เอียวสิ้ว เต๋อจื๋อ (หยางซิว)
“อัจฉริยะผู้สิ้นชีพเพราะอวดรู้”
จากจดหมายเหตุชีวประวัติเอียวสิ้ว โดยเฉินโซ่ว
(Biography of Yang Xiu)
เอียวสิ้ว หรือ หยางซิว (Yang Xiu) ชื่อรอง
เต๋อจื๋อ (Dezu) เกิดปีค.ศ.175 เป็นชาวหัวอิน เมืองหงหนง
มณฑลซ่านซี เอียวสิ้วเป็นบุตรชายของเอียวปิว ขุนนางในราชสำนักฮั่น
ปู่คือเอียวซือซึ่งเป็นอดีตขุนนางใหญ่ มารดาของเขายังมีศักดิ์เป็นพี่สาวของอ้วนสุด
สถานะของเอียวสิ้วแต่เดิมจึงนับว่าเป็นญาติของขุนนางตระกูลใหญ่ในปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก
และสกุลเอียวก็ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งสกุลขุนนางใหญ่ที่มีความภักดีต่อราชสำนักฮัน่อย่างสูงสุดมานานถึงสี่รุ่น
เอียวสิ้วมีรูปลักษณ์โดดเด่น คิ้วเรียก ตาเล็ก
ใบหน้าเกลี้ยงเกลา มีไหวพริบและสติปัญญาเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่วัยเยาว์
เมื่อราชสำนักฮั่นโดนตั๋งโต๊ะยึดครอง
สกุลเอียวได้หลบหนีออกจากนครหลวงและมาขอพึ่งพิงอ้วนสุด
ภายหลังเมื่ออ้วนสุดตั้งตนขึ้นเป็นฮ่องเต้
สกุลเอียวจึงได้ต่อต้านแล้วแยกตัวออกมาอีก
จากนั้นเอียวสิ้วจึงได้มารับราชการอยู่กับโจโฉรับราชการอยู่กับโจโฉ
โดยทำงานอยู่ในสำนักราชเลขาธิการ อยู่ใต้สังกัดของซุนฮก
ต่อมาจึงได้ทำงานในสำนักสมุห์บัญชี
จากนั้น
เอียวสิ้วได้คบหาเป็นสหายและที่ปรึกษาให้กับโจสิด บุตรชายคนที่สี่ของโจโฉ
ซึ่งโจสิดได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ในด้านการแต่งบทกวี
เอียวสิ้วเป็นผู้มีความสามารถทั้งด้านการทหารและการเมือง
รอบรู้พิชัยสงครามและมีไหวพริบปฏิภาณเป็นเยี่ยม
โจโฉจึงมอบหมายให้เอียวสิ้วทำงานเป็นกุนซือในกองทัพและในราชสำนัก
เอียวสิ้วเป็นผู้ที่มีความเข้าใจความคิดอ่านของโจโฉมาก
ความคิดอ่านของเขามีอิทธิพลต่อการปกครองบ้านเมืองไม่น้อย เนื่องจากเอียวสิ้วมีความสนิทสนมกับโจสิด
เขาจึงช่วยเหลือเป็นกุนซือให้คำแนะนำกับโจสิดในการแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทกับโจผี
มีเกร็ดประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องของเอียวสิ้วที่ส่วนมากแล้วจะเป็นเรื่องเล่าที่แสดงถึงความเจ้าปัญญาและรู้ความคิดของโจโฉมากจนเกินไป
จึงทำให้โจโฉสะสมความไม่พอใจอยู่ลึกๆ
ครั้งหนึ่ง
มีคนงานของโจโฉได้ตัดสร้างประตูที่สวนขึ้น เมื่อโจโฉมาถึง
เขาไม่ได้กล่าวอะไรกับคนงาน เพียงแต่เขียนอักษรที่มีความหมายว่าชีวิตไว้บนประตู
ไม่มีใครเข้าใจว่าโจโฉต้องการสื่ออะไร ยกเว้นเอียวสิ้ว
เขาได้อธิบายให้คนอื่นฟังว่า ตัวอักษรที่หมายถึงประตูนั้น
หากนำตัวอักษรชีวิตใส่เข้าไปในตัวอักษรที่หมายความว่าประตูแล้ว
