จิวยี่ กงจิ๋น (โจวอวี่)
“จอมทัพเรืออันดับหนึ่งแห่งยุคสามก๊ก”
นี่เป็นประโยคที่โด่งดังมากที่สุดประโยคหนึ่งในนิยายสามก๊ก
เป็นวาทะของบุรุษผู้หนึ่งได้พูดเอาไว้ก่อนวาระสุดท้าย
เขาผู้นี้ก็คือยอดแม่ทัพเรืออัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งยุคสามก๊ก ทั้งเป็นบุรุษรูปงาม
ผู้เปี่ยมด้วยสติปัญญา ความสามารถในการทำศึก และความภักดีต่อง่อก๊กอย่างลึกซึ้ง
ที่กล่าวมานี้ไม่อาจเป็นอื่นได้อีกนอกจาก บุรุษนาม จิวยี่ กงจิ๋น
แม่ทัพใหญ่แห่งรัฐหวูหรือ “ง่อก๊ก”
เรื่องราวของจิวยี่ได้รับการกล่าวขวัญถึงและเป็นที่รู้จักสำหรับแฟนหนังสือสามก๊กในฐานะคู่ต่อสู้ทางสติปัญญาที่มีความทัดเทียมกับมังกรหลับขงเบ้ง
แม้ว่าจิวยี่มักจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการประลองทางปัญญาและเสียรู้ให้อุบายของขงเบ้งอยู่บ่อยครั้ง
ในนิยายสามก๊ก หลอก้วนจงได้สร้างภาพลักษณ์ให้แก่จิวยี่อย่างชัดเจนว่าเป็นผู้มีใจคอคับแคบ
มีความหวาดระแวงและผูกพยาบาทต่อขงเบ้งด้วยความริษยาในสติปัญญาที่อีกฝ่ายมีเหนือกว่าตลอดเวลา
และสุดท้ายจิวยี่ก็ต้องจนกระอักเลือดตายด้วยความเจ็บแค้นจากพิษบาดแผลกำเริบ
จนเกิดเป็นวาทะดังที่กล่าวมาข้างต้น
ซึ่งตัวตนที่แท้จริงของจิวยี่ในประวัติศาสตร์ เริ่มได้รับการตีความขึ้นมาใหม่ว่าแท้จริงแล้วจิวยี่หาใช่บุรุษที่มีใจคอบคับแคบและเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นนั้น ในการศึกที่ผาแดงหรือศึกเซ็กเพ็ก อันเป็นสงครามใหญ่ที่สุด 1 ใน 3 ของเรื่องสามก๊ก ผู้ที่วางแผนการหลักและเป็นบุคคลสำคัญในการเผาทำลายทัพเรือของโจโฉจนล่าถอยกลับไปได้นั้น หาใช่ขงเบ้ง แต่เป็นจิวยี่ ซึ่งถูกแย่งชิงบทบาทในนิยาย
หลังยุค 2000 เป็นต้นมา
ภาพลักษณ์ของจิวยี่ก็เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
เมื่อการตีความที่มีต่อจิวยี่เริ่มอ้างอิงกับเนื้อหาในจดหมายเหตุสามก๊กของเฉินโซ่วมากขึ้น
ผสมผสานกับสิ่งที่ปรากฏในนิยายสามก๊กและถูกชูขึ้นมาในเชิงบวกหลังจากที่ถูกมองข้ามมาตลอดนั่นคือความจงรักภักดีที่มีต่อง่อก๊กและตระกูลซุน
ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้จิวยี่ยอมทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างสุดความสามารถ
จนกระทั่งวาระสุดท้าย เป็นความภาคภูมิของชาวแดนใต้และเป็นแบบอย่างที่น่าเคารพยกย่องมากกว่าจะเป็นเพียงคู่ปรับผู้พ่ายแพ้ของขงเบ้งในฉบับนิยาย
ซึ่งถูกปั้นแต่งให้ต้องรับบทบาทเป็นเพียงบันไดให้ให้ขงเบ้งได้แสดงสติปัญญาของตนจนโดดเด่นขึ้นมาเท่านั้น
ทั้งนี้ บทบาทของจิวยี่ในนิยายและในประวัติศาสตร์มีความเหมือนหรือแตกต่างกันเช่นไร
