักพยัคฆ์
จบลงโดยฝ่ายพันธมิตรกวนจงยอมถอยกลับที่มั่นและไม่คิดจะรุกคืบต่อทั้งที่เป็นโอกาสอันดี
เปิดโอกาสให้ตั๋งโต๊ะเผาเมืองหลวงทิ้ง และอพยพผู้คนหนีไปที่เมืองหลวงเก่าเตียงอัน
แล้วทำเข้าขุดสุสานบูรพฮ่องเต้ของราชวงศ์ฮั่น นำเอาทรัพย์สมบัติจำนวนมากพร้อมพาเอาพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปด้วย
และผลสุดท้าย ทัพพันธมิตรก็เกิดการแตกแยกกันเอง ทำให้ต้องสลายตัวกันไปในที่สุด
ฝ่ายตั๋งโต๊ะซึ่งย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่เตียงอัน
ยังคงแสดงความโหดเหี้ยมอยู่ต่อไปและนับวันจะมีแต่หนักขึ้นกว่าเดิม แม้ว่าจะมีการต่อต้านบ้างประปราย
ทำให้ลิโป้ได้รับคำสั่งให้นำทหารเข้าปราบปราม
และก็สามารถมีชัยต่อการศึกได้ทุกครั้ง
จนกระทั่งถึงตอนนี้เขาได้กลายเป็นขุนพลคนสำคัญที่กองทัพตั๋งโต๊ะไม่อาจขาดได้ไปแล้ว
จากนั้นก็ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น เมื่อลิโป้กับตั๋งโต๊ะเริ่มผิดใจกัน
ซึ่งจุดเริ่มของเรื่องราวนั้นส่งผลทำให้การแย่งชิงอำนาจในแผ่นดินช่วงนั้นต้องพลิกผันไปจนหมด
เฉินโซ่วบันทึกเรื่องราวในจดหมายเหตุสามก๊กไว้ไม่มากนัก
แต่หลอก้วนจงได้นำเอาเนื้อหามาขยายความจนเหตุการณ์ช่วงนี้กลายเป็นหนึ่งในตอนที่สนุกและเป็นที่จดจำมากที่สุดตอนหนึ่งในนิยายสามก๊ก
และยังเป็นการปรากฏตัวของสตรีผู้หนึ่ง นั่นคือนางเตียวเสี้ยน
ซึ่งเป็นสตรีที่น่าจะโด่งดังที่สุดในสามก๊ก และคนทั่วไปจดจำได้มากที่สุด
นอกจากนี้ยังเป็นที่กล่าวขวัญถึงความงดงามว่าเป็น 1 ใน
4 สาวงามในประวัติศาสตร์จีน
แต่ด้วยความที่ไม่ปรากฏชื่อของนางในจดหมายเหตุสามก๊กเลย
จึงเชื่อกันว่านางไม่ได้มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์
หลอก้วนจงบรรยายเรื่องราวในช่วงนี้ว่า อ้องอุ้น
ขุนนางใหญ่ตำแหน่งซือถูของราชสำนักฮั่น คิดวางแผนโค่นล้มตั๋งโต๊ะ
แต่ติดที่มีลิโป้เป็นอุปสรรค จึงคิดวางแผนการแยกคนทั้งสองโดยทำให้พวกผิดใจกัน
ในตอนนี้เอง ที่นางเตียวเสี้ยน
บุตรีบุญธรรมของอ้องอุ้นได้เสนอตัวยอมพลีกายเพื่อทำตามแผนของอ้องอุ้น
ซึ่งนั่นก็คือกลสาวงาม โดยหวังจะใช้สาวงามเข้าล่อลวง
เพื่อทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งลิโป้และตั๋งโต๊ะพังทลายลง
อ้องอุ้นได้เข้าพบลิโป้
โดยนำของขวัญคือหมวกหมวกทองคำมอบให้เป็นของกำนัลเพื่อซื้อใจ
จากนั้นจึงเชิญชวนลิโป้ไปทานอาหารที่พักของตน ลิโป้ตอบรับคำเชิญ
จากนั้นอ้องอุ้นจึงหาโอกาสให้ลิโป้ได้พบกับเตียวเสี้ยน
ด้วยความงามและกิริยาท่าทางอันอ้อนแอ้นของเตียวเสี้ยน สาวสะคราญโฉมในวัย 16 ปี
ทำให้ลิโป้ถึงกับตาค้างและเกิดความหลงใหลในทันที
อ้องอุ้นจึงบอกกับลิโป้ว่าเตียวเสี้ยนนั้นเป็นธิดาบุญธรรมของตน หากลิโป้ชอบพอ
เขาก็พร้อมจะยกให้ ลิโป้จึงยินดีมาก
จากนั้นในวันต่อมาอ้องอุ้นก็ได้เชิญตั๋งโต๊ะมากินเลี้ยงที่จวนของตน
และใช้ให้เตียวเสี้ยนออกแสดงการร่ายรำ
ซึ่งแน่นอนว่าคนที่มักมากในกามเช่นตั๋งโต๊ะก็ไม่พ้นที่จะหลงใหลกับความงามของเตียวเสี้ยนอีกคนหนึ่ง
อ้องอุ้นจึงออกปากยกเตียวเสี้ยนให้แก่ตั๋งโต๊ะ
แน่นอนว่าตั๋งโต๊ะต้องรีบรับไว้ด้วยความยินดี
จากนั้นจึงนำตัวนางกลับเข้าวังในทันที
วันต่อมาเมื่อลิโป้จะมารับตัวเตียวเสี้ยน
อ้องอุ้นก็อ้างว่าตั๋งโต๊ะมารับนางไปก่อนแล้ว
เหตุที่มารับนั้นก็เพื่อที่จะมอบให้แก่ลิโป้เองในภายหลัง ลิโป้หลงเชื่อ
แต่เมื่อกลับเข้าวังก็ต้องพบกับภาพบาดใจ
เมื่อตั๋งโต๊ะกำลังกอดเตียวเสี้ยนไว้ในอ้อมแขน และตั๋งโต๊ะก็บอกแก่เขาว่านี่คือนางสนมคนใหม่ของตน
ด้วยเหตุนี้ ลิโป้จึงเจ็บแค้นตั๋งโต๊ะยิ่งนัก
ครั้นจะโวยวายกับตั๋งโต๊ะก็ไม่กล้า จึงไปอาละวาดที่จวนของอ้องอุ้น
ฝ่ายอ้องอุ้นก็รีบอธิบายว่าตนไม่รู้เรื่องและยังกล่าวตำหนิอีกว่าตั๋งโต๊ะกระทำเช่นนี้เท่ากับไม่เห็นแก่เกียรติของลิโป้เลย
นับแต่นั้น ทุกครั้งที่ลิโป้เข้าพบตั๋งโต๊ะแล้วเจอนางเตียวเสี้ยน
ท่าทีของเขาที่แสดงออกนั้นสร้างความไม่พอใจให้ตั๋งโต๊ะเท่าใดนัก
ตั๋งโต๊ะก็ถึงกับว่ากล่าวลิโป้
จนเป็นเหตุให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเริ่มไม่เหมือนเดิมอีก
จากนั้นเมื่อความโกรธแค้น ความหึงหวง ความเจ็บใจ ประดังมากเข้า
รวมกับการยุยงของอ้องอุ้น ในที่สุดลิโป้ก็ตัดสินใจที่จะสังหารตั๋งโต๊ะ
อ้องอุ้นได้เข้าเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้เพื่อให้ทรงมีพระราชโองการเรียกตัวตั๋งโต๊ะเข้าวังโดยกล่าวว่าจะยกราชบัลลังก์ให้
ตั๋งโต๊ะก็หลงเชื่อและเข้าวังมาตามที่อ้องอุ้นวางแผนไว้
เมื่อตั๋งโต๊ะเข้ามาในพระราชฐานเพียงลำพัง
ลิโป้ก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วลงมือสังหารตั๋งโต๊ะด้วยตนเอง
เมื่อสังหารตั๋งโต๊ะได้แล้วลิโป้และอ้องอุ้นก็เข้าควบคุมอำนาจในราชสำนัก
แต่ไม่นานนัก กองทัพของลิฉุยและกุยกีซึ่งเป็นนายทหารของตั๋งโต๊ะก็ยกทัพมาประชิดเมืองเตียงอัน
กองทัพของลิโป้มีจำนวนน้อยกว่า อีกทั้งฝ่ายลิฉุยและกุยกีมีกาเซี่ยง
กุนซือผู้มากด้วยแผนอุบายช่วยวางกลยุทธ์ให้ ทำให้ทัพของลิโป้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้
อ้องอุ้นต้องจบชีวิตลงท่ามกลางความวุ่นวาย ส่วนลิโป้อาศัยความวุ่นวาย
นำกองทหารตีฝ่าวงล้อมหนีออกมา
ซึ่งจะพบว่าในนิยายสามก๊กนับจากนี้ก็มิได้กล่าวถึงนางเตียวเสี้ยนอีก
ในจุดนี้ เฉินโซ่วบันทึกในจดหมายเหตุสามก๊ก ชีวประวัติลิโป้
โดยกล่าวถึงความขัดแย้งระหว่างลิโป้และตั๋งโต๊ะว่า
ลิโป้นั้นมีความไม่พอใจตั๋งโต๊ะอยู่ก่อน ด้วยความที่ตั๋งโต๊ะเป็นคนอารมณ์ร้าย
เมื่อโกรธแล้วก็มักจะเอาไปลงกับคนรอบข้าง ซึ่งลิโป้ในฐานะองครักษ์แล้วก็เก็บงำความไม่พอใจเอาไว้
อีกทั้งเฉินโซ่วยังบันทึกว่า ลิโป้นั้นมีความความเสน่หากับสาวรับใช้ของตั๋งโต๊ะ
ซึ่งเขาก็หวาดกลัวว่าจะถูกล่วงรู้ จึงต้องอยู่อย่างหวาดระแวงและมีความกดดันไม่น้อย
ซึ่งนี่คือจุดเริ่มที่ทำให้อ้องอุ้นได้เข้าหาลิโป้ โดยเป็นผู้คอยช่วยปลอบโยนให้
ซึ่งในช่วงเวลานั้น อ้องอุ้นคิดวางแผนจะสังหารตั๋งโต๊ะ
จึงคิดอาศัยลิโป้ให้เป็นผู้ลงมือ
อ้องอุ้นเข้าเจรจากับลิโป้ และจะมอบตำแหน่งทางทหารชั้นสูงในราชสำนักให้
ด้วยผลประโยชน์เฉพาะหน้ารวมกับความไม่พอใจที่มีแต่เดิม
ทำให้ลิโป้ตัดสินใจร่วมมือกับอ้องอุ้น เพื่อทำการสังหารตั๋งโต๊ะ
ซึ่งหลังจากนั้นรายละเอียดก็คล้ายกับในนิยาย
ดังนั้นในประวัติศาสตร์
หลอก้วนจงอาจจะได้แรงบันดาลใจในการเขียนถึงนางเตียวเสี้ยนโดยนำเรื่องของสาวรับใช้ของตั๋งโต๊ะที่ลิโป้ชอบพอด้วย
