Thursday, July 12, 2018

ส่วนที่ ๒ กลยุทธ์เผชิญศึก : กลยุทธ์ที่ ๙ ดูไฟชายฝั่ง

ส่วนที่ ๒ กลยุทธ์เผชิญศึก
ยามเมื่อเผชิญศึก
เท็จลวงกับจริงแท้
พึงใช้สอดแทรกซึ่งกันและกันอย่างสลับซับซ้อน
ทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ
  
กลยุทธ์ที่ ๙ ดูไฟชายฝั่ง

แจ้งแตกมิเป็นส่ำ มืดรอให้อับจน ความดุร้ายใจโหด จักคร่าชีวิตเอง
คล้อยเพื่อเคลื่อนตาม คล้อยตามจึงเคลื่อน


กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อประสบกับภาวะที่ข้าศึกแตกแยกวุ่นวายปั่นป่วนอย่างหนัก
พึงรอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสงบ หากข้าศึกใช้ความป่าเถื่อนแก่กัน ต่างพิพาทเข่นฆ่ากัน
แนวโน้มก็จักพาไปสู่ความวินาศเอง ในเวลาเยี่ยงนี้จักต้องปฏิบัติให้คล้อยตามการเปลี่ยนแปลง
ของสภาพข้าศึก ตระเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า เพื่อดำเนินการให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ชิงมาซึ่งชัยชนะ
โดยใช้การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของทางฝ่ายข้าศึกให้เป็นประโยชน์

            นี้ก็คือความหมายของคำว่า คล้อยเพื่อเคลื่อนตาม คล้อยตามจึงเคลื่อนใน คัมภีร์อี้จิงว่าด้วยสงบซึ่งก็คือกลอุบายที่ยึดถือการแปรผันของข้าศึก เปลี่ยนแปลงตามสภาพ เพื่อเอาประโยชน์อย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้เดิมมาจากตำราพิชัยสงคราม ซุน วู ว่าด้วยการศึกที่ว่า ใช้ความสงบรอความปั่นป่วน ใช้ความเงียบรอความวุ่นวายใน บันทึกประวัติศาสตร์ ประวัติจางอี๋ก็ได้บันทึกเรื่องราวของ เปี้ยนจวงจื่อว่า นั่งบนภูดูเสือกัดกัน” “ ได้เสือ ๒ ตัวเพียงดำเนินการครั้งเดียวซึ่งก็คล้ายคลึงกับกลยุทธ์นี้

ตัวอย่างในการใช้กลยุทธ์นี้คือ..............
ปลายสมัยราชวงฮั่นตะวันออก (ปลายศตวรรษที่ ๒ แห่งคริสต์ศักราช) เมื่อการปราบปรามการลุกขึ้นสู้
ของชาวนาโพกผ้าเหลืองอย่างเหี้ยมโหดเสร็จสิ้นไปอย่างนองเลือดแล้ว ก็ก่อให้เกิดการแย่งชิงการยึดครอง
เขตอิทธิพลระหว่างพวกขุนศึกอย่างขนาดใหญ่และเกิดการรบพุ่งกันชลมุน ผู้ที่มีกำลังเข้มแข็งที่สุด
ในครั้งกระนั้น คืออ้วนเสี้ยวกับโจโฉ

            ในปีที่ ๕ แห่งศักราชเจี้ยนอัน (ค.ศ.๒๐๐) ในรัชสมัยของพระเจ้าเหี้ยนเต้อ้วนเสี้ยวจะยึดครองภาคกลาง