ก็จะได้ความหมายใหม่คือ “กว้าง” โจโฉต้องการบอกใบ้ว่า
ประตูนั้นสร้างมากว้างเกินไป คนงานได้ฟังแล้วจึงปรับแก้ขนาดของประตู
เมื่อโจโฉทราบว่าเอียวสิ้นเป็นเพียงผู้เดียวที่เข้าใจความหมายของสิ่งที่เขาบอกใบ้
จึงรู้สึกตื่นเต้นกับพรสวรรค์ของเอียวสิ้วมาก
ครั้งหนึ่ง
ชนเผ่านอกด่านได้ส่งขนมใส่ในกล่องมอบให้โจโฉเป็นของบรรณาการ
โจโฉจึงเขียนอักษรไว้บนกล่องนั้นว่า “ขนมกล่องหนึ่ง” แล้ววางไว้
เมื่อเอียวสิ้วมาเห็น จึงบอกให้คนนำขนมนี้ไปแจกให้คนอื่นๆกินกันคนละชิ้น
โจโฉจึงถามเอียวสิ้วว่าเพราะเหตุใดจึงทำเช่นนั้น เอียวสิ้วตอบกลับว่า “นายท่านเขียนตัวอักษรที่มีความหมายว่า
ขนมสำหรับหนึ่งคนหนึ่งคำ แล้วพวกเราจะขัดคำสั่งนายท่านได้อย่างไร” นั่นเพราะคำที่โจโฉเขียนไว้บนกล่องสามารถแยกออกแล้วแปลความหมายได้ตามนั้น
โจโฉจึงเริ่มไม่พอใจเอียวสิ้วที่รู้มากเกินไปนับแต่นั้น
เอียวสิ้วได้ช่วยให้คำแนะนำแก่โจสิดในการแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทกับโจผี
เพราะเดิมทีแล้วโจผีมิใช่บุตรชายคนโต
แต่เนื่องจากโจงั่งบุตรคนโตของโจโฉได้เสียชีวิตไปแล้วในศึกที่อ้วนเสีย
ทำให้ตำแหน่งทายาทที่จะรับสืบทอดอำนาจยังไม่ได้มีการแต่งตั้งแน่นอน
อีกทั้งโจโฉก็แสดงออกชัดเจนว่ามีความชื่นชอบและรักใคร่โจสิดมากกว่า
เพราะโจสิดได้แสดงว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ในด้านการแต่งบทกวีมาตั้งแต่วัยเยาว์
แม้ว่าโจผีเองก็มีความชื่นชอบในด้านบทกวีและวรรณกรรมเช่นกัน แต่ก็ยังมิอาจเทียบเคียงกับโจสิดในด้านนี้ได้
โจผีได้กาเซี่ยงและสุมาอี้เป็นผู้ให้คำแนะนำให้การประพฤติตัวให้เหมาะสมกับการชิงตำแหน่งรัชทายาท
แต่เอียวสิ้วกลับไม่สามารถแนะนำให้โจสิดประพฤติตัวให้เหมาะสมได้
โจโฉมีความคิดจะตั้งแต่รัชทายาทผู้สืบทอดอำนาจของตนตามความสามารถมากกว่าจะถืออาวุโสตามธรรมเนียมดั้งเดิม
แต่ก็ลังเลใจ เพราะแม้ว่าโจสิดจะมีพรสวรรค์ แต่ก็ขาดวินัยในการดื่มสุรา
ชอบใช้ชีวิตเสเพล ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ดีพอ
ปีค.ศ.219
เอียวสิ้วได้อาศัยสายสัมพันธ์กับเครือข่ายขุนนางในนครเย่
สนับสนุนให้โจสิดชิงตำแหน่งจากโจผีมาให้ได้ ระหว่างนั้น
โจสิดมีความประพฤติตนไม่ดีนัก ดื่มสุราเมามาย และก่อเรื่องขึ้นที่นครเย่
เขาเดินทางผ่านเข้าประตูที่จัดไว้เฉพาะองค์ฮ่องเต้เท่านั้น
แต่ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เอียวสิ้วโดนโจโฉกำจัดก็คือเมื่อโจโฉทราบว่าเอียวสิ้วเป็นผู้อยู่เบื้องหลังสำคัญในการแนะนำให้โจสิดสร้างความประทับใจให้โจโฉเพื่อชิงตำแหน่งรัชทายาท
อีกทั้งโจโฉรำลึกได้ว่าเอียวสิ้วมีสายสัมพันธ์เป็นบุตรของพี่สาวอ้วนสุด
ดังนั้นจึงหาเหตุจับผิดเอียวสิ้วเพื่อสั่งประหารชีวิตในที่สุด