มาขยายความใหม่เพื่อสร้างบทรัก ระหว่างบุรุษหนุ่มรูปงามแบบลิโป้
กับเตียวเสี้ยนซึ่งเป็นหญิงงามแห่งยุค
นับว่าเป็นการเขียนเสริมขึ้นมาในเชิงวรรณกรรม
เฉินโซ่วบันทึกว่า 60 วันหลังจากลิโป้สังหารตั๋งโต๊ะ
และเมืองเตียงอันถูกตีแตกแล้ว
ลิโป้ก็ได้กลายเป็นขุนศึกพเนจรที่นำกองกำลังของตนเดินทางไปโดย เขาส่งจดหมายไปหาอ้วนสุดเพื่อขอเป็นพันธมิตรและจะเข้าร่วมกองทัพด้วย
ลิโป้นั้นคิดว่าผลงานการสังหารตั๋งโต๊ะของเขานั้นน่าจะสร้างความยินดีให้แก่อ้วนสุด
เหตุเพราะญาติของอ้วนสุดชื่อว่าอ้วนวุยนั้น ถูกตั๋งโต๊ะสังหาร
แต่อ้วนสุดนั้นหวาดระแวงในตัวลิโป้จากพฤติกรรมในอดีต จึงปฏิเสธไม่ให้ลิโป้เข้าร่วมกับกองทัพของเขา
ลิโป้เดินทางขึ้นเหนือเพื่อไปขอเข้าร่วมกับอ้วนเสี้ยว
ซึ่งขณะนั้นกำลังขยายอิทธิพลในดินแดนภาคเหนือ
อ้วนเสี้ยวจึงสั่งให้ลิโป้ออกทำศึกกับเตียนเอี๋ยน ซึ่งลิโป้ก็สามารถเอาชัยชนะมาได้
แต่อ้วนเสี้ยวรู้สึกไม่พอใจลิโป้เท่าใดนัก
ฝ่ายลิโป้เองก็ไม่ค่อยพอใจอ้วนเสี้ยวจึงขอตีจากมา อย่างไรเสีย
อ้วนเสี้ยวหวาดระแวงในตัวลิโป้จึงคิดสังหารในยามวิกาล
แต่เขาก็สามารถหนีเอาตัวรอดมาได้ จึงตัดสินใจเดินทางไปเมืองเฮอไน
และขอเข้าร่วมทัพของเตียวเอี๋ยง แต่ก็ถูกปฏิเสธไปอีกเพราะหวาดกลัวในตัวของเขา
จากเหตุการณ์ที่บันทึกในประวัติศาสตร์
จะพบว่าลิโป้ไม่สามารถไปเข้าร่วมกับขุนศึกคนใดได้เลย
เหตุผลสำคัญล้วนมาจากพฤติกรรมในอดีตที่เขามักจะเนรคุณต่อผู้ที่เข้าไปอยู่ด้วย
ทำให้ทุกคนหวาดกลัวว่าจะเกิดขึ้นกับตนเอง ดังนั้นแม้ว่าลิโป้จะถือว่าตนเองสร้างผลงานยิ่งใหญ่ในการสังหารตั๋งโต๊ะ
แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าสิ่งนั้นเป็นการกระทำเพื่อช่วยเหลือแผ่นดินและก็ไม่มีใครยอมรับเขาเลยแม้แต่น้อย
ในระหว่างนั้น ลิโป้ได้พบกับเตียวเมา ขุนพลแห่งเมืองตันลิว
ซึ่งเป็นสหายและขุนพลในสังกัดของโจโฉ ซึ่งเตียวเมานั้นเข้าร่วมก่อการกับโจโฉตั้งแต่ตอนที่โจโฉเพิ่งเริ่มก่อร่างสร้างตัว
แต่ภายหลังกลับไม่ค่อยพอใจโจโฉนัก
จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่บิดาของโจโฉถูกทหารของโตเกี๋ยม เจ้าเมืองชีจิ๋วสังหาร
ทำให้โจโฉแค้นจัดและจัดกองทัพใหญ่บุกชีจิ๋ว
ปีค.ศ.195 ลิโป้ร่วมกับเตียวเมาอาศัยโอกาสระหว่างที่โจโฉยกกองทัพใหญ่บุกชีจิ๋ว
ลอบนำทหารเข้าตีเมืองของโจโฉ ลิโป้ยังได้ตันก๋ง
สหายเก่าของโจโฉมาเป็นกุนซือและเสนาธิการให้กองทัพ วางแผนเข้าโจมตีเมืองปักเอี้ยง
ซึ่งเป็นหัวเมืองสำคัญและหนึ่งในฐานที่มั่นของโจโฉ
ฝ่ายโจโฉรีบยกทัพกลับมาหมายจะชิงเมืองคืน ทั้งสองฝ่ายทำศึกกันข้ามปี
ซึ่งเผอิญเกิดวิกฤติตั๊กแตนตำข้าวระบาด ทำลายท้องนาและสร้างปัญหามาก
ผลสุดท้ายลิโป้ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อโจโฉ
ทำให้ต้องนำกองทัพที่เหลือหนีไปขอพึ่งพิงเล่าปี่ที่ชีจิ๋ว
ในนิยายสามก๊กกล่าวถึงงานเลี้ยงรับรองที่เล่าปี่จัดขึ้นให้ลิโป้ โดยที่ลิโป้อ้างว่าเหตุที่เล่าปี่ได้เมืองชีจิ๋วมาครองนั้น
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขายกทัพเข้าตีหลังบ้านของโจโฉ ทำให้ทัพของโจโฉต้องล่าถอยกลับไป
และเปิดโอกาสให้เล่าปี่ได้ครองเมืองชีจิ๋วได้
เล่าปี่เองก็ไม่ได้ปฏิเสธอีกทั้งเล่าปี่คงคิดอยากจะใช้ลิโป้เป็นกันชนเพื่อรับศึกโจโฉในอนาคต
จึงยอมรับตัวลิโป้ไว้ แล้วให้เขาไปทำหน้าที่รักษาเมืองเสี่ยวพ่าย
เพื่อป้องกันภัยจากโจโฉ ท่ามกลางการคัดค้านของเหล่าขุนพลอย่างกวนอูและเตียวหุย
ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างลิโป้กับเล่าปี่นั้น
มีบันทึกไว้น่าสนใจในจดหมายเหตุสามก๊ก ซึ่งเผยซงจือแทรกบทอรรถาธิบายเสริมไว้
โดยบันทึกว่า เมื่อลิโป้พบกับเล่าปี่นั้น ก็แสดงความเคารพต่อเล่าปี่อย่างสูงมาก
แล้วกล่าวว่า พวกเราทั้งสองล้วนมาจากบ้านเดียวกัน
ตัวเขาปรารถนาที่จะสังหารตั๋งโต๊ะ ครั้นเมื่อทำได้แล้ว
กลับกลายเป็นว่าเหล่าขุนศึกทั้งหลายกลับปฏิเสธที่จะสนับสนุนตัวเขา
และยังต้องการสังหารเขาด้วย
คำกล่าวนี้ลิโป้อาจต้องการสื่อถึงการประชดประชันต่อสถานการณ์การเมืองและสะท้อนถึงจิตใจของเหล่าขุนศึกอดีตพันธมิตรกวนจง
ซึ่งเคยมีเป้าหมายร่วมกันที่จะสังหารตั๋งโต๊ะ แต่สุดท้ายเมื่อลิโป้กระทำได้สำเร็จ
คนพวกนั้นกลับคิดจะสังหารเขาแทน
ลิโป้ยังเชื้อเชิญเล่าปี่เข้าไปยังค่ายพักของตน
แนะนำให้รู้จักกับภรรยาและสั่งให้ภรรยาทำความเคารพต่อเล่าปี่
นอกจากนี้ลิโป้ยังเอ่ยคำเรียกเล่าปี่เป็นเสมือนน้อง
ฝ่ายเล่าปี่เมื่อเห็นลิโป้พูดจาเช่นนั้นก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไร
จากนั้นไม่นาน
เล่าปี่ได้รับราชโองการจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ยกทัพไปปราบอ้วนสุด
ฝ่ายลิโป้ทราบข่าวนี้จึงคิดว่าเป็นโอกาสที่จะทำการชิงอำนาจ
ดังนั้นหลังจากเล่าปี่และกวนอูยกทัพออกไปทำศึกกับอ้วนสุดได้ระยะหนึ่ง
ลิโป้ก็ร่วมกับโจปา นายทหารในชีจิ๋วซึ่งเข้าร่วมก่อการกับลิโป้ด้วย
ส่งทหารเข้ายึดเมืองในยามวิกาล ขณะนั้นชีจิ๋วมีเตียวหุยเฝ้ารักษาอยู่
แต่เตียวหุยก็เมาเหล้าจนเสียการ เป็นโอกาสให้ลิโป้สามารถยึดเมืองได้สำเร็จ
ส่วนเตียวหุยก็ตีฝ่าวงล้อมออกไปแจ้งข่าวแก่เล่าปี่
ขณะนั้นเล่าปี่และกวนอูกำลังติดพันศึกกับอ้วนสุด เมื่อทราบข่าวร้ายจึงรีบถอยทัพกลับชีจิ๋วทันที
ลิโป้เข้าพบกับเล่าปี่และเจรจาต่อกัน
ลิโป้อ้างว่าเหตุที่ทำการยึดเมืองชีจิ๋วมาก็เพราะพวกโจรป่าหมายจะเข้ายึดเมืองชีจิ๋ว
เขาจึงต้องกระทำการยึดเมืองไว้
จากนั้นจึงให้เล่าปี่ไปครองเมืองเสียวพ่ายที่ตนเคยอยู่มาก่อน เล่าปี่จำใจต้องยอมรับ
และเป็นจุดเริ่มความขัดแย้งระหว่างลิโป้และเล่าปี่
ซึ่งส่งเป็นสาเหตุนำไปสู่จุดจบของลิโป้ในภายหลังด้วย
ต่อมาลิโป้ทราบข่าวว่า
ทัพของอ้วนสุดนำโดยกิเหลงได้เคลื่อนพลบุกเสียวพ่ายของเล่าปี่
ด้วยเพราะอ้วนสุดและเล่าปี่ยังมีความแค้นต่อกันอยู่ในศึกคราวก่อน
ทัพของอ้วนสุดมีจำนวนถึง 30,000 คน
ยากที่ฝ่ายเล่าปี่ซึ่งขาดแคลนกำลังพลและเสบียงมากพอจะต้านทางได้
เล่าปี่จำใจต้องขอความช่วยเหลือจากลิโป้เพื่อป้องกันตัวเอง
บรรดาที่ปรึกษาของลิโป้กล่าวว่า ในเมื่อลิโป้ต้องการสังหารเล่าปี่เสมอมา
ถ้าเช่นนั้นก็เป็นโอกาสอันดีแล้วที่จะปล่อยให้อ้วยสุดเป็นฝ่ายลงมือ
แต่ลิโป้ปฏิเสธแล้วกล่าวว่า ถ้าอ้วนสุดจัดการกับเล่าปี่
เขาสามารถติดต่อกับบรรดาขุนพลทางตอนเหนือของแถบไท่ซานได้ ก็จะเป็นปัญหากับฝ่ายเรา
ดังนั้นลิโป้จึงตัดสินใจช่วยเหลือเล่าปี่