โจโฉจะกำราบภาคเหนือ ทั้ง ๒ ฝ่ายจึงรบกันอย่างดุเดือดที่เมืองกัวต๋อ (อำเภอจงโหมวในมณฑลเหอหนานปัจจุบัน)
โจโฉเป็นฝ่ายชนะอ้วนเสี้ยว ในปีรุ่งขึ้นก็รบชนะอ้วนเสี้ยวที่เมืองซองเต๋งอีก ทำให้อิทธิพลของอ้วนเสี้ยว ถดถอยลงไปเป็นอันมาก อ้วนเสี้ยวเมื่อพ่ายต่อกันหลายครั้งก็ให้กลัดกลุ้มและท้อแท้ยิ่งนักหลังจากกลับไป ถึงแคว้นกิจิ๋ว (ในมณฑลเหอเป่ยปัจจุบัน) ไม่นาน ก็ตรอมใจอาเจียนเป็นโลหิตถึงแก่ชีวิตลง
            อ้วนเสี้ยวมีบุตรชายอยู่ ๓ คนคือ อ้วนถำ อ้วนฮี และอ้วนซง อ้วนซงเป็นบุตรคนสุดท้อง เกิดแต่นางเล่าซือภรรยาคนหลัง เป็นคนองอาจกล้าหาญ อ้วนเสี้ยวและนางเล่าซื่อรักมาก เคยคิดจะมอบอำนาจให้กับอ้วนซง หลังจากอ้วนเสี้ยวตายแล้ว นางเล่าซือก็ปรึกษากับสิมโพยและฮองกี่กุนซือของอ้วนเสี้ยว ให้อ้วนซงครองอำนาจในแคว้นเซียงจิ๋ว อิวจิ๋ว เป๊งจิ๋ว และกิจิ๋ว ๔ แคว้น ตามเจตนารมณ์ของอ้วนเสี้ยว ใจขณะนั้น อ้วนถำบุตรชายคนโตของอ้วนเสี้ยวตั้งทัพรักษาแคว้นเซียงจิ๋ว
(ในมณฑลซานตง) อยู่ มีไพร่พลในมือถึง ๑๐ หมื่นคน เมื่อได้ข่าวว่าอ้วนซงได้กุมอำนาจทั้ง ๔ แคว้น ก็ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ค่าที่ตนเป็นบุตรชายคนโต น่าที่จะได้รับตำแหน่งนี้ จึงตั้งตนขึ้นเป็น ขุนพลตงฉี ปรึกษากับกุนซือกัวเต๋าและซินเม้ง จะนำทัพไปตีกิจิ๋ว ทว่าในระหว่างนั้น กองทัพใหญ่ของโจโฉ ก็มาประชิดชายแดนอยู่ พี่น้องทั้งสองจึงจำต้องร่วมมือกันต่อต้านข้าศึก ความขัดแย้งในเรื่องการชิงอำนาจ จึงได้ผ่อนคลายลง
            ส่วนโจโฉนั้น มีความประสงค์จะกำราบภาคเหนือให้เป็นเอกภาพอยู่ภายใต้อำนาจของตน จึงบุกขึ้นเหนือ รุกเข้ามาในพื้นที่ของอ้วนถำและอ้วนซง อ้วนถำตั้งทัพอยู่ ณ เมืองลิมหยง (ในอำเภอซุ่นเสี้ยนมณฑลเหอหนานปัจจุบัน) เพื่อยันทัพโจโฉ อ้วนซงก็นำทัพจากแคว้นกิจิ๋ว (ชานเมืองปักกิ่งปัจจุบัน) รวมทั้งโกกันบุตรชายซึ่งรักษาแคว้นเป๊งจิ๋ว ต่างก็นำทัพมายังเมืองลิมหยง เพื่อร่วมต้านทานการบุกรุกของโจโฉ แต่การรบที่เมื่องลิมหยง อ้วนถำกับอ้วนซงออกรบหลายครั้งก็แพ้ทุกครั้ง จึงได้แต่ตั้งมั่นอยู่ในเมือง ขยาดที่จะออกรบด้วย ทั้ง ๒ ฝ่ายจึงยันกันอยู่เช่นนั้นเป็นเวลาหลายเดือน ในเดือน ๓ แห่งปีที่ ๘ ของศักราชเจี้ยนอัน (ค.ศ.๒๐๓) โจโฉทุ่มกำลังเข้าตีเมืองลิมหยงอย่างหนัก พี่น้องอ้วน ถูกบังคับให้ต้องออกรบด้วย แต่ก็ถูกโจโฉตีพ่ายไป หนี้กลับยังกิจิ๋วตลอดทั้งคืน กองทัพของโจโฉ ก็ไล่ตีไปจนถึงชายแดนแคว้นกิจิ๋ว พวกแม่ทัพนายกองของโจโฉมีความเห็นให้ฉวยโอกาสเผด็จศึกเสีย มิให้ทันได้ตั้งตัว
