"เล่าปี่"
ผู้สืบเชื้อสายจาก "ตงสานเชงอ๋อง" มีศักดิ์เป็นอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้
แต่ด้วยชะตากรรมทำให้ต้องตกยากกลายมาเป็นคนทอเสื่อขาย ซึ่งคำว่า
"คนทอเสื่อขาย" นี้เองที่ถูกผู้อื่นนำมาดูหมิ่นเหยียดหยามนานา
ว่าเป็นแค่ผู้ดีตกยากแล้วจะเป็นใหญ่ได้อย่างไร
เล่าปี่ได้ร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับกวนอูและเตียวหุย โดยเล่าปี่เป็นพี่ใหญ่
กวนอูเป็นน้องรอง ส่วนเตียวหุยเป็นน้องเล็ก ตัวเล่าปี่เองมีภรรยาสองคน
คือนางกำฮูหยินและนางบิฮูหยิน ที่ปรึกษาส่วนตัวในช่วงเริ่มตั้งตัวของเล่าปี่ประกอบด้วยซุนเขียน
บิต๊ก (พี่ชายของนางบิฮูหยิน) และกันหยง
โดยทั้งหมดล้วนเป็นคนใกล้ชิดและเครือญาติของเล่าปี่เองทั้งสิ้น
หรืออาจจะกล่าวได้ว่ากิจการของเล่าปี่นั้นเป็นธุริกิจแบบครอบครัว 100% มีน้องชายสองคนเป็นคนช่วยบริหาร
มีพี่ชายของภรรยาและญาติเป็นคนช่วยดูแลจัดการกองทัพ
ซึ่งตัวเล่าปี่เองก็เชื่อมั่นในฝีมือเครือญาติเหล่านี้มาตลอดตั้งแต่เริ่มตั้งตัวตอนอายุ
24 ปี จนอายุ 48
ปีก็ยังไม่ค่อยเห็นความคืบหน้าเท่าใดนัก มีเมืองครองบ้าง
แต่บางครั้งก็แทบไม่มีแผ่นดินจะอยู่ มีบ้าง อดบ้าง
ล้มลุกคลุกคลานมาตลอดยี่สิบกว่าปี จนกระทั่งได้มาพบกับสุมาเต๊กโชที่ได้ชี้ทางสว่างในเชิงนโยบายให้กิจการของเล่าปี่
โดยทำให้เล่าปี่รู้ว่าทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่นั้นยังไม่มีความสามารถพอ
จำเป็นต้องหาคนที่มาคอยกำหนดนโยนายและช่วยจัดการกิจการต่างๆ
เพื่อทำให้องค์กรเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
จนได้มาพบกับขงเบ้งเล่าปี่จึงได้รู้ถึงจุดอ่อน-จุดแข็งของตนที่ไม่เคยรู้ตัวเลยมาตลอดยี่สิบกว่าปี
จากกิจการระบบครอบครัว ก็เปลี่ยนมาเป็นการบริหารแบบสากลมากขึ้น มีขงเบ้งเป็น CEO
(Chief Executive Ofiicer) มีการหาคนมีความรู้ทั้งในด้านบุ๋นและบู๊เข้ามาในกองทัพเพื่อเพิ่มศักยภาพในการขับเคลื่อนองค์กร
เช่น บังทอง ม้าเลี้ยง ม้าเจ๊ก ขับเจ้ง อุยเอี๋ยน เงียมหงัน ฮองตง ม้าเฉียวเป็นต้น
ซึ่งทั้งหมดล้วนแต่เป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถทั้งสิ้น
จนเล่าปี่เองสามารถตั้งตนเป็นเจ้าครองดินแดนเสฉวนได้สำเร็จเมื่ออายุ 60 ปี
สุมาเต๊กโชชี้หนทางในการเป็นใหญ่ให้เล่าปี่
(ที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=7r03KX_e_d0)
ตลอดชีวิตของเล่าปี่ พ่ายศึกมานับครั้งไม่ถ้วน
ตกอับจนไม่รู้จะตกไปไหนได้อีกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
แต่ด้วยความเป็นจอมคนของเล่าปี่
ทำให้เขาสามารถครองใจผู้มีฝีมือความสามารถไว้กับเขาได้ ไม่ว่าจะเป็น ขงเบ้ง บังทอง
กวนอู เตียวหุย จูล่ง ฮองตง ม้าเฉียว ฯลฯ