ลิโป้เสนอการเจรจา โดยเชิญขุนพลกิเหลงเข้ามาพบในค่ายพัก
ร่วมกับฝ่ายเล่าปี่ด้วย ลิโป้กล่าวว่าแท้จริงแล้วตนไม่อยากทำสงคราม
จึงขอเป็นคนกลางในการช่วยไกล่เกลี่ย กิเหลงไม่ยอมรับข้อเสนอ
ดังนั้นลิโป้จึงชวนท้าเดิมพันว่า
หากเขาสามารถขิงเกาทัณฑ์ไปปลายทวนซึ่งปักอยู่ที่หน้าประตูค่ายได้ ก็ขอให้เลิกราทัพต่อกัน
กิเหลงยอมเดิมพันด้วยไม่เชื่อว่าลิโป้จะทำได้ เพราะระยะยิงนั้นไกลมาก
แต่ลิโป้ก็ได้แสดงฝีมือการยิงเกาทัณฑ์ให้ทุกคนประจักษ์เมื่อเขาสามารถยิงถูกได้สำเร็จ
ทำให้กิเหลงจำใจต้องถอยทัพกลับไป
ต่อมาลิโป้ได้ผูกสัมพันธ์กับฝ่ายอ้วนสุด ด้วยลิโป้นั้นมีบุตรีวัย 15
ปีนางหนึ่งซึ่งเกิดจากนางเหงียมซี ภรรยาเอก
ฝ่ายอ้วนสุดนั้นวางแผนการคิดสู่ขอบุตรีของลิโป้มาให้บุตรของตนเพื่อดองกันไว้
เพราะหากเป็นเช่นนั้นลิโป้ก็จะเป็นฝ่ายจัดการเล่าปี่ในภายหลังเอง
ซึ่งแผนการนี้กิเหลงเป็นผู้เสนอแก่อ้วนสุด แต่ถูกตันก๋งมองออก ซึ่งตันก๋งก็มิได้ขัดขวางซ้ำยังสนับสนุนเพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์กับฝ่ายตนในการจัดการเล่าปี่ภายหลัง
แต่ระหว่างการส่งตัวเจ้าสาวนั้นเกิดปัญหา เนื่องจากตันกุ๋ย บิดาของตันเต๋ง
ขุนนางคนสำคัญของชีจิ๋วได้ทราบข่าวนี้ ในจดหมายเหตุสามก๊กบันทึกว่า ตันกุ๋ยกังวลว่าการจับมือเป็นพันธมิตรระหว่างลิโป้และอ้วนสุดจะสร้างความหายนะให้แผ่นดิน
เขาจึงคิดแผนยุแยงด้วยการเข้าไปพบลิโป้แล้วกล่าวว่า “ข้าทราบว่าท่านขุนพลถึงแก่ความตายแล้วจึงมาคำนับศพ”
ลิโป้ฟังเช่นนั้นก็ตกใจแล้วถามว่าทำไมได้ข่าวเช่นนั้น
ตันกุ๋ยอธิบายว่าการที่อ้วนสุดมาสู่ขอบุตรีของลิโป้ในครั้งนี้
จะเป็นปัญหาในภายหลังอย่างมาก เพราะอ้วนสุดนั้นคิดกำจัดเล่าปี่ตลอดมา
หลังจากลิโป้ดองเป็นญาติด้วยแล้ว อ้วนสุดก็จะยกทัพมาตีเล่าปี่
แล้วหากเมืองเสี่ยวพ่ายแตก ชีจิ๋วก็จะเป็นอันตราย
ภายหลังหากอ้วนสุดมาขอเสบียงอาหารหรือไพร่พล ด้วยสายสัมพันธ์เครือญาติ
ลิโป้ก็ไม่อาจปฏิเสธได้
อีกทั้งขณะนี้ใครๆก็รู้ว่าอ้วนสุดได้ครองตราหยกคิดจะแต่งตั้งตนเองเป็นฮ่องเต้ซึ่งเท่ากับเตรียมการกบฏต่อราชสำนัก
เมื่อนั้นลิโป้ก็จะได้ชื่อว่าเป็นกบฏไปด้วย ต่อไปก็ยากที่จะมีใครมาร่วมด้วยอีก
ลิโป้ฟังเช่นนั้นจึงโกรธมากแล้วแค้นตันก๋งที่สนับสนุนการแต่งงาน
รอยร้าวระหว่างทั้งสองจึงเกิดขึ้นจนยากจะผสานได้
จากนั้นไม่นานลิโป้ก็เกิดผิดใจกับเล่าปี่และเตียวหุย
เนื่องด้วยลิโป้ส่งคนไปซื้อหาม้า แต่ถูกเตียวหุยดักชิงเอาไป
ลิโป้จึงถือเป็นเหตุเข้าโจมตีเสียพ่าย เล่าปี่จึงต้องหนีไปพึ่งพิงโจโฉ
และช่วยกันนำกองทัพเข้าตีเสียวพ่ายคืน
แต่โจโฉทราบข่าวว่าเตียวซิ่วและเล่าเปียวคิดการบุกโจมตีนครฮูโต๋และตั่งมั่นทัพที่เมืองอ้วนเสีย
จึงคิดจะหย่าศึกกับลิโป้ไว้ก่อน ซุนฮกจึงเสนอกับโจโฉว่าลิโป้เป็นคนละโมบ
มอบอะไรให้นิดหน่อยก็ดีใจแล้ว และเสนอให้ส่งคนถือพระราชโองการเลื่อนยศในราชสำนักฮั่นให้แก่ลิโป้
แล้วเกลี้ยกล่อมให้กลับมาคืนดีกับเล่าปี่ เพียงเท่านี้ลิโป้ก็จะยอมเชื่อฟังแล้ว
ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น
ปีค.ศ.197
ลิโป้ได้รับตำแหน่งเป็นนายพลผู้พิชิตตะวันออกโดยราชสำนัก
ลิโป้ดีใจมากและส่งตันเต๋งเป็นทูตไปขอให้โจโฉแจ้งต่อราชสำนักให้แต่งตั้งตนเป็นผู้ว่าราชการของชีจิ๋ว
แต่ตันเต๋งได้แปรพักตร์ไปอยู่กับโจโฉและยังคิดแผนการที่จะใช้ลิโป้ด้วย
โจโฉให้ตันเต๋งกลับมาทำหน้าที่ยุแยงให้ลิโป้รบกับขุนศึกกลุ่มอื่นๆ
ซึ่งในตอนนี้ลิโป้ก็เปลี่ยนใจไม่ยกบุตรีของตนให้อ้วนสุดแล้ว ทำให้ต้องผิดใจกับอ้วนสุดแทน
ไม่นานนัก อ้วนสุดก็ยกทัพใหญ่เจ็ดกองทัพมาหมายจะบุกชีจิ๋ว
มีกิเหลงเป็นแม่ทัพใหญ่ ลิโป้มีจำนวนทหารน้อยกว่ามาก
แต่ตันเต๋งได้ช่วยวางแผนการให้
ลิโป้ก็ได้นำกองทัพของตนออกต่อสู้และสามารถถล่มทัพของกิเหลงจนแตกพ่าย และตีทัพหลวงของอ้วนสุดซึ่งแต่งตนเสมือนฮ่องเต้เต็มยศจนต้องล่าถอยไป
เป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของลิโป้
จากนั้นลิโป้ก็เข้าร่วมกับ โจโฉ เล่าปี่ และ ซุนเซ็ก
เพื่อจัดทัพใหญ่บุกถล่มอ้วนสุด
ปฏิบัติการนี้ได้เข้าโจมตีจนเมืองซิ่วซุนเมืองหลวงของอ้วนสุดต้องประสบขาดแคลนเสบียงอย่างหนัก
อ้วนสุดแทบจะแพ้พ่ายจนไม่สามารถตั้งตัวกลับมาได้อีก
แต่เนื่องจากโจโฉทราบข่าวว่าเตียวซิ่วและเล่าเปียวร่วมมือกันยกทัพมาตีหัวเมืองรอบลำหยงและเกิดกบฏขึ้น
จึงจ้องต้องล่าถอยกลับไป ฝ่ายลิโป้ก็กลับไปยังชีจิ๋ว
ปีค.ศ.198 ปีเจี้ยงอันศกที่สาม ลิโป้ตัดสินใจทรยศโจโฉและเล่าปี่
แล้วกลับมาเป็นพันธมิตรกับอ้วนสุดอีกครั้ง
สาเหตุสำคัญเพราะสองพ่อลูกตันกุ๋ยและตันเต๋ง
ซึ่งขณะนั้นได้รับความไว้วางใจจากโจโฉแทนที่ตันก๋งนั้น
ได้วางแผนลับที่จะกำจัดลิโป้โดยร่วมมือกับโจโฉ และยังติดต่อเล่าปี่ให้ร่วมมือด้วย
แต่ทหารของลิโป้สามารถดักจับสารที่โจโฉและเล่าปี่ส่งถึงกันได้
ลิโป้โกรธมากจึงประกาศศึกและยกทหารเข้าโจมตีเล่าปี่ที่เมืองเสียวพ่ายทันที
ลิโป้ยกกองทัพใหญ่บุกโจมตีอย่างหนัก
ให้เตียวเลี้ยวและโกซุ่นสองขุนพลเอกเข้าตีกับกวนอู ส่วนตนเองเข้าตีกับเตียวหุย
ทั้งสองทัพถูกตีนจนแตกพ่าย เล่าปี่จำต้องละทิ้งครอบครัวตีฝ่าวงล้อมออกไปนอกเมือง
แล้วสมทบกับกวนอูและเตียวหุย จากนั้นจึงไปรวมตัวกับทัพของโจโฉที่ยกมาช่วยพอดี
ลิโป้ต้องเผชิญหน้ากับกองทัพใหญ่ของโจโฉซึ่งมีเล่าปี่เข้าร่วมด้วย
ทั้งสองฝ่ายทำศึกกันอย่างหนักหน่วง ลิโป้ต้องเข้าไปตั้งมั่นอยู่ในเมืองชีจิ๋ว
ตันกุ๋ยและตันเต๋งซึ่งรอคอยโอกาสมานาน จึงเริ่มดำเนินแผนการจัดการลิโป้
ด้วยการหลอกล่อจนทัพของลิโป้ปั่นป่วนและโยกทหารไปมาจนเสียทีให้ฝ่ายโจโฉ
จากนั้นกุยแกก็เสนอแผนการพังเขื่อนกั้นแม่น้ำอี้สุ่ยและซื่อสุ่ย ให้เข้าท่วมชีจิ๋ว
ผลคือทั่วทั้งเมืองถูกแม่น้ำทั้งสองสายไหลท่วมเข้าเมือง
ขวัญทหารของทัพลิโป้ตกต่ำลงอย่างหนัก
ลิโป้พยายามส่งสารไปขอความช่วยเหลือจากอ้วนสุด
แต่ก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือดังที่หวัง สุดท้าย ในเดือน 4
ลิโป้ในขณะนั้นเหนื่อยล้ามาก และสูญเสียจิตใจที่จะสู้รบ
ขณะที่กำลังนั่งผล็อยหลับเพราะดื่มสุรา เขาก็ถูกนายทหารของตนคือ เฮาเส็ง ซงเหียน
และงุยซก ลอบชิงง้าวคู่ใจในมือแล้วจับมัดด้วยเชือกไว้ได้
ส่วนตันก๋งก็ถูกซิหลงจับตัวได้ เช่นเดียวกับเตียวเลี้ยวและโกซุ่น
ลิโป้ถูกจับมาเบื้องหน้าโจโฉ
หลอก้วนจงบรรยายเหตุการณ์ตอนนี้ในนิยายสามก๊กว่า ลิโป้ซึ่งเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่