            แต่กุนซื่อของโจโฉชื่อกุยแกพูดกับโจโฉว่า เมื่ออ้วนเสี้ยวตายแล้ว นางเล่าซือภรรยาของเขาตั้งลูกชาย ขึ้นครองอำนาจแทนลูกเมียหลวง ฉะนั้นในระหว่างอ้วนถำกับอ้วนซงจึงมีความขัดแย้งกันมากมาย และต่างมีสมัครพรรคพวกของตนเป็นอันมาก ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็จะต้องเกิดการแก่งแย่งกันอย่างแน่นอน บัดนี้กองทัพเราประชิดเมืองอยู่ พวกเขาย่อมจะสามัคคีกันมาต่อต้านเราเมื่อใดที่เราถอยทัพ พวกเขาก็จะต้องหันหน้าเข้าห่ำหั่นซึ่งกันและกันเพื่อชิงผลประโยชน์ของตนเองเป็นแน่แท้ ทัพเรามิสู้ปล่อยกิจิ๋วไปพลางก่อน ลงใต้ไปปราบเล่าเปียวที่เมืองเกงจิ๋ว เพื่อรอดูการเปลี่ยนแปลง แม้นว่าอ้วนถำกับอ้วนซงเกิดปะทะกัน ไม่ฝ่ายหนึ่งบาดเจ็บก็อีกฝ่ายหนึ่งล้มตาย หรือมิฉะนั้นไม่ฝ่ายหนึ่งอ่อนแอ ก็อีกฝ่ายหนึ่งต้องหนีเอาตัวรอด เมื่อนั้นเราค่อยกรีฑาทัพกลับมา กิจิ๋วก็จะตกอยู่ในเงื่อมมือเราได้โดยง่าย โจโฉได้ฟังดังนั้นก็นิ่งคิดอยู่ เห็นว่าที่กุยแกว่ามานั้นก็ดี จึงถอยทัพลงใต้บุกตีเล่าเปียว ณ เมืองเกงจิ๋วต่อไป
            เมื่อโจโฉถอยทัพไปแล้ว อ้วนฮีกับโกกันต่างก็ยกกำลังกลับถิ่นเดิมของตนอ้วนถำกับอ้วนซงก็ปะทะกันจริง ๆ เพื่อแย่งกันเข้าครองกิจิ๋ว อ้วนถำสู้อ้วนซงมิได้ จึงถอยไปตั้งมั่นอยู่ ณ เมืองเพงงวนก๋วน (ในมณฑลซานตงปัจจุบัน) อ้วนซงคิดจะกำจัดอ้วนถำด้วยตนเองจึงนำทัพไปล้อมเมืองเพงงวนก๋วนไว้อย่างแน่นหนากัวเต๋ากุนซือของอ้วนถำจึงแนะนำว่า ในเมืองเรานี้เสบียงอาหารน้อยยากที่จะรักษาไว้ได้นาน มิสู้ส่งคนไปเจรจาขอความช่วยเหลือจากโจโฉ หากทัพโจโฉตีกิจิ๋ว อ้วนซงก็คงจะถอยทัพไปช่วย ถึงตอนนั้นกองทัพโจโฉบุกด้านหน้า เราไล่กระหนาบอยู่ด้านหลังอ้วนซงหรือจะหนีไปไหนรอด? เมื่ออ้วนซงถูกจับ ไพร่พลของอ้วนซงก็เป็นคนของบิดาท่านมาก่อน ท่านจงรวบรวมไพร่พลของกิจิ๋ว และเซียงจิ๋ว ๒ แคว้น แล้วจึงค่อยต่อต่านโจโฉต่อไป โจโฉมาจากทางไกลเสบียงอาหารคงจะไม่พอเพียง เมื่อนานไปก็คงจะต้องถอยไปเอง เขตเหอเป๋ยนี้ก็คงจะรักษาไว้ได้
            อ้วนถำเห็นชอบด้วยกับความเห็นของกัวะเต๋า จึงปฏิบัติตามอุบายนั้น ส่งซินผีน้องชายซินเม้งเป็นทูตพิเศษ