ซึ่งคนเหล่านี้ถึงแม้จะมีโอกาสทางเลือกอื่นที่ดีกว่า
แต่พวกเขาก็ยังจงรักภักดีต่อเล่าปี่
ทั้งยังช่วยส่งเสริมจนกระทั่งเล่าปี่สามารถสถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์ได้
ซึ่งทั้งหมดนี้มาจากความสามารถในการครองใจคนของเล่าปี่เองที่สามารถจำแนกออกได้เป็นดังนี้
การเป็นคนมีสัมมาคารวะ อ่อนน้อมถ่อมตน
จะเห็นได้จากการที่เล่าปี่เป็นคนที่ให้เกียรติต่อผู้อื่น
ถึงแม้ว่าเล่าปี่เองจะเป็นถึงเชื้อพระวงศ์แต่ก็ไม่เคยถือตัว
ซึ่งการรู้จักให้เกียรติผู้อื่นนี้เองทำให้คนดีมีฝีมืออยากจะทำงานร่วมกับเขา
ถึงแม้ว่าตัวเขาไม่มีอะไรจะตอบแทนให้ก็ตาม
ถ้าเปรียบกับมนูษย์เงินเดือนอย่างเราก็เหมือนการให้เกียรติกับเพื่อนร่วมงาน
รู้จักรับฟังผู้อื่น ถึงแม้ว่าเพื่อนร่วมงานจะตำแหน่งเล็กกว่าเราก็ตาม
ก็ควรที่จะเคารพในการทำงานของเขาตามที่เห็นสมควร ดังที่สามก๊กฉบับวณิพกของ
"ยาขอบ" ได้ให้คำจำกัดความกับเล่าปี่ว่า
"ผู้พนมมือให้กับชนทุกชั้น"
การรู้จักควบคุมอารมณ์และความรู้สึก
เล่าปี่เป็นคนที่เก็บอารมณ์และความรู้สึกได้ดีเยี่ยม
ตลอดจนการรู้จักพูดให้เข้ากับสถานการณ์ ตัวอย่างที่ดีที่สุดคือเมื่อครั้งที่เล่าปี่ฝากเมืองซีจิ๋วไว้กับเตียวหุย
เพื่อที่ตนและกวนอูจะได้ไปทำธุระที่เมืองอื่น
ซึ่งเมืองซีจิ๋วก็เป็นเมืองเดียวที่เล่าปี่ได้ครอบครองเมื่อครั้งตั้งตัวใหม่
เรียกได้ว่าเป็นฐานที่มั่นเดียวในสมัยนั้น
แต่เตียวหุยกับดื่มสุราจนเมาและละเลยการดูแลเมือง จนถูกลิโป้เข้าตีกลางดึก
เสียเมืองให้กับลิโป้ไป อีกทั้งภรรยาทั้งสองของเล่าปี่ก็ติดอยู่ในเมือง
ถูกลิโป้จับไว้
เตียวหุยต้องหนีตายไปคนเดียวเพื่อพบเล่าปี่และสารภาพผิดจนถึงขั้นชักกระบี่ออกมาจะฆ่าตัวตายชดใช้ความผิด
เล่าปี่เองก็ควบคุมอารมณ์ได้ดีและบอกกับเตียวหุยไปว่า "ลูกเมียเหมือนเสื้อผ้า
ขาดแล้วหาใหม่ได้ พี่น้องเหมือนแขนขา ขาดแล้วหาใหม่ไม่ได้"
ซึ่งก็หมายความถึงเล่าปี่ปลอบใจเตียวหุยที่สามารถเอาชีวิตรอดมาได้
โดยเล่าปี่ไม่ได้แสดงถึงอาการโกรธเตียวหุยเลย
ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นอาจจะโกรธเตียวหุยถึงขั้นตัดพี่ตัดน้องเลยก็ได้ เพราะเตียวหุยเป็นคนทำสมบัติชิ้นเดียวที่มีอยู่ในตอนนั้นเสียไป
และยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสียเมืองซีจิ๋วไปแล้วจะไปมุดหัวอยู่ที่ไหน
แสดงให้เห็นถึงการรู้จักควบคุมอารมณ์และการรู้จักพูด
ทำให้สถานการณ์ที่กำลังเลวร้ายไม่หนักขึ้นไปกว่าเดิมและสามารถผ่อนคลายลงได้
การทำงานในปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน
บางครั้งเราต้องเจอกับความผิดพลาดหรือการกระทำของผู้อื่นจนทำให้เราเสียหาย
การรู้จักควบคุมอารมณ์จึงเป็นเรื่องสำคัญ บางครั้งเราอาจจะโกรธหรือไม่พอใจมาก