หลังจากประหารเอียวสิ้วแล้ว
โจโฉได้ส่งสารแสดงความเสียใจไปถึงเอียวปิวผู้เป็นบิดาซึ่งเวลานั้นได้ลาออกจากราชการแล้ว
แต่เอียวปิวก็ไม่ยอมรับความสงสารนั้นแล้วไม่ได้แสดงความโศกเศร้าออกมาแต่อย่างใด
อธิบายเสริม
มีการวิเคราะห์หาสาเหตุความตายของเอียวสิ้วไว้หลายแง่มุมว่า
บางทีเหตุที่เอียวสิ้วโดนประหารชีวิตนั้น แท้จริงแล้วอาจเป็นเรื่องที่ “หลีกเลี่ยงไม่ได้”
ซึ่งสาเหตุแท้จริงอาจจะไม่ใช่เพราะเรื่องความที่เขาเป็นคนรู้มาก
หรือแสดงความโอ้อวดว่าตนล่วงรู้ความคิดของโจโฉมากเกินไปแล้วทำให้โจโฉชิงชังเท่านั้น
แต่สาเหตุหลักอาจเป็นเรื่องอื่นที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า
ซึ่งหากวิเคราะห์ในทางประวัติศาสตร์แล้ว เรื่องราวการแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทระหว่างโจผีและโจสิดอาจเป็นชนวนเป็นหลักของเรื่องนี้
แล้วเอียวสิ้วก็กลายเป็นเพียงตัวหมากหนึ่งในนั้น
แล้วอีกสาเหตุก็อาจเป็นเพราะความเป็นมาของตัวเอียวสิ้วเองในฐานะที่เขาเป็นญาติสนิทใกล้ชิดกับอ้วนสุดมาก่อน
ในบรรดาทายาทคนสำคัญของโจโฉ
ผู้ที่คิดแย่งชิงตำแหน่งทายาทกับโจผีมีเพียงแค่โจสิดเท่านั้น
แล้วในจดหมายเหตุบทชีวประวัติของโจสิดก็มีบันทึกว่า “โจโฉเกรงว่าหากตนสิ้นชีพแล้วจะบังเกิดความเปลี่ยงแปลงครั้งใหญ่
เอียวสิ้วนั้นมีสติปัญญาและเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายมาก แล้วยังมีศักดิ์เป็นบุตรชายของพี่สาวอ้วนสุด
หากปล่อยไว้จะเป็นภัย จึงสั่งประหารชีวิต”
ทำไมการเป็นญาติกับอ้วนสุดจึงทำให้เอียวสิ้วต้องสิ้นชื่อ
สาเหตุนั้นอาจเพราะตระกูลอ้วนนั้นยังคงมีสายสัมพันธ์อยู่ในราชสำนักฮั่น
แล้วหลังจากศึกกัวต๋อจบลง ขุนนางและนายทหารจำนวนมากของอ้วนเสี้ยวได้มาสวามิภักดิ์อยู่กับโจโฉ
คนเหล่านี้มีไม่น้อยที่มีตำแหน่งสูงส่ง
ก่อนหน้านี้โจโฉเพิ่งจะประหารซุยเอี๋ยนที่เป็นอดีตขุนนางของอ้วนเสี้ยวและเป็นขุนนางที่มีบารมีมาก
นี่ย่อมแสดงให้เห็นถึงภัยที่อยู่ภายในของวุยก๊กเองซึ่งยากจะกำจัดทิ้งได้หมด
โจสิดได้รับการสนับสนุนจากเหล่าบัณฑิตลัทธิหยูและอดีตขุนนางที่เคยรับใช้ตระกูลอ้วน
ซึ่งเรื่องนี้มิใช่เหตุบังเอิญ
เนื่องจากโจสิดคบหาสนิทสนมกับบัณฑิตและขุนนางเหล่านี้อยู่มาก
หากว่าโจสิดได้ขึ้นเป็นรัชทายาทจริง
อาจจะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวุยก๊กก็เป็นได้
อีกทั้งเอียวสิ้วเองก็เป็นทายาทขุนนางราชสำนักที่ยึดมั่นในขนบขงจื๊อ
ตระกูลเอียวหลายชั่วรุ่นของเขายึดถือหัวใจสำคัญในตำราโอวหยางซ่างซู ที่ว่าด้วย
สี่รู้ สามไม่มัวเมา เป็นหลักประพฤติตนอย่างแข็งขัน
คนตระกูลเอียวยึดถือหลักของขุนนางแห่งราชสำนักฮั่นเรื่อยมาโดยมิได้เสื่อมโทรมลงตามกระแสของยุคสมัย