ไปขอความช่วยเหลือจากโจโฉ แต่เมื่อซินผีไปถึงเมืองฮูโต๋ โจโฉก็ได้นำทัพลงใต้ไปแล้ว ซินผีจึงติดตามไป จนถึงที่แจ้งความประสงค์ให้โจโฉทราบ พร้อมทั้งยื่นหนังสือของอ้วนถำให้ด้วย ขณะนั้น พวกแม่ทัพนายกองทั้งหลายของโจโฉต่างก็คิดตรงกันว่า การมาขอสวามิภักดิ์ ของอ้วนถำมีเลสนัย แต่กุยแกกับซุนฮิวกลับมีความคิดเห็นว่าให้โจโฉรับไว้ พูดกับโจโฉว่า เมื่อเหอเป่ยยังไม่สงบ ก็ยังคงเป็นภัยแก่เราอยู่ ควรฉวยโอกาสความปั่นป่วยภายในของตระกูลอ้วนกำราบเซียงจิ๋วและกิจิ๋วให้ราบคาบ ส่วนเล่าเปียวเมืองเกงจิ๋วนั้น เก่งอยู่ก็แต่ปาก หามีความหมายอันใดไม่ รอไว้จัดการทีหลังก็มิเสียการดังนั้นโจโฉจึงย้อนยกทัพกลับขึ้นเหนือ มุ่งไปยังกิจิ๋ว ฝ่ายอ้วนถำฟังว่าโจโฉนำทัพไปตีกิจิ๋ว ก็เข้าใจว่าโจโฉหลงในอุบายตนก็ให้ดีใจนัก ส่วนอ้วนซงเมื่อได้ข่าวโจโฉยกทัพมาถึงชายแดนกิจิ๋ว ก็รีบถอนตัวจากเมืองเพงงวนก๋วน กลับไปกิจิ๋ว
แต่ขุนพล ๒ คนของอ้วนซง คือลิกองกับลิเซียง หนีไปเข้าด้วยโจโฉ เมื่ออ้วนถำทราบข่าวก็ลอบส่งตราขุนพล
ไปให้กับคนทั้งสอง เพื่อให้เป็นไส้ศึกคอยซ้ำเติมเมื่อตนโจมตีโจโฉ โดยมิรู้ว่าโจโฉรู้ในกลอุบายตนอย่างแจ่มแจ้งแล้ว
แต่เพื่อให้อ้วนถำตายใจ รวมกำลังกันตีกิจิ๋วโจโฉจึงแสร้งทำทีว่า จะยกบุตรสาวตนให้เป็นภรรยาของอ้วนถำ
            เมื่อโจโฉลงมือบุกเมืองเย่เสี้ยนของอ้วนซง อ้วนถำก็มิได้ยกกำลังมาช่วยโจโฉ แต่กลับบุกตีเอาเมืองกันหลิง อันผิง
ป้องไห่และเหอเจียนไป อ้วนซงถูกรบกระหนาบด้วยทัพทั้งด้านหน้าและด้านหลังก็แตกพ่ายยับเยิน จึงต้องหนีไปอยู่ เมืองจงซาน ต่อมาก็หนีไปสมทบอยู่ก้วยอ้วนฮี พี่ชายยังแคว้นอิวจิ๋วอ้วนถำจึงรวบรวมไพร่พลของอ้วนซงที่แตกกระจาย มาเป็นของตน ย้อนกลับมาต่อต้านโจโฉอีก
            โจโฉก็ให้บันดาลโทสะ ยกทัพย้อนกลับมาเมืองเพงงวนก๋วน ซึ่งเป็นแหล่งส้องสุมไพร่พลของอ้วนถำ อ้วนถำต้านไม่อยู่ ก็ทิ้งเพงงวนก๋วนไปรักษาเมืองหนานผีไว้ แต่ในที่สุดก็ตายด้วยนำมือของไพร่พลโจโฉในที่รบนั้นเอง ดังนั้น โจโฉจึงยึดครองแคว้นเซียงจิ๋วไว้ได้ ต่อมาในปีที่ ๑๑ แห่งศักราชเจี้ยนอัน (ค.ศ.๒๐๖) ก็กวาดเป๊งจิ๋วจนราบ โกกันหนีรอดไปได้ อ้วนซง อ้วนฮี ทราบว่าโจโฉฆ่าอ้วนถำตายแล้ว ยึดแคว้นสำคัญไว้ได้ ๓ แคว้น และกำลังยกทัพมุ่งมาทางอิวจิ๋ว ก็รู้ว่าเห็นทีจะต้านทานไม่ได้ จึงกลับไปสวามิภักดิ์กับโฮห้วน โจโฉมีความประสงค์จะกวาดภาคเหนือมิให้มีเสี้ยนหนามอีกต่อไป เพื่อมิให้เป็นที่ห่วงหน้าพวงหลังแก่การกรีฑาทัพลงใต้ จึงยกทัพมุ่งเข้าตีโฮห้วนอย่างไม่รั้งรอ