แต่การแสดงอารมณ์โกรธหรือไม่พอใจออกไปโดยตรงนั้นไม่ใช่วิถีทางที่ถูกต้อง
เพราะนอกจากจะทำให้สถานการณ์ซ้ำร้ายไปกว่าเดิมแล้ว
ยังไม่ได้ช่วยให้ปัญหาคลี่คลายลงได้ จึงควรรู้จักจัดการกับอารมณ์
ค่อยๆคิดหาทางในการคลี่คลายปัญหาโดยรู้จักประณีประนอม การเอาใจเขามาใส่ใจเรา
ซึ่งจะทำให้ทุกอยากเป็นไปในทางที่ดีขึ้น
เล่าปี่เสียเมืองซีจิ๋วให้ลิโป้ เพราะให้เตียวหุยดูแลแทน
(ที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=Csjdxpb3FTE)
การถือคุณธรรมเป็นที่ตั้ง
ถ้าสังเกตการตัดสินใจของเล่าปี่ในแต่ละครั้งจะพบว่า
เขาถือเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมประกอบด้วยเสมอ เช่น
ตอนที่ชีซีจะลองใจเล่าปี่เรื่องม้าของเล่าปี่ที่ชื่อ "เต๊กเลา"
ว่าม้าตัวนี้ถึงแม้รูปงาม แต่เป็นกาลกิณีจะนำภัยมาให้
สามารถแก้ได้โดยยกม้าให้ผู้อื่นแล้วรอให้ม้าตัวนี้นำภัยมาให้ผู้นั้นก่อน
จึงจะสามารถนำม้าตัวนี้มาใช้อย่างไร้อาเพสใดๆ เล่าปี่ได้ฟังชีซีแล้วก็ตวาดกลับว่า
จะให้เราทำเช่นนั้นคงไม่ได้ การทำเช่นนั้นเท่ากับฆ่าผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่
ไม่ใช่วิสัยของเรา ชีซีได้ฟังดังนั้นก็คิดว่าเล่าปี่เป็นผู้มีคุณธรรมจริง
เหมาะที่จะฝากชีวิตไว้ด้วย และคุกเข่าขอรับใช้เล่าปี่ทันที
หรือในกรณีที่เล่าเปียวป่วยใกล้ตายและตัดสินใจยกเมืองเกงจิ๋วให้เล่าปี่ทั้งที่เล่าเปียวก็ตั้งทายาทไว้สืบทอดไว้แล้วคือลูกชายของตน
แต่เล่าเปียวมองว่าลูกชายตนไร้ความสามารถ จึงตัดสินใจมอบให้เล่าปี่แทน
จุดนี้ขงเบ้งก็เห็นดีเห็นงามด้วย แต่เล่าปี่กลับปฏิเสธและให้เหตุผลว่า
ถ้ารับเอาเกงจิ๋วมาไว้ ก็จะโดนครหาว่าไปชุบมือเปิบ
ทั้งที่มีการแต่งตั้งผู้สืบทอดไว้่แล้ว ทำให้ทั้งลูกน้อง คนรอบข้างและคนภายนอกให้ความเคารพในตัวเล่าปี่และยกย่องในเรื่องคุณธรรม
แต่ถ้ามองกันจริงๆ
แล้วเล่าปี่เองคงไม่กล้ารับไว้เนื่องจากกลัวขั้วอำนาจเก่าของเล่าเปียวจะปองร้าย
เพราะการรับเมืองแบบชุบมือเปิบแบบนี้
ขั้วอำนาจเดิมของเล่าเปียวที่มีอยู่หลายคนย่อมไม่พอใจ และอาจวางแผนสังหารเล่าปี่ในที่สุด
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมีวิสัยทัศน์ในเชิงการเมืองและการจัดการภายในองค์กรของเล่าปี่ได้เป็นอย่างดี
ในปัจจุบันการแก่งแย่งแข่งขันนั้นมีทุกองค์กร
ทั้งการแช่งขันภายในและการแข่งขันกับภายนอก
ซึ่งก็เป็นเรื่องดีในการผลักดันให้บุคลากรแสดงความสามารถออกมาให้เต็มที่
แต่การแข่งขันไม่ใช่การมุ่งเอาชนะแต่เพียงอย่างเดียว
หากแต่จะต้องแข่งขันกันบนพื้นฐานของคุณธรรมและจริยธรรม
อันจะทำให้เกิดความโปร่งใสขึ้นกับองค์กรและทำให้การทำงานกับผู้อื่นเป็นไปด้วยความราบรื่นและได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี
ชีซีทดสอบคุณธรรมเล่าปี่
(ที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=oKChsKgrmDs)
การรู้จักมองคน เล่าปี่เองมองคนได้อย่างทะลุปุโปร่ง
ตั้งแต่การร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับกวนอูและเตียวหุย
เพราะมองว่าสองคนนี้ถึงแม้คนนึงจะดูหยิ่งยโสยอมหักไม่ยอมงอ (กวนอู)
และอีกคนก็มุทะลุดุดัน (เตียวหุย)
แต่ทั้งสองก็เป็นคนที่สัตย์ซื่อและมีฝีมือที่จะช่วยส่งเสริมให้การใหญ่ของเล่าปี่สำเร็จ
หรือการมอง "ม้าเจ๊ก" ที่ทุกคน รวมทั้งขงเบ้งมองว่าเป็นคนฉลาดหลักแหลม
แต่เล่าปี่กลับมองอย่างทะลุและเตือนขงเบ้งว่า ม้าเจ๊กผู้นี้ปากรู้มากกว่าใจ
ทำการใหญ่อย่าใช้ม้าเจ๊ก แต่ขงเบ้งกลับไม่ค่อยเชื่อ
สุดท้ายม้าเจ๊กผู้นี้กลับทำให้ขงเบ้งต้องมาเสียใจภายหลัง
โดยไม่ยอมฟังคำสั่งขงเบ้งก่อนออกศึก และมั่นใจในความรู้ของตนเองเกินไป
จนทำให้เสียเมืองด่านสำคัญ (เกเต๋ง) ทำให้ขงเบ้งต้องประหารม้าเจ๊กทั้งน้ำตา
จะเห็นได้ว่าการรู้จักมองคน รู้จักศึกษาอุปนิสัยผู้อื่นก็เป็นสิ่งสำคัญ
เพราะชีวิตการทำงานของเรา ต้องติดต่อกับเพื่อนร่วมงานและคนภายนอกมากมาย
เราต้องรู้จักพิจารณาคนที่อยู่รอบข้างเรา ว่าเขาเป็นคนเช่นไร
สิ่งใดที่ควรปฏิบัติต่อเขา สิ่งใดไม่ควร เพราะแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน
ร้อยพ่อพันแม่ ถ้าเรารู้จักว่าคนเช่นนี้ควรปฏิบัติกับเขาเช่นไร
เราก็จะสามารถเปิดใจยอมรับเขา
และเขาก็ยอมรับเราทำให้ชีวิตการทำงานของเราราบรื่นไปด้วย
พระเจ้าเล่าปี่สั่งเสียงานใหญ่ให้กับขงเบ้งก่อนสิ้นใจ
(ที่มา : http://krobkruengruengsamkok.blogspot.com)
จะเห็นได้ว่าวิถีจอมคนของเล่าปี่ ล้วนเกิดจากการที่รู้จักพิจารณา
รู้จักปฏิบัติ และรู้จักให้เกียรติคนรอบข้าง
โดยยืนอยู่บนพื้นฐานของการเคารพในสิทธิของผู้อื่น
รวมถึงการรู้จักวางตัวและปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์โดยยึดจริยธรรมเป็นที่ตั้ง
ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้อื่นเคารพในตัวเราและจะเป็นตัวช่วยผลักดันให้เราประสบความสำเร็จ
วิถีการดำเนินชีวิตของเล่าปี่นั้นอ้างอิงบนพื้นฐานแห่งคุณธรรมและจริยธรรมทั้งสิ้น
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นหลักปฏิบัติพื้นฐานของผู้ทำงานตั้งแต่ตำแหน่งลูกจ้างตลอดจนเจ้าของกิจการจะ
"ต้องมี"
หากเราสามารถดำเนินงานของเราให้ได้ตามหลักจริยธรรมดังเช่นเล่าปี่แล้ว
อาจสามารถพลิกชีวิตของเราเป็นอีกด้านหนึ่งเลยก็เป็นได้
ดั่งเช่นเล่าปี่ที่แต่เดิมทอเสื่อขาย
แต่กลับยกตนเองเป็นใหญ่เหนือผู้อื่นได้ก็เพราะการรู้จักวางตัวบนพื้นฐานของคุณธรรมและจริยธรรม.
source :
http://samkokforsalaryman.blogspot.my
No comments:
Post a Comment