ถูกทหารใช้เชือดมัดแน่นหน้าก็ร้องว่ามัดแน่นเหลือเกิน ช่วยคลายลงหน่อย
ฝ่ายโจโฉก็ตอบกลับว่า ธรรมดามัดเสือ ย่อมไม่อาจมัดหลวมได้
เป็นการแสดงให้เห็นถึงความยำเกรงในชื่อเสียงแต่เก่าของลิโป้และแสดงภาพพจน์ความดุร้ายในตัวเขาไม่น้อย
กุนซือและนายทหารสำคัญของลิโป้ถูกจับตัวและนำมาให้โจโฉตัดสินโทษทีละคน
โกซุ่นถูกจับมาได้ เมื่อโจโฉถามแล้วไม่ตอบอะไร โจโฉโกรธจึงสั่งประหาร
ส่วนตันก๋งนั้น โจโฉนึกเสียดายมากและพยายามเกลี้ยกล่อมเขาเพราะเคยเป็นสหายสนิทกันมาก่อน
แต่ตันก๋งขอยอมตาย โจโฉว่ากล่าวว่าแล้วแม่ผู้ชราและภรรยาของตันก๋งจะทำเช่นไร
ตันก๋งตอบว่า ข้าเคยได้ยินว่า
ธรรมดาแล้วผู้ทรงธรรมย่อมไม่ทำร้ายครอบครัวของผู้อื่น
ดังนั้นแม่และภรรยาของเขาจะเป็นตายเช่นไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับโจโฉทั้งสิ้น
โจโฉได้ฟังเช่นนั้นจึงลุกไปส่งตันก๋งสู่ที่ประหารด้วยน้ำตานองหน้า
แล้วจึงรับปากว่าจะดูแลครอบครัวของตันก๋งให้
เฉินโซ่วและหลอก้วนจงบรรยายช่วงนี้ไว้ตรงกันว่า
ขณะที่โจโฉเดินไปส่งตันก๋งนั้น
ลิโป้ก็วิงวอนกับเล่าปี่ขอให้ช่วยเอ่ยปากขออภัยโทษตนเองกับโจโฉ
เล่าปี่พยักหน้าโดยไม่กล่าวอะไร เมื่อโจโฉเดินกลับเข้ามา ลิโป้จึงเอ่ยกับโจโฉว่า “ท่านกำลังตั้งตนเป็นใหญ่
เกรงอยู่ว่าข้าจะเป็นศัตรูสำคัญ บัดนี้ข้าขอยอมสวามิภักดิ์ต่อท่าน
หากว่าท่านใช้ให้ข้าเป็นขุนพลนำกองทหารม้าให้ท่านแล้ว
ในแผ่นดินนี้ก็ไม่มีสิ่งใดที่ยากเกินกว่าท่านจะได้มาครองแน่นอน”
โจโฉฟังแล้วก็หันมาถามเล่าปี่ว่าคิดเห็นเช่นไร เล่าปี่ตอบเพียงสั้นๆว่า “ท่านลืมเรื่องของเต็งหงวนและตั๋งโต๊ะแล้วหรือ”
ลิโป้ได้ยินเช่นนั้นก็ด่าเล่าปี่ว่าไอ้คนอกกตัญญู
จากนั้นโจโฉจึงสั่งทหารให้นำตัวลิโป้ไปประหารชีวิต
ก่อนไปลิโป้ยังหันมาร้องด่าเล่าปี่ที่ลืมบุญคุณเรื่องที่เคยยิงปลายทวนช่วยชีวิตเมื่อครั้งอ้วนสุดยกทัพมา
เตียวเลี้ยวได้ฟังเช่นนั้นก็ร้องตะโกนด่าลิโป้ว่า เราเป็นชายชาติทหาร
ตายเป็นตายแล้วจะกลัวไปทำไม จากนั้นเตียวเลี้ยวก็ร้องด่าโจโฉไม่หยุด
จนโจโฉโกรธจัดแต่เล่าปี่และกวนอูขอชีวิตเตียวเลี้ยวไว้
ซึ่งโจโฉก็ชอบใจในความกล้าหาญของเตียวเลี้ยวจึงไว้ชีวิตและก็ได้กลายมาเป็นขุนพลคนสำคัญของโจโฉในภายหลัง
ส่วนลิโป้ก็ถูกนำตัวไปประหารและให้นำศีรษะมาเสียบประจาน ด้วยอายุ 43 ปี
เป็นอันปิดฉากเส้นทางของบุคคลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพนักรบผู้เข้มแข็งที่สุดในปลายราชวงศ์ฮั่น
ก่อนหน้าที่แผ่นดินจะแบ่งขั้วเป็นสามก๊ก
มีผู้วิจารณ์ว่าบางทีโจโฉอาจจะคิดเก็บลิโป้ไว้ใช้งานก็เป็นได้
แต่ด้วยคำแนะนำของเล่าปี่
ซึ่งน่าจะยังคงเจ็บแค้นลิโป้ที่ตลบหลังแย่งชีจิ๋วไปจากเขา
โจโฉจึงเห็นด้วยและให้สังหารลิโป้ไปเสีย
หากแม้ว่าลิโป้มีสติปัญญาและคุณธรรมมากกว่านี้สักเล็กน้อยจุดจบของเขาอาจไม่เป็นเช่นนี้
ซึ่งไม่แน่ว่าเขาอาจจะได้กลายเป็นผู้นำก๊กที่ 4
ก็เป็นได้
ด้วยความที่เขาเป็นนักรบผู้มีฝีมือการสู้รบที่เข้มแข็งอย่างสูงล้นดังที่ผู้คนยกย่องเขาเป็นเทพนักรบของยุคนั้น
บรรดาเจ้าเมืองและขุนศึกทั้งหลายย่อมอยากจะได้เขามาใช้งานหรือร่วมด้วย
แต่ก็เพราะความไร้ซึ่งคุณธรรมและความละโมบ
ซึ่งสนใจแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้านี้เองที่ทำให้ในช่วงบั้นปลายชีวิต
ก็ไม่มีใครคิดอยากร่วมมือกับเขาอีก
เพราะกลัวว่าจะถูกแว้งกัดและทรยศดังที่เขาได้กระทำมาแล้วทั้งชีวิต
แม้ว่าลิโป้จะสิ้นชีพเร็วเกินไป
หากเปรียบเทียบจากฝีมือในการทำศึกดุจดังเทพนักรบ
เพราะความไร้คุณธรรมและเรื่องราวในชีวิตซึ่งส่งผลให้ชื่อเสียงของเขาเน่าเหม็นในฐานะผู้ที่เนรคุณคนครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม
กระนั้นหากถามว่าใครคือยอดนักรบผู้มีฝีมือการสู้รบเป็นอันดับหนึ่งแห่งยุคสามก๊กแล้วล่ะก็
ชื่อของลิโป้น่าจะถูกล่าวถึงเป็นชื่อต้นๆอย่างแน่นอน
“ใครคือผู้ที่มีฝีมือการสู้รบเก่งที่สุดในสามก๊ก”
นี่อาจจะเป็นหนึ่งในปัญหาโลกแตกที่แฟนสามก๊กน่าจะถกเถียงกันไม่รู้จบ
และเป็นหนึ่งในคำถามสำคัญที่ถูกถามถึงบ่อยครั้งมาก
และก็คงมีคนจำนวนมากที่อยากรู้คำตอบเช่นกันว่าแท้จริงแล้วคือใครกันแน่
ซึ่งชื่อของลิโป้นั้นไม่พ้นที่จะถูกยกมาเป็นอันดับต้นๆเสมอ
หรือหากจะกล่าวว่าเป็นตัวเลือกแรกสุดก็คงไม่เกินเลยไปนัก
หลอก้วนจง บรรยายความน่าเกรงขามของลิโป้ในนิยายสามก๊กเอาไว้มาก
นับตั้งแต่แรกเปิดตัวลิโป้นั้น
ก็ได้แสดงให้เห็นถึงพละกำลังและความสามารถในเชิงยุทธ์อย่างสูง
แต่หลังจากนั้นก็จะพบว่าไม่ได้มีเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสู้รบของเขาไว้ละเอียดยมากนัก นอกจากชื่อเสียงในความสามารถเชิงยุทธ์ที่สูงส่งจนสร้างความยำเกรงต่อเหล่าทหารข้าศึก
เหตุการณ์สำคัญที่น่าจะเป็นตัวชี้ให้เห็นถึงระดับฝีมือของลิโป้ได้เด่นชัดเป็นพิเศษ
น่าจะเป็นตอนที่ลิโป้เผชิญหน้ากับสามพี่น้อง เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย รุมรบพร้อมกัน
ซึ่งผลคือสามพี่น้องไม่อาจสังหารลิโป้ได้ แต่ก็ทำให้ลิโป้ต้องล่าถอยไป
ในนิยายสามก๊กนั้น กวนอู และเตียวหุยถูกบรรยายถึงฝีมือการสู้รบไว้อย่างสูงสุด
เป็นขุนพลที่เก่งเป็นอันดับต้นๆของยุคสามก๊ก
กวนอูสามารถสร้างวีรกรรมสังหารสองทหารเอกของอ้วนเสี้ยวคือ งันเหลียงและบุนทิวลงได้
ในขณะที่ขุนพลของโจโฉไม่อาจทำได้ แม้ในยามสูงวัยก็ยังสังหารบังเต๊ก
อดีตทหารเอกของม้าเฉียวที่มีฝีมือแข็งแกร่งลงได้
ส่วนเตียวหุยนั้นก็เคยสร้างผลงานสู้รบกับม้าเฉียวโดยไม่ปรากฏผลแพ้ชนะชัดเจน
เตียวหุยยังเคยสู้กับเตียวคับ และเล่นงานจนเตียวคับต้องพ่ายศึก ดังนั้นวิธีวัดระดับฝีมือของลิโป้ที่ใช้กันจึงมักเอาเรื่องที่เขาสู้เสมอกับกวนอูและเตียวหุยมาใช้เป็นเกณฑ์วัด
อีกทั้งจากชีวประวัติของลิโป้ทำให้เราพบว่าเขาไม่เคยพ่ายแพ้ในการสู้ศึกกับขุนพลคนใดอย่างชัดเจนเลย
แม้แต่ในช่วงบั้นปลายซึ่งสูญเสียความฮึกเหิมในการต่อสู้ เขาก็ยังสามารถต้านทานเตียวหุยไว้ได้
นอกจากนี้แม้ว่าลิโป้จะมีพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเป็นคนเนรคุณคนอื่น
แต่เมื่อโจโฉสามารถจับตัวเขาได้ก็ยังคิดที่จะรับเขาไว้
เพราะความจริงที่ว่าหากได้ลิโป้มา ก็จะทำให้การแย่งชิงแผ่นดินง่ายขึ้น
แต่สุดท้ายด้วยคำกล่าวยุของเล่าปี่ที่กระตุ้นเตือนให้โจโฉนึกถึงการทรยศต่อผู้มีพระคุณของลิโป้ซึ่งเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
โจโฉจึงตัดสินใจประหารชีวิตลิโป้ไป