            โฮห้วนเป็นเผ่าชนฮวนเผ่าหนึ่ง มีถิ่นฐานอยู่ในทุ่งหญ้าทางแคว้นเสียวไสที่แล้วมาอ้วนเสี้ยวเคยมีบุญคุณต่อต้าน หัวหน้าเผ่านี้ ชื่อท่าตุ้น ท่าตุ้นมีความสนิทสนมกับอ้วนเสี้ยวเป็นอันมาก ดังนั้น เมื่อกองทัพใหญ่ของโจโฉยกมาถึง เขตเขาไป่หลางซาน (ในมณฑลเหลียวหนิงปัจจุบัน) ก็เผชิญหน้ากับอ้วนซง อ้วนฮีและท่าตุ้นซึ่งนำกำลังของโฮห้วน หลายหมื่นคนยกมาจะแก้แค้นให้กับอ้วนเสี้ยวผลของการรบอย่างนองเลือดที่ไป่หลางซาน ปรากฎว่าท่าตุ้นตายในที่รบ ไพร่พลโฮห้วนแตกกระจัดกระจายไม่เป็นกระบวน เหลืออ้วนซงกับอ้วนฮีนำกำลังที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อย หลบรอดไปสวามิภักดิ์ด้วยกองซุนของยังแคว้นเสียวตั๋ว
            เมื่อปราบโฮห้วนได้แล้ว แม่ทัพนายกองทั้งหลายต่างก็เร่งเร้าให้ใจโฉฉวยโอกาสในชัยชนะ บุกเข้าเลียวตั๋ว จับอ้วนซงอ้วนฮีมาฆ่าเสียให้สิ้น แต่โจโฉกลับสั่งให้เลิกทัพกลับเมืองฮูโต๋ คำสั่งของโจโฉทำให้ขุนนาง ทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะในเวลานั้น ดินฟ้าอากาศ และภูมิประเทสของเลียวตั๋ง เหมาะแก่การเดินทัพทำสงครามเป็นอันมาก ทั้งกองซุนของก็มิได้ยอมอ่อนน้อมด้วยโจโฉเพราะเห็นว่าตนอยู่ไกล เมืองฮูโต๋นัก เมื่ออ้วนซงอ้วนฮีหลบมาอยู่ด้วยก็เป็นข้ออ้างและโอกาสอันดีที่จะกวาดเลียวตั๋งไปเสียเลยในคราวเดียวกัน ซึ่งเมื่อสำเร็จ ก็สามารถที่จะขจัดอ้วนซงและอ้วนฮี ๒ คนพี่น้องและได้แคว้นเลียวตั๋งด้วย แต่เหตุไฉนโจโฉจึงมินำทัพ รุดหน้าไปกลับสั่งให้ถอนทัพกลับเมืองฮูโต๋เสียอีก
            โจโฉลูบหนวดเคราของตนเองอย่างสบายใจพลางหัวเราะกล่าวว่า พวกท่านไม่จำเป็นต้องเหนื่อยกายไปรบดอก
เราจักได้ศีรษะของ ๒ คนพี่น้องนั้นในไม่ช้าทุกคนต่างก็ยังคลางแคลงใจอยู่ แต่เมื่อโจโฉกล่าวเช่นนั้น จึงจำต้องรื้อค่ายเดินทัพกลับฮูโต๋ตามคำสั่ง แต่ทัพของโจโฉเพิ่งจะออกเดินทางได้เพียงไม่กี่วันก็ได้รับแจ้งว่า กองซุนของแห่งแคว้นเลียวตั๋งส่งทูต นำศีรษะของ ๒ คนพี่น้องมามอบให้เป็นบรรณาการ โจโฉจึงสั่งให้ทูตของกองซุนของเข้าพบ ทูตนำหีบมาด้วย ๒ ใบ เมื่อเปิดออกดูก็เป็นศีรษะของอ้วนซงกับอ้วนฮี ๒ คนพี่น้องจริง ทูตยังส่งสารของกองซุนของ ให้แก่โจโฉอีกฉบับหนึ่งด้วย