เมื่อรวมกับสติปัญญาไหวพริบของเอียวสิ้วเช่นนี้
หากวันหน้าโจสิดได้ขึ้นเป็นรัชทายาทจริง
เอียวสิ้วก็มีโอกาสจะเป็นขุนนางผู้ใหญ่หรือมหาเสนาบดีผู้มีอำนาจปกครองบ้านเมือง
บรรดาเครือญาติและเครือข่ายมิตรสหายของเขาก็จะมีอำนาจไปด้วย
ดังนั้นสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นคือ การกลับมามีอำนาจอีกครั้งของเครือข่ายขุนนางในตระกูลอ้วน
หากยึดถือบันทึกในจดหมายเหตุเป็นหลักแล้ว นี่ย่อมเป็นสิ่งที่โจโฉหวาดระแวงมาก
แต่แม้ว่าเอียวสิ้วจะมีคุณสมบัติพร้อมทั้งชาติตระกูลและความสามารถถึงเพียงนี้
เขากลับค่อนข้างไร้เดียงสาทางการเมือง และยังไร้ประมุขศิลป์ในการอยู่กับเจ้านายขี้ระแวงแบบโจโฉ
ดังนั้นเมื่อโจโฉสามารถหาเหตุกำจัดเอียวสิ้วได้แล้ว ก็จะต้องกำจัดทิ้งทันที
บทเรียนของเอียวสิ้วนี้นับว่าเป็นเรื่องแตกต่างกับสุมาอี้ที่มีคุณสมบัติหลายประการคล้ายคลึงกัน
แต่สุมาอี้รู้จักระแวดระวังตนเองอยู่ตลอด ไม่แสดงตนออกนอกหน้าเกินไป
จึงเอาตัวรอดต่อมาได้
สรุปข้อแตกต่างเรื่องราวของเอียวสิ้ว
ระหว่างจดหมายเหตุและนิยาย
1.ในนิยายสามก๊กได้เสริมสร้างเรื่องราวการตายของเอียวสิ้วให้มีสีสันมากขึ้น
โดยเล่าว่าโจโฉบัญชาการทัพใหญ่ไปทำศึกกับเล่าปี่ที่ฮั่นจง
แต่หลังจากทำศึกแล้วก็พบว่ายากจะชิงฮั่นจงกลับมาได้ จึงมีความคิดจะถอยทัพกลับ
ระหว่างนั้นได้เขาขานรหัสลับกับทหารเฝ้ายามยามวิกาลว่าซี่โครงไก่
เอียวสิ้วเป็นกุนซือติดตามในกองทัพไปด้วย
เมื่อแฮหัวตุ้นมาถามรหัสจากทหารยามแล้วได้ความว่าซี่โครงไก่
เอียวสิ้วจึงอธิบายให้แฮหัวตุ้นทราบว่าโจโฉมีเจตนาที่จะถอยทัพกลับ
เพราะซี่โครงไก่นั้นมีความนัยเปรียบเทียบกับการทำศึกชิงฮั่นจงว่าแย่งชิงมาได้ยาก
แต่ก็กินไม่ได้เหมือนกับซี่โครงไก่ แฮหัวตุ้นจึงเตรียมจะถอนทัพกลับ
เมื่อโจโฉทราบเรื่องก็โกรธมาก จึงสั่งประหารชีวิตเอียวสิ้วในที่สุด
2.ในนิยายสามก๊กได้แต่งเสริมเรื่องราวที่โจโฉสั่งประหารเอียวสิ้วเพราะรหัสลับเรื่องซี่โครงไก่
สาเหตุอาจเพราะเพื่อต้องการทำให้เรื่องราวมีสีสันมากยิ่งขึ้น
แต่นั่นก็ทำให้เรื่องที่โจโฉสั่งประหารชีวิตเอียวสิ้วนั้นแลดูมาจากการอารมณ์เพียงชั่ววูบของโจโฉมากกว่าจะเป็นความตั้งใจแต่ทีแรก
แต่ในประวัติศาสตร์นั้น หากวิเคราะห์แล้วสาเหตุที่เอียวสิ้วต้องถึงแก่ความตาย
ออกจะเป็นเพราะผลกระทบที่มาจากการแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทระหว่างโจผีและโจสิดเสียมากกว่า
ดังนั้นเอียวสิ้วจึงต้องจบชีวิตลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
Credite : https://my.dek-d.com/sirpass/story/viewlongc.php?id=10590&chapter=10
No comments:
Post a Comment