นอกจากนี้
ในประเทศญี่ปุ่นนั้นก็ให้ความยอมรับในความแข็งแกร่งของลิโป้เป็นอย่างสูง
จุดที่น่าประหลาดใจคือ พฤติกรรมของลิโป้น่าจะขัดแย้งกับแนวคิดบูชิโดของซามูไร
ซึ่งสอนให้เหล่าซามูไรมีความภักดีและซื่อสัตย์ต่อเจ้านายของตนเอง
ดังที่ปรากฏหลายครั้งในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นว่า
บรรดาซามูไรที่เจ้านายของตนเองพ่ายศึก มักจะทำฮาราคีรีหรือคว้านท้องตนเอง
เพื่อแสดงความภักดีต่อผู้เป็นนาย
ลิโป้ไม่มีภาพของความจงรักภักดีเลยแม้แต่น้อย
แต่ดูเหมือนว่าตัวเขาจะมีความพ้องกับแนวคิดบูชิโดในเรื่องของการแสวงหาความแข็งแกร่ง
และการพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองขึ้นมา อาจเพราะเรื่องนี้เอง
จึงทำให้ในประเทศญี่ปุ่น
ลิโป้ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในสามก๊ก
ดังนี้ จึงอาจพอกล่าวได้ว่า
การยกย่องลิโป้เป็นขุนพลที่มีความแข็งแกร่งและฝีมือสู้รบเก่งกล้าที่สุดในสามก๊ก
จึงไม่น่าใช่เรื่องเกินเลยไปนัก
จากงานบันทึกประวัติศาสตร์จีนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด “สื่อจี้”
(Historical Records) ซึ่งประพันธ์โดยซือหม่าเซียน
ได้บันทึกเรื่องราวของขุนพลผู้มีความสามารถตั้งแต่ราชวงศ์โจว
จนกระทั่งถึงราชวงศ์ฮั่นไว้มากมาย หนึ่งในนั้น
บุคคลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีฝีมือการสู้รบเก่งฉกาจ และได้รับการยกย่องว่าเป็นบุรุษผู้มีความแข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์จีนนั้น
ชื่อของ “เซี่ยงหยี่” (Xiang Yi) หรือที่รู้จักกันในฉายา
“ฉู่ป้าอ๋อง” มักจะเป็นชื่อที่ถูกกล่าวถึงในอันดับต้นๆเสมอ
เมื่อกล่าวถึงลิโป้ นับว่ามีภาพพจน์ของ เซี่ยงหยี่ทับซ้อนอยู่ ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่คนรุ่นหลังนำไปทับซ้อนไว้ด้วยความแข็งแกร่งไร้เทียมทานที่เสมอเหมือนกัน
รวมถึงบุคลิกและนิสัยที่เต็มไปด้วยความมุทะลุ บ้าบิ่น
รวมถึงมีความหลงใหลและละโมบในอำนาจไม่ต่างกันนัก
คำถามคือ เซี่ยงหยี่ คือใคร? เขาคือขุนศึกผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในช่วงปลายราชวงศ์ฉิน
และยังเป็นบุคคลสำคัญที่ทำลายราชวงศ์ฉินให้พินาศสิ้น
โดยการจุดไฟเผาทำลายนครเสียหยาง เมืองหลวงของฉินจนมอดไหม้เป็นจุลอีกด้วย
เซี่ยงหยี่ได้รับการยกย่องอย่างมากจากพงศาวดารประวัติศาสตร์จีนไซ่ฮั่น
ว่าเป็นยอดขุนศึกผู้เก่งกล้าไร้เทียมทาน มีพละกำลังและความสามารถในการทำศึกประดุจเทพนักรบ
สามารถเอาชัยชนะเหนือข้าศึกนับร้อยนับพันได้
แต่ท้ายที่สุดของการต่อสู้เพื่อแย่งชิงแผ่นดิน
เซี่ยงหยี่กลับเป็นฝ่ายปราชัยต่อเล่าปัง จนต้องเชือดคอตายอย่างน่าอนาถ
สิ้นลายนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดิน
เรื่องราวการต่อสู้ของเล่าปังและเซี่ยงหยี่
นับว่าเป็นหนึ่งในหน้าสำคัญที่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์จีน
ด้วยเป็นการต่อสู้แย่งชิงความเป็นใหญ่แผ่นดินของบุคคลสองคนที่ทรงอำนาจที่สุดในยุคนั้น
ซึ่งผลจากชัยชนะของเล่าปัง
ก็ได้ทำให้เขาสามารถสถาปนาราชวงศ์ฮั่นซึ่งสืบทอดอายุต่อมาอีก 300
กว่าปีได้ ก่อนที่แผ่นดินจะถึงคราวแตกแยกอีกครั้งเป็นสามก๊ก
นักประวัติศาสตร์และนักวิชาการจำนวนมาก
วิเคราะห์เรื่องราวการทำศึกของทั้งสองฝ่ายไว้มากมายหลายมุม
รวมถึงการวิเคราะห์เรื่องบุคลิกของความเป็นผู้นำทางทหารของเซี่ยงหยี่ด้วยว่า
เหตุใดบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดขุนศึกที่มีความสามารถในการทำศึกมากถึงขนาดนั้น
จึงพ่ายแพ้แก่เล่าปัง ซึ่งนับว่าเป็นรองกว่าแทบทุกอย่าง
อีกทั้งเล่าปังก็ไม่ได้มีความสามารถในการทำศึกเฉกเช่นเซี่ยงหยี่เลย
พงศาวดารไซ่ฮั่นกล่าวถึงเรื่องราวของเซี่ยงหยี่ไว้ว่า เขาเป็นทายาทตระกูลขุนศึกผู้มีชื่อเสียงแห่งแคว้นฉู่
อดีตแคว้นที่เคยยิ่งใหญ่ในยุคชุนชิว อาของเขาคือเซี่ยงเหลียง
เป็นขุนศึกของเมืองหวู่ ซึ่งคิดการที่จะล้มล้างราชวงศ์ฉินมานาน
ด้วยเพราะก๊กฉู่เคยถูกราชวงศ์ฉินล้มล้างมาเมื่อครั้งอดีต
จึงยังคงเก็บความแค้นสะสมไว้ รอคอยเวลาที่เหมาะสม
เซี่ยงหยี่ครั้งวัยเยาว์ได้ทำการศึกษาเล่าเรียนแต่ไม่ประสบผลนัก
เซี่ยงเหลียงจึงให้ไปฝึกฝนเพลงกระบี่แทน
แต่หลังจากฝึกได้ระยะหนึ่งเซี่ยงหยี่กลับเลิกฝึก เซี่ยงเหลียงรู้เข้าก็โกรธมาก
แต่เซี่ยงหยี่เป็นฝ่ายถามกลับว่า เรียนหนังสือจะใช้ทำการใหญ่ได้อย่างไร
อย่างมากก็แค่จดชื่อตนเอง
ส่วนเรียนเพลงกระบี่อย่างมากก็แค่คุ้มครองตนเองกับสู้ศัตรูได้เพียงหนึ่งคน
ตัวเขานั้นต้องการเรียนวิธีการต่อสู้กับศัตรูเป็นหมื่นคน
เซี่ยงเหลียงรู้สึกประทับใจในตัวหลานชาย
จึงให้เซี่ยงหยี่ได้รับการศึกษาตำราพิชัยสงครามสำหรับใช้ทำศึกเพื่อเอาชนะข้าศึกนับหมื่น
แต่เรียนได้ระยะหนึ่งก็ล้มเลิก
จึงทำให้เซี่ยงหยี่มีความรู้เรื่องพิชัยสงครามในความหมายกว้างๆ
แต่ไม่อาจเข้าใจถึงแก่นแท้ได้ทั้งหมด
ซึ่งการไม่ยอมเรียนรู้ในเรื่องต่างๆให้เข้าใจอย่างถ่องแท้
แต่กลับเอาแต่เพียงผิวเผิน
นับว่าเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาต้องประสบกับความล้มเหลวในบั้นปลาย
และต้องพ่ายแพ้ให้แก่เล่าปัง
ผู้มีพื้นเพมาจากชาวนาซึ่งไม่ได้มีโอกาสร่ำเรียนวิชาความรู้หรือการทหารอย่างจริงจังตั้งแต่วัยเยาว์เช่นเดียวกับเขา
แต่อาศัยการเรียนรู้สิ่งต่างๆที่ได้เผชิญในชีวิตอย่างไม่หยุดยั้ง
ขณะนั้นราชวงศ์ฉินซึ่งปกครองประเทศจีน
ได้ทำการกดขี่ประชาชนและสร้างความลำบากไว้มากมาย
บรรดาชาวนาซึ่งต้องถูกกดขี่มาตลอดนั้นจึงจับอาวุธลุกขึ้นเพื่อสู้กับราชวงศ์ฉิน
เซี่ยงหยี่ได้ร่วมกับอาของเขา เข้าร่วมกับกองทหารชาวนาเพื่อเข้าต่อสู้กับราชสำนัก
และได้สร้างผลงานการสู้รบเอาไว้มาก
สามารถทำศึกสู้รบแล้วชนะไปทั่วจนชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแผ่นดิน
ภายหลังเขาและเล่าปัง ได้ร่วมสาบานเป็นพี่น้องกัน ต่างฝ่ายก็สนับสนุนกันและสัญญาต่อกันว่า
หากใครสามารถนำกองทัพบุกเข้ายึดนครเสียนหยาง เมืองหลวงของราชวงศ์ฉินได้ก่อน
ผู้นั้นสถาปนาตนขึ้นเป็นอ๋องได้ ซึ่งฝ่ายเซี่ยงหยี่นับว่าได้เปรียบเหนือกว่ามาก
เพราะเขามีกำลังทหารมากเกินกว่า 4 แสนคน
ในขณะที่ฝ่ายเล่าปังเวลานั้นมีกำลังเพียงแสนคนเท่านั้น แต่เล่าปังได้อาศัยกลยุทธ์
และแสดงความเมตตาต่อประชาชนตามรายทาง ทหารของเล่าปังเข้าเมืองใดได้
ก็จะสั่งการอย่างเข้มงวดห้ามมิให้ปล้นชิงหรือสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน
ทำให้เมื่อทหารของเล่าปังเมื่อเข้าเมืองใดก็จะได้รับการสนับสนุน
และบรรดาหัวเมืองซึ่งขวางทางอยู่ก็ยินยอมเปิดประตูเมืองให้โดยไม่มีการต่อสู้
แต่เซี่ยงหยี่นั้นปราศจากคงามเมตตาและกลยุทธ์ที่ดี
ทหารของเขาปล้นชิงข้าวของจากประชาชน และข่มขืนหญิงสาว จากหัวเมืองที่เข้ายึดได้
จึงต้องพบการต่อต้าน และทำให้เล่าปังซึ่งมีกำลังน้อยกว่าสามารถที่จะบุกเข้าถึงนครเสียนหยางได้ก่อน
ฝ่ายเซี่ยงหยี่เมื่อนำกองทัพตามเข้ามาตั้งทัพอยู่ที่นอกเมืองบริเวณหงเหมิน
และมีความคิดจะสังหารเล่าปัง โดยมีฟ่านเจิง
เสนาบดีของเซี่ยงหยี่เป็นผู้วางแผนให้จัดงานเลี้ยงและเชิญเล่าปังมาร่วม
เพื่อหาโอกาสสังหารทิ้ง ในระหว่างงานเลี้ยงดำเนินไปนั้น เซี่ยงหยี่เกิดความลังเล
และหวนนึกถึงความเป็นพี่น้องที่ต่อกันกับเล่าปัง
จึงได้ทิ้งโอกาสและปล่อยให้เล่าปังเอาชีวิตรอดกลับไปได้
หลังจากนั้นเซี่ยงหยี่ก็เข้าสู่นครเสียนหยางและสถาปนาตนขึ้นเป็น ซีฉู่ป้าอ๋อง หรือ
ฉู่ป้าอ๋อง เป็นการขึ้นมาแทนที่ราชวงศ์ฉิน และควบคุมอำนาจปกครองทั้งหมด
เป็นการผิดสัญญาตามที่เคยให้ไว้กับเล่าปังแต่แรก
ซึ่งเขาก็ได้แต่งตั้งเล่าปังขึ้นเป็น ฮั่นอ๋อง
และให้เล่าปังไปครองเมืองฮั่นจงทางตะวันตก ซึ่งขณะนั้นถือว่าเป็นดินแดนทุรกันดาร
ซึ่งจางเหลียง กุนซือของเล่าปังเสนอให้เล่าปังยอมรับ เพื่อใช้โอกาสนี้ไปสะสมกำลังพลเตรียมกลับมาก่อการในวันหน้า
เล่าปังจึงจำใจยอมรับตำแหน่งและเดินทางไปครองเมืองฮั่นจง ระหว่างนั้น เซียวเหอ
กุนซืออีกคนของเล่าปังได้เสนอให้เล่าปังแต่งตั้งหานซิ่น อัจฉริยะทางการทหาร
แต่ขณะนั้นเป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อย ให้ขึ้นมารับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่
หลังจากได้หานซิ่นเป็นแม่ทัพใหญ่แล้ว กองทัพของเล่าปังก็แข็งแกร่งขึ้นมาก
สุดท้าย เล่าปังก็นำกองทัพออกจากฮั่นจงและทำศึกชิงแผ่นดินกับเซี่ยงหยี่
กองทัพฮั่นที่มีหานซิ่นเป็นแม่ทัพสามารถรบชนะกองทัพเซี่ยงหยี่ได้หลายครั้ง
จนในที่สุด เมื่อ 202 ก่อนค.ศ.
กองทัพของเซี่ยงหยี่ก็ถูกเล่าปังปิดล้อมไว้กายเซี่ย
ฝ่ายเซี่ยงหยี่ขณะนั้นแทบไม่เหลือคนข้างกายอีก เหตุเพราะเขาไม่ยอมเชื่อฟังผู้ใด
แล้วเอาแต่กระทำตามใจตน เขาตัดสินใจนำทหารม้า 800
นายตีฝ่าวงล้อมออกมา กองทัพของเล่าปังไล่ตามเซี่ยงหยี่มาจนถึงริมแม่น้ำหลูเจียง ซึ่งขณะนั้นหากเขาตัดสินใจขึ้นเรือข้ามแม่น้ำกลับไปยังถิ่นกำเนิดเดิมก็ยังกระทำได้
แต่เซี่ยงหยี่รู้สึกอับอายว่าตนเองไม่มีหน้ากลับไปสู้หน้าชาวฉู่ได้อีกแล้ว
สุดท้ายจึงยืนเชือดคอตายอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำนั่นเอง
เป็นอันปิดฉากตำนานของเทพนักรบผู้แม้ว่าจะพ่ายแพ้ และต้องจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถ
แต่บันทึกประวัติศาสตร์ก็ยังให้การยกย่องฝีมือการสู้รบของเขาและยังคงประทับฝังอยู่ในประวัติศาสตร์จีนจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งนับว่าไม่เป็นเรื่องง่ายเลยที่จะพบเช่นนั้น
สำหรับบุคคลที่เป็นผู้พ่ายแพ้ในการแย่งชิงอำนาจ
ทั้งหมดที่กล่าวมา จึงพบว่าลิโป้เองก็มีภาพของเซี่ยงหยี่ซ้อนทับอยู่หลายส่วน
ไม่ว่าจะความเป็นนักรบผู้เก่งกาจเหนือผู้อื่นในยุคสมัยเดียวกัน
จนเป็นที่กล่าวขานไปทั่วแผ่นดิน ขณะเดียวกันทั้งสองต่างก็มีนิสัยหยาบช้า
หยิ่งทระนง และขาดความเมตตาต่อผู้อื่นและประชาชน ฝ่ายเซี่ยงหยี่นั้นมีฟ่านเจิงเป็นกุนซือ
ฟ่านเจิงผู้นี้มีศักดิ์เป็นดั่งบิดาบุญธรรมของเซี่ยงหยี่
เขาเป็นนักปราชญ์ที่มีความรอบรู้และแผนอุบายมากมาย
แม้กระทั่งจางเหลียงยอดกุนซือของเล่าปังก็ยังให้ความเคารพและยำเกรงต่อฟ่านเจิงมาก
แต่เซี่ยงหยี่มักไม่ยอมเชื่อฟังคำแนะนำของฟ่านเจิงเท่าใดนัก
ซึ่งก็ส่งผลให้เขาต้องเสียประโยชน์และโอกาสสำคัญไปมากมาย
ครั้งสำคัญที่สุดคือการไม่ยอมทำตามแผนการของฟ่านเจิงในการกำจัดเล่าปังในงานเลี้ยงที่หงเหมิน
ซึ่งเรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่โด่งดังมากในประวัติศาสตร์
ทำให้เล่าปังสามารถเอาชีวิตรอดแล้วย้อนกลับมาเล่นงานเขาจนต้องประสบความปราชัยอย่างย่อยยับ
เป็นเหตุให้เขาต้องเชือดคอตายอย่างอนาถ ซึ่งก็เฉกเช่นเดียวกับลิโป้
ทั้งที่ลิโป้มีกุนซือที่มีความสามารถและมีความภักดีอย่างตันก๋ง
ซึ่งเป็นบุคคลที่กระทั่งโจโฉเองก็ให้ความเคารพนับถือและต้องการชวนมาทำงานด้วย
แต่เดิมลิโป้ก็ให้ความเชื่อถือและทำตามแผนการของตันก๋ง แต่ในช่วงท้าย
เขากลับไม่ยอมเชื่อฟังคำแนะนำของตันก๋งอีก
แล้วไปหลงเชื่อสองพ่อลูกตันกุ๋ยและตันเต๋ง ซึ่งเป็นไส้ศึกของโจโฉแทน
จึงส่งผลให้นำความวิบัติมาสู่ตนเอง
หากเปรียบเทียบจากเรื่องราวของลิโป้และเซี่ยงหยี่ จึงอาจกล่าวได้ว่านี่คือหนึ่งในสัจธรรมและวัฎจักรที่สามารถเห็นได้ไม่รู้จบในหน้าประวัติศาสตร์
แม้ว่าจะเป็นผู้มีความเก่งกล้าในการทำศึกมากจนได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพนักรบถึงเพียงใดก็ตาม
แต่การไร้ซึ่งคุณธรรม ความเมตตาต่อผู้คน
และไม่ยอมเชื่อฟังคำแนะนำของปราชญ์หรือผู้ที่หวังดีอย่างแท้จริงแล้ว
ก็จะนำหายนะมาสู่ตนเองในท้ายที่สุด
ลิโป้ในหงสาจอมราชันย์ การตีความด้วยมุมมองใหม่
“อมนุษย์แห่งสามก๊ก”
หากลองดูในสิ่งที่เฉินเหมาพยายามสื่อออกมาในการ์ตูนเรื่องหงสาจอมราชันย์
เราจะพบว่าแก่นหลักสำคัญข้อหนึ่งซึ่งทำให้เกิดการ์ตูนเรื่องนี้ขึ้นมาและสร้างชื่อเสียงจนโด่งดังในฐานะที่เป็นการ์ตูนเกี่ยวกับสามก๊กที่น่าจะเข้าขั้น
“ได้รับความนิยมมากที่สุดหลังยุค 2000” และน่าจะเป็นการ์ตูนเกี่ยวกับสามก๊กที่เขียนได้ดีที่สุดหลังจาก
ผลงานการ์ตูนภาพสามก๊กของ โยโกยาม่า มึตสึเทรุ ซึ่งผลงานนี้ถือว่าเป็นงานระดับมาสเตอร์พีซและสร้างชื่อเสียงมาตั้งแต่ปลายยุค
80 แล้วนั้น
สิ่งที่เฉินเหมาได้พยายามทำให้แตกต่างออกไปก็คือ “การตีความสามก๊กใหม่ด้วยมุมมองที่ฉีกแนวออกไปสุดขั้ว
แต่ยังอยู่บนพื้นฐานของมูลทางประวัติศาสตร์และหลักเหตุผล” และหนึ่งในการตีความสำคัญซึ่งเป็นจุดดึงความสนใจของผู้อ่านในเล่มแรกๆนั้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นคือการตีความลิโป้ด้วยมุมมองที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน
ลิโป้ภายใต้แนวคิดของเฉินเหมาและในเรื่องหงสาฯ
ไม่ใช่บุคคลที่ไร้สติปัญญาดังที่เข้าใจในนิยายสามก๊ก
ด้วยความที่ลิโป้มีภาพลักษณ์ของความเป็นขุนพลผู้กล้าที่มีฝีมือในเชิงยุทธ์สูงและพละกำลังมหาศาล