            ถึงตอนนี้ โจโฉจึงอธิบายแก่ขุนนางทั้งหลายว่า เราได้ทราบข่าวมานานแล้วว่า กองซุนของก็เกรงพวกตระกูลอ้วน จะกลืนกินตนอยู่ เมื่อคนทั้งสองไปสวามิภักดิ์ด้วยก็ยิ่งระแวงสงสัยหนักขึ้นว่าจะมิซื่อ หากในตอนนั้นเราบุกเข้าตี
คนทั้งสามก็จำต้องร่วมมือกันต่อต้านเราเป็นแม่นมั่น ที่ควรได้ก็จักมิได้ แต่เมื่อเราถอยทัพกองซุนของกับพี่น้อง ก็จะต้องกินแหนงแคลงใจกัน ซึ่งถึงตอนนั้น เรามิจำเป็นต้องใช้กำลัง เลียวตั๋งก็จักสยบด้วยเรา บัดนี้ กองซุนของ ก็ได้นำศีรษะของคนทั้งสองมามอบให้ ก็เป็นไปตามที่เราคาดติดทุกประการ
            แท้ที่จริง กองซุนของแห่งแคว้นเลียวตั๋ง ระมัดระวังเรื่องที่ฝ่ายตระกูลอ้วนยึดครองแคว้นใหญ่ทั้ง ๔ มาก่อนแล้ว
ด้วยเกรงว่าตนจักถูกผนวกเอาเข้าไปด้วย ต่อเรื่องที่โจโฉรั้งเอาตัวพระเจ้าเหี้ยนแต้ไว้ เพื่อใช้อำนาจกำราบผู้อื่นนั้น กองซุนของก็มิสู้จะพอใจนัก นับแต่อ้วนเสี้ยวพ่ายแก่โจโฉที่เมืองกัวต่อเป็นต้นมา กองซุนกองก็เอาใจใส่ในเหตุการณ์ ของเหอเป๋ยเป็นอันมาก ครั้นทราบต่อมาอีกว่าอ้วนเสี้ยวตาย อ้วนซง อ้วนฮีรบแพ้ ต้องเสียแคว้นทั้ง ๔ ไปหลบหนีไป โฮห้วนก็ถูกโจโฉกระหน่ำเอาจนยับเยินไปอีกที่เขตเขาไป่หลางซานและพี่น้อง ๒ คนกำลังหนีมุ่งมาทางเลียวตั๋ว ก็ให้รู้สึกร้อนใจ เกรงว่าโจโฉจะยกทัพตามติดมา จนก็จะอยู่มิเป็นสุข จึงเรียกขุนนางทั้งหลายมาปรึกษาหารือว่า ควรจะทำประการใดดี
            กองซุนก๋งผู้เป็นน้องชายจึงมีความเห็นกล่าวว่า แคว้นเลียวตั๋งเรานี้ อ้วนเสี้ยวเคยจ้องมองด้วยความกระหายมาช้านาน แต่เนื่องจากโจโฉประชิดมาทางตะวันตก อ้วนเสี้ยวต้องทำศึกอยู่มิได้หยุดหย่อน จึงไม่มีเวลาจะมาจัดการกับเรา บัดนี้ตระกูลอ้วนก็สิ้นแผ่นดินจะอาศัยไร้ที่พึ่งพิง จึงได้มุ่งมาหาเรา ความจริงก็ประสงค์จักยื้อแย้งแผ่นดินของเราไปครอง พวกพี่น้องอ้วนเองยังเคยปะทะซึ่งกันและกัน ไฉนเลยจะละเว้นเลียวตั๋งของเราได้? ถ้าหากเรารับพวกเขาไว้ ก็จะเป็นภัยพิบัติอย่างมหันต์ ตอนนี้โจโฉก็กำลังฮึกเหิมอยู่ รบชนะเป็นหลายครั้ง หากเรารับพี่น้องอ้วนไว้ ก็มิผิดกับนำไฟมาครอกตนเอง หากโจโฉบุกเลียวตั๋งมา กำลังเรามิอาจจะเทียบได้ ก็จักแตกในไม่ช้า เรามิสู้ปล่อยให้พี่น้องทั้งสองเข้ามาหาเรา แล้วจับฆ่าเสีย ส่งศีรษะไปมอบให้แก่โจโฉ โจโฉเห็นดังนั้นก็จะพอใจ ส่วนตัวโจโฉเองนั้นก็เกรงว่าเล่าเปียวกับเล่าปี่จักบุกตีเมืองฮูโต๋อยู่ คงจะมิคิดบุกเมืองเลียวตั๋งเราต่อไป