ซึ่งเราจะพบว่าในสามก๊กหรือจนถึงในประวัติศาสตร์จีนนั้น
มักจะกล่าวถึงขุนพลเหล่านี้ว่า เป็นพวกที่เอาแต่ใช้พละกำลังในการแก้ปัญหา
หรือใช้เพียงแต่ความกล้าหาญในการทำศึก จึงไร้ซึ่งสติปัญญาหรือความสามารถในด้านการวางกลอุบายหรือการใช้กลยุทธ์
ซึ่งเฉินเหมาได้ให้คำจำกัดความต่อขุนพลเหล่านี้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า
“ขุนพลบ้าบิ่นแต่ไร้ปัญญา”
เฉินเหมาได้ยกเหตุผลว่า ผู้ที่มีชื่อจารึกในประวัติศาสตร์นั้น
จะเป็นคนโง่เขลางั้นหรือ และแม่ทัพที่ต้องนำหน้าเหล่าทหารนับพันนับหมื่น
หากว่าเป็นผู้ด้อยปัญญาจริง
จะสามารถบัญชาเหล่าทหารให้สู้ศึกแล้วพบชัยชนะได้อย่างไร ด้วยเหตุผลนี้
เขาจึงถือว่าขุนพลที่นำทหารออกสู้ศึก ย่อมไม่มีคนโง่
แต่จะมีปัญญามากน้อยนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ลิโป้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพนักรบที่นำทัพออกศึกคว้าชัยชนะนับไม่ถ้วน
ไม่น่าจะเป็นคนโง่เขลาที่มีดีแต่เพียงพละกำลังเป็นแน่
และนั่นเป็นการตีความลิโป้ครั้งสำคัญที่ทำให้ฉีกออกไปจากการตีความทุกรูปแบบ
แต่อันที่จริงเหตุผลนี้ก็ใช่ว่าจะนำไปอธิบายต่อขุนพลคนอื่นในประวัติศาสตร์ได้
เพราะเป็นการตีขลุมหรือพยายามหาเหตุผลมาเข้าข้างลิโป้มากเกินไป
ในประวัติศาสตร์จีนนั้นมีขุนพลประเภทที่ใช้พละกำลังและความห้าวหาญในการทำศึก
แต่ไม่ได้มีสติปัญญาสูงถึงขนาดที่เฉินเหมาพยายามอ้างไว้หลายคน ดังเช่นฝานไคว่
ขุนพลคู่กายของพระเจ้าฮั่นโกโจเล่าปัง ซึ่งเป็นขุนพลที่มีพื้นเพมาจากชาวนา
ก็ไม่ได้มีสติปัญญาในการบัญชาการทหารมากมายนัก แต่อาศัยพละกำลัง ฝีมือในการสู้รบ
และความกล้าหาญที่ทำให้เหล่าทหารยอมติดตามเข้าสู้ศึก
ก็ทำให้เขาสามารถจารึกชื่อของตนไว้ในประวัติศาสตร์ได้ แต่สิ่งหนึ่งในตัวลิโป้ที่เฉินเหมาพยายามนำมาขยายออกให้เด่นชัด
และนับว่ามีความพ้องกับตัวตนของลิโป้ในประวัติศาสตร์และในนิยายด้วยเช่นกันก็คือความเป็นนายทหารที่มีความต้องการชิงอำนาจและมีความทะเยอทะยานอย่างสูง
ไม่ได้เป็นเพียงคนโง่เขลาที่กระทำการชิงอำนาจไปเพราะหลงเชื่อคำของคนอื่นอย่างอ้องอุ้น
หรือเพียงเพราะหลงใหลสตรีจนเป็นเหตุให้ต้องสังหารตั๋งโต๊ะ
ซึ่งนับว่าเรื่องนี้น่าสงสัยมาก
เพราะผู้ที่มีอำนาจทางทหารมากในขณะนั้นเช่นลิโป้
จะยอมทำลายตัวเองเพียงเพื่อสาวใช้แค่คนเดียวซึ่งเขาน่าจะหามาเมื่อใดก็ได้เช่นนั้นหรือ
ตราบใดที่ลิโป้ยังมีอำนาจอยู่ในมือและเป็นขุนพลสำคัญของตั๋งโต๊ะ
ดังนั้นด้วยข้อสันนิษฐานนี้
จึงเป็นไปได้ว่าความขัดแย้งที่ลิโป้เกิดขึ้นกับตั๋งโต๊ะ
จนเป็นเหตุให้เขายอมทำตามแผนการรัฐประหารของอ้องอุ้นนั้น
น่าจะมีมูลเหตุสำคัญในเรื่องของความทะยานอยากในอำนาจมากกว่า
ซึ่งความอยากในอำนาจไม่มีที่สิ้นสุดนี้เอง
คือสันดานที่อยู่ในตัวของนักการเมืองทุกยุคทุกสมัย
ลิโป้เองก็น่าจะจัดว่าเป็นนักการเมืองประเภทนี้ด้วย หรือไม่อีกนัยหนึ่งคือ
ลิโป้เริ่มมีใจเอนเอียงมาทางราชสำนักฮั่น
ด้วยความที่ตั๋งโต๊ะนั้นแสดงท่าทีคุกคามต่อราชสำนักชัดเจน
แต่ฝ่ายอ้องอุ้นนั้นเป็นขุนนางระดับสูงของราชวงศ์ฮั่น
การที่ลิโป้ลงมือสังหารตั๋งโต๊ะ
ก็เสมือนว่าเขามีฐานะเป็นดาบซึ่งเป็นเสมือนอาวุธตัวแทนของราชวงศ์ฮั่นไปในเวลาเดียวกันด้วย
ในเรื่องนี้อาจจะมีมูลที่ชัดเจนขึ้น หากว่าหลังจากสังหารตั๋งโต๊ะแล้ว
มีการจัดระเบียบในเมืองหลวงใหม่ โดยที่ลิโป้ได้รับตำแหน่งระดับสูงในราชสำนัก
แล้วทำหน้าที่ค้ำบัลลังก์ให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ต่อไป
แต่เนื่องจากถูกกองทัพของลิฉุยและกุยกีบุกเข้ามาและตีจนลิโป้พ่ายแพ้ไปก่อน
จึงไม่อาจรู้ได้แน่ชัดว่าก้าวถัดไปในหน้าประวัติศาสตร์หากว่าลิโป้สามารถควบคุมอำนาจกองทัพและสถานการณ์ในเมืองหลวงได้แล้ว
จะเป็นเช่นไรต่อไป ไม่แน่ว่าอาจเป็นที่เฉินเหมาพยายามหาเหตุเข้าข้างก็ได้
นั่นคือลิโป้จะกลายเป็นตัวแทนของฝ่ายธรรมะที่มาล้มล้างตั๋งโต๊ะซึ่งเป็นฝ่ายอธรรมไปเลย
แต่ในเมื่อไม่ได้เป็นเช่นนั้น ลิโป้จึงยังเป็นบุคคลที่พ้องกับคำว่า “อ้ายลูกสามพ่อ”
ซึ่งเป็นชื่อเสียงที่ต้องแบกรักในฐานะคนไร้คณธรรมและรู้จักเพียงการเนรคุณต่อผู้มีพระคุณต่อไป
นอกจากนี้ลิโป้ทั้งในประวัติศาสตร์และในนิยายนั้น
จะพบว่าเป็นนักรบหรือขุนพลที่สามารถผันตัวเองให้กลายเป็นมาเป็นผู้นำก๊กเล็กๆในยุคนั้นได้
หรืออีกนัยหนึ่งคือเป็นทหารที่ผันตัวเองเข้ามาเป็นนักการเมือง
เพื่อร่วมแย่งชิงอำนาจในแผ่นดิน
แต่ความล้มเหลวของลิโป้นั้นมิใช่สาเหตุมาจากความด้อยปัญญาเป็นหลัก
หากวิเคราะห์ให้ดีอาจจะพบว่ามันมาจากความละโมบในอำนาจและผลประโยชน์เฉพาะหน้ามากเกินไป
การไร้ซึ่งคุณธรรมและกระทำการเนรคุณต่อผู้มีพระคุณครั้งแล้วครั้งเล่าก็นับว่าเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ไม่มีใครยอมยื่นมือเข้าช่วยเหลืออีกในช่วงที่ชีวิตของเขาถึงคราวอับจน
อันที่จริงแล้ว
ผลงานการสังหารตั๋งโต๊ะของลิโป้นั้นนับว่าเป็นผลงานใหญ่ครั้งสำคัญ
ซึ่งเป็นการช่วยเหลือบ้านเมืองเอาไว้ ไม่ให้ต้องตกอยู่ในมือของจอมเผด็จการหรือทรราช
แต่ลิโป้กลับไม่ได้รับการสรรเสริญ ซ้ำยังถูกประณามเพิ่มเติม
ก็ด้วยเหตุที่ทุกคนรับรู้ว่า เขาไม่ได้ทำเพื่อส่วนรวมหรือเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง
หากเปรียบเทียบในภายหลังกับโจโฉซึ่งแม้ว่าจะทำการข่มขี่ฮ่องเต้
แต่ก็ยังสร้างความสงบและฟื้นฟูดินแดนที่เขาปกครองให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองได้
ฝ่ายลิโป้ไม่ได้มีเรื่องเหล่านี้ที่ชัดเจนแต่ประการใด
หรือหากเปรียบเทียบกับเล่าปี่ซึ่งก็ไม่ได้ทำเรื่องเหล่านี้ให้ประชาชนมากนัก
แต่อย่างน้อยเล่าปี่ก็สามารถรู้จักที่จะเอาชนะใจประชาชนในเมืองที่เขาไปอาศัยอยู่ได้
แม้ว่าลิโป้จะมีฝีมือการทำศึกที่เข็งแกร่ง
บรรดาขุนศึกต่างก็อยากไดตัวเขาไปร่วมงาน แต่ก็ไม่มีใครกล้า
เหตุเพราะเขาควบคุมยากเกินไป เป็นอันตรายและมีความเป็นสัตว์ป่ามากเกินไป
โจโฉได้เคยกล่าววิจารณ์ลิโป้ให้ตันเต๋งฟังเมื่อครั้งที่ตันเต๋งไปเจรจากับโจโฉว่า
ลิโป้เปรียบเสมือนเหยี่ยว ซึ่งการจะเลี้ยงนั้นไม่อาจใช้เพียงทรัพย์สินเงินทอง
หรือลาภยศได้ เพราะเหยี่ยวนั้นชอบการล่า มันต้องการศัตรูที่เข้มแข็ง
ดังนั้นการจะเลี้ยงมันจึงต้องให้มันต่อสู้กับศัตรูเหล่านั้น
ลิโป้ได้ฟังที่ตันเต๋งนำคำของโจโฉมากล่าวให้ฟังก็หัวเราะชอบใจ แสดงว่าเขาเองก็ยอมรับและเห็นด้วย
ว่าตนนั้นมีสันชาตญาณของความเป็นสัตว์ป่า ซึ่งต้องการต่อสู้ไม่รู้จบ
การที่เฉินเหมายกคำว่า “อมนุษย์” มาให้แก่ลิโป้ในเรื่องหงสาฯนั้น
จึงนับว่าเข้าทีนัก เพราะสันดานในตนเองของลิโป้
ความเป็นบุคคลที่อันตรายยากแก่การควบคุมและไม่อาจใช้หลักเหตุผลหรือคุณธรรมในยุคสมัยนั้นมากำกับ
แม้ว่าจะทำดีด้วยเพียงใด เขาก็พร้อมจะแว้งกัดได้ทุกคน
นอกจากนี้เฉินเหมายังขยายเหตุการณ์ในวาระสุดท้ายของลิโป้
ซึ่งถูกบันทึกไว้ชัดเจนทั้งจดหมายเหตุสามก๊กในนิยายสามก๊กว่าเขามีความรักตัวกลัวตายจนต้องร้องขอชีวิตต่อโจโฉ
และยังพยายามขอให้เล่าปี่ช่วยพูดให้ แต่เมื่อเล่าปี่ยุให้โจโฉรีบประหารเขาทิ้ง
เขาก็ด่าทอเล่าปี่
จนเตียวเลี้ยวซึ่งถูกจบตัวมาเหมือนกันต้องร้องด่าลิโป้ว่าเป็นชายชาตรีจะกลัวตายไปทำไม
จากเหตุการณ์นี้ได้ทำให้ภาพพจน์ของลิโป้ในเรื่องสามก๊กยิ่งเลวร้ายลงไปอีก
เพราะแทนที่เขาจะยอมรับความตายด้วยความห้าวหาญให้สมกับชื่อเสียงของนักรบที่แข็งแกร่งที่สุด
เขากลับร้องขอชีวิตอย่างน่าสมเพช ซึ่งสุดท้ายแล้วโจโฉก็สั่งประหาร
แต่ในขณะที่เตียวเลี้ยวด่าทอโจโฉแม้ว่าจะถูกจับกุมตัวไว้ โจโฉกลับยอมละเว้นชีวิต
เฉินเหมาพยายามแก้ต่างเกี่ยวกับการร้องขอชีวิตของลิโป้ในวาระสุดท้ายว่าแท้จริงแล้ว
นี่ไม่ใช่การแสดงความขี้ขลาดแต่อย่างใด
หากแต่เป็นหนึ่งในกลยุทธ์เพื่อการเอาชีวิตรอดซึ่งลิโป้เลือกที่จะยอมแลกกับศักดิ์ศรีของตนเอง
โดยนำเอาแนวคิดที่ว่า “การมีชีวิตอยู่ต่อย่อมสามารถกระทำเรื่องที่มีค่าได้อีกมาก”
ซึ่งตัวอย่างสำคัญที่แสดงแนวคิดนี้ออกมาเป็นรูปธรรมในประวัติศาสตร์จีนก็คือเรื่องราวของบุรุษสองคน
นั่นคือ โกวเจี้ยน และ หานซิ่น
โกวเจี้ยน คืออ๋องแห่งแคว้นเยว์ หนึ่งในเจ็ดแคว้นยุคชุนชิว
ซึ่งต้องพบความพ่ายแพ้ในการทำศึกกับฟูไซ อ๋องแห่งแคว้นอู๋
ซึ่งเป็นแคว้นที่ซุนหวู่เคยรับราชการเป็นแม่ทัพใหญ่
โกวเจี้ยนถูกฟูไซจับเป็นตัวประกันไปยังแคว้นอู๋ โกวเจี้ยนพยายามทำทุกวิถีทาง
เพื่อทำให้ฟูไซตายใจและไว้ใจตน จนกระทั่งถูกปล่อยตัวกลับไปแคว้นเย่ว์
เมื่อโกวเจี้ยนกลับไปแล้ว ก็เก็บเอาความแค้นที่ถูกกระทำตอนเป็นเชลยที่แคว้นอู๋เอาไว้
เตรียมเอาคืน และเพื่อไม่ให้ลืมความแค้นที่ได้รับ
โกวเจี้ยนจึงนอนบนที่นอนด้วยกองฟืน และชิมดีขมก่อนนอนทุกคืน
ระหว่างนั้นเขาได้อาศัยแผนการของที่ปรึกษาฟ่านลี่
ส่งหญิงงามนามว่าไซซีไปล่อลวงฟูไซ เพื่อให้ลุ่มหลงจนมัวเมาและละเลยการบริหารบ้านเมือง
โกวเจี้ยนคอยฟังข่าวคราวและใช้เวลานับ 10
ปีระหว่างนั้นในการสะสมกำลังพลเพื่อเตรียมแก้แค้น
เมื่อทราบข่าวแน่ชัดแล้วว่าฟูไซลงใหลไซซีจนไม่สนใจบ้านเมือง
เขาก็ยกกองทัพใหญ่บุกไปแคว้นอู๋ จากนั้นทำศึกจนชนะ
แล้วบีบให้ฟูไซต้องฆ่าตัวตายได้สำเร็จ แคว้นอู๋ก็สิ้นชื่อนับแต่นั้น
เรื่องราวของโกวเจี้ยนนี่เองที่น่าจะเป็นต้นกำเนิดของคำพังเพยที่ว่า “ลูกผู้ชายแก้แค้น
10 ปีก็ยังมิสายเกินไป”
ส่วนหานซิ่นนั้น คือแม่ทัพใหญ่ผู้ช่วยเหลือเล่าปังสถาปนาราชวงศ์ฮั่น
โดยเป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญที่สุดในการนำทัพออกศึกให้กองทัพของเล่าปัง
สามารถทำศึกเอาชนะทัพของเซี่ยงหยี่ที่มีจำนวนมากกว่า แล้วแย่งชิงแผ่นดินมาได้
ด้วยเหตุนี้ ความสำคัญของหานซิ่นนั้นมีมากถึงขั้นที่หากขาดหานซิ่นไปแม้สักคน
เล่าปังก็อาจไม่พบความสำเร็จจนสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งฮ่องเต้ได้เลย
ประวัติศาสตร์พงศาวดารจีนยุคไซ่ฮั่นนั้นบันทึกว่า
แม้เล่าปังจะไม่พอใจต่อพฤติกรรมของหานซิ่นที่เรียกร้องตำแหน่งฉีอ๋อง
และดินแดนที่เคยเป็นของแคว้นฉี
ซึ่งเล่าปังมองว่าเป็นการเรียกร้องรางวัลมากเกินไปในช่วงที่ใกล้จะได้แผ่นดินมาครอง
แต่เล่าปังก็ยังต้องยอมรับในความสามารถของหานซิ่น
เมื่อครั้งที่เล่าปังจะแจกจ่ายรางวัลให้บรรดาขุนนางและขุนพลที่ร่วมทำศึกกันมาจนกระทั่งสามารถรวมแผ่นดินได้นั้น
เขากล่าวยกย่องหานซิ่นว่า “ด้านการนำกองทัพเข้าสู้ศึก
เขาเทียบหานซิ่นไม่ได้” ซึ่งในประวัติศาสตร์จีน
ได้ยกย่องหานซิ่นให้เป็น 1 ใน 3
วีรบุรุษของราชวงศ์ฮั่นตะวันตก
แต่กว่าหานซิ่นจะก้าวเข้ามาเป็นแม่ทัพใหญ่
ช่วยเหลือเล่าปังนำกองทหารเข้าชิงแผ่นดินนั้น
เขาเป็นบุคคลที่ต้องเผชิญกับความอัปยศและโดนดูถูกเหยียดหยามมาตลอด
เนื่องจากในวัยหนุ่มเขาเคยต้องลอดมุดใต้ระหว่างขาของผู้อื่นมาก่อน
ซึ่งหานซิ่นต้องทำเช่นนั้นก็เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะถูกคนเหล่านั้นรุมทำร้าย
แต่นั่นก็ทำให้เขาถูกประจานและดูถูกว่าไม่มีศักดิ์ศรีของความเป็นชายชาติทหาร
แต่สุดท้ายเซียวเหอก็เป็นผู้ที่มองเห็นถึงอัจฉริยภาพด้านการทหารที่อยู่ในตัวหานซิ่น
จึงพยายามสนับสนุนให้เขาต่อเล่าปังอย่างแข็งขัน แม้ว่าตอนแรกเล่าปังก็ไม่เห็นด้วย
แต่สุดท้ายหลังจากได้สนทนากับหานซิ่น
จึงตัดสินใจแต่งตั้งเขาเป็นแม่ทัพใหญ่ท่ามกลางความประหลาดใจของเหล่าขุนพลและนายทหารทั้งหมด
ซึ่งผลลัพธ์ของการตัดสินใจครั้งนี้ก็ทำให้เล่าปังสามารถทำศึกชนะเซี่ยงหยี่และชิงแผ่นดินมาได้
ด้วยเรื่องราวของโกวเจี้ยน และ หานซิ่น ดังที่กล่าวมา
จุดร่วมที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองก็คือ การยอมอดทนสะสมความแค้นและอัปยศเอาไว้
เพื่อรอคอวันที่จะ “เอาคืน” ซึ่งทั้งคู่สามารถทำได้สำเร็จ
หากว่าพวกเขาปล่อยให้อารมณ์หรือทิฐิในเรื่องศักด์ศรีเข้าครอบงำในทีแรก ชีวิตของพวกเขาก็อาจจะจบสิ้นไปแล้ว
ไม่สามารถอยู่รอดจนถึงวันที่ได้เอาคืนหรือสร้างผลงานยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ได้แน่นอน
ซึ่งด้วยแนวคิดเช่นนี้เองที่กลายมาเป็นสิ่งที่เฉินเหมานำมาใช้อธิบายต่อการร้องขอชีวิตของลิโป้ในเรื่องหงสาฯ
แต่แน่นอนว่านี่เป็นแนวคิดในอีกมุมมองของเฉินเหมาที่มีต่อลิโป้
ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์นั้นจะเป็นดังที่เฉินเหมาคิดหรือไม่นั้น
ย่อมไม่อาจพบคำตอบได้
ถึงอย่างนั้น การตีความด้วยมุมมองใหม่ที่ฉีกออกไปจากเดิมนี้
ก็น่าจะทำให้ภาพพจน์ใหม่ของลิโป้เกิดการเปลี่ยนแปลงไม่น้อย
และแม้แต่ในละครโทรทัศน์สามก๊กปีค.ศ.2010 เอง
ก็มีการสร้างให้ลิโป้มีลักษณะของคนที่มีความเจ้าเล่ห์และละโมบในอำนาจที่เด่นชัดขึ้น
มากกว่าการตีความแบบเดิมที่เป็นคนโง่เขลาและสนใจแต่ประโยชน์เฉพาะหน้าเพียงอย่างเดียว
โดยไร้ซึ่งสติปัญญาสำหรับคิดการใหญ่ใดๆเลย
Source : https://my.dek-d.com/eagle/writer/viewlongc.php?id=10590&chapter=3
No comments:
Post a Comment