แต่จักรีบนำทัพกลับไปรักษาเมืองฮูโต๋ของตนไว้ให้มั่นคงขึ้นเป็นแน่ มิทราบว่าพวกท่านทั้งหลายจักเห็นเป็นประการใด?” จึงมีผู้แย้งขึ้นว่า ถ้าหากโจโฉไล่ติดตามมา แม้เราฆ่าพี่น้องอ้วนทั้งสองแล้ว โจโฉก็ยังประชิดแดนเรา ฉวยโอกาสบุกเข้าตี เราจักต้านทานกองทัพของโจโฉได้สักเท่าไร? มิสู้ให้พี่น้องอ้วนช่วยเรารบกับโจโฉมิดีกว่าหรือ?” ทั้ง ๒ ฝ่ายต่างโต้เถียงกันอึงคะนึง มิอาจลงรอยกันได้ กองซุนของเห็นดังนั้นจึงตัดบทขึ้นว่า แคว้นเลียวตั๋งนี้เมื่อบิดายังมีชีวิตอยู่ก็อยากได้ไว้ในมือ แต่เพราะมีการรบพุ่งติดพันอยู่มิขาด จึงมิอาจทำให้ ตามความประสงค์บัดนี้เราสูญสิ้นพื้นแผ่นดินจะพักพิง แคว้นเลียวตั๋งมีไพร่พลและแม่ทัพนายกองหลายหมื่นคน อาหารการกินก็อุดมสมบูรณ์ หากยึดไว้เป็นของเราเสียก็จักขยายอำนาจไปสู่ภาคกลางได้โดยง่าย การหนีเข้าเลียวตั๋งในครั้งนี้ หากมีโอกาสก็จงจับกองซุนของสังหารเสีย เพื่อหาทางใช้ไพร่พลของเขา แก้แค้นเอากับโจโฉต่อไป จักทำใจอ่อนมืออ่อนมิได้เป็นอันขาด อีกไม่กี่วันต่อมา พี่น้องทั้งสองก็มาถึงเซียงผิงเมืองเอกของเลียวตั๋ง ขอเข้าคำนับกองซุนของ แต่เนื่องจากทหารสอดแนมของกองซุนของยังไม่กลับยังมิรู้ที่จะจัดการกับ ๒ คนพี่น้องสถานใด กองซุนของจึงหารือหาเหตุปฏิเสธไม่พบคนทั้งสอง
            หลายวันต่อมา ทหารสอดแนมก็กลับมาแจ้งว่า กองทัพโจโฉรื้อค่ายถอยทัพกลับฮูโต๋แล้ว กองซุนของก็ให้ ๒ พี่น้องเข้าพบ ในวันนั้น กองซุนของก็เตรียมการไว้พร้อมสรรพ เมื่อพี่น้องทั้งสองเดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผยโดยมิได้เฉลียวใจแต่ประการใด ก็ถูกไพร่พลของกองซุนของจับมัดไว้อย่างแน่นหนาแล้วนำไปตัดศีรษะในทันที หลังจากนั้นจึงบรรจุศีรษะของคนทั้งสอง ลงในหีบไม้ จัดทูตนำหีบศีรษะของคนทั้งสองไปมอบให้แก่โจโฉ

กลยุทธ์นี้มีผู้สรุปว่า
เมื้อข้าศึกเกิดความปั่นป่วนภายใน ให้รอดูการเปลี่ยนแปลงโดยสงบ ให้ข้าศึกเกิดความปั่นป่วน ก้าวไปสู่ความพินาศเอง
ที่ว่า ไฟในกลยุทธ์นี้ ก็หมายถึงการบาดหมางภายในฝ่ายข้าศึก เช่นเกิดมีคนทรยศหรือไส้ศึก หรือเกิดความปั่นป่วน
ในช่วงเวลานี้เอง การคอยสังเกตการณ์อยู่ด้วยความสงบ แล้วค่อยตักตวงเอาในภายหลังจึงเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด”.




Source : http://porgorn0009.blogspot.com/2012/05/blog-post_2970.html

No comments:

Post a Comment