แล้วในยุคหลัง 2000 เป็นต้นมา ตัวตนของเขาถูกตีความใหม่เช่นไรนั้น
เราควรต้องดูจากชีวประวัติของเขาทั้งจากในจดหมายเหตุสามก๊กและบทบาทในนิยายเพื่อเปรียบเทียบไปด้วยกัน
จากจดหมายเหตุชีวประวัติจิวยี่ โดยเฉินโซ่ว
(Biography of Zhou Yu)
-------------------------------------------------------------------------
จิวยี่ หรือ โจวอวี่ (Zhou Yu) ชื่อรอง กงจิ๋น (Gong Jin) เกิดปี
ค.ศ.175 (หรือไม่ก็ปีค.ศ.176) เป็นชาวเมืองหลู่
มณฑลเจียงซู เฉินโซ่วบันทึกในจดหมายเหตุสามก๊กว่า ตระกูลจิว (โจว)
เป็นตระกูลขุนนางชั้นสูง คอยรับใช้ราชสำนักฮั่นมายาวนาน
จิวจิ้ง ซึ่งเป็นมีศักดิ์ปู่ของจิวยี่
ในอดีตเคยดำรงตำแหน่งเป็นถึงราชครู “ไท่เว่ย” เป็นขุนนางที่มีตำแหน่งระดับสูงมากในราชสำนักฮั่น
ส่วนจิวจงผู้เป็นบิดา ได้เคยดำรงตำแหน่งผู้ว่าการของนครหลวงลกเอี๋ยง
ดังนั้นจิวยี่จึงได้ชื่อว่าเป็นทายาทของตระกูลดังที่มีชื่อเสียงมากที่สุดตระกูลหนึ่งในยุคนั้น
นอกจากนี้ เฉินโซ่วยังบันทึกไว้ชัดเจนว่า
จิวยี่ยังเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามแห่งยุคอีกด้วย รวมถึงมีความสามารถในด้านการดนตรี
ศิลปะ เชี่ยวชาญในตำราพิชัยสงคราม ชื่อเสียงของจิวยี่จึงโด่งดังมากตั้งแต่วัยหนุ่ม
ปีค.ศ.189 ซุนเกี๋ยน ขุนศึกแห่งเมืองเตียงสา
ได้ร่วมนำทัพเข้ากับพันธมิตรกวนจง ออกศึกปราบตั๋งโต๊ะ
เวลานั้นจิวยี่และครอบครัวได้อพยพลงมาแดนใต้
จิวยี่นั้นมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับซุนเซ็ก บุตรชายของซุนเกี๋ยน
เมื่อทั้งสองคนได้พบกันแล้ง ก็มีความสนิทสนมและยกย่องนับถือกันอย่างรวดเร็ว
ซุนเซ็กได้เชื้อเชิญให้จิวยี่อยู่พักร่วมกัน
แล้วจิวยี่เองก็ให้ความเคารพนับถือมารดาของซุนเซ็กเป็นอย่างสูง
ปีค.ศ.193
จิวยี่เดินทางไปเยี่ยมเยียนจิวซงผู้เป็นลุง ซึ่งมีตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองตันหยาง
จากนั้นไม่นาน ซุนเซ็กก็ส่งสารมาชักชวนจิวยี่ให้เข้าร่วมทัพด้วยกัน
เนื่องจากเวลานั้นซุนเกี๋ยนได้สิ้นชีพไปแล้ว
ซุนเซ็กจึงได้ทำหน้าที่บัญชาทหารของตระกูลต่อมา
โดยอยู่ใต้สังกัดของอ้วนสุดที่กำลังขยายอิทธิพลอยู่ที่เมืองซิ่วซุน
แต่ซุนเซ็กต้องการแยกตัวออกจากอ้วนสุด แล้วหาหนทางเดินทัพลงใต้ ข้ามแม่น้ำแยงซี
เพื่อนำทัพบุกเกงจิ๋ว ล้างแค้นหองจอที่ได้สังหารซุนเกี๋ยนบิดาตน
แล้วหาทางก่อร่างสร้างตัวขึ้นที่ดินแดนกังหนำ
เมื่อจิวยี่ได้รับสารจากซุนเซ็กแล้ว
จึงได้เดินทางไปเมืองขยกโอ๋ เพื่อรวบรวมกำลังพล ตระเตรียมไว้
จากนั้นก็นำทัพไปเข้าร่วมกับซุนเซ็กด้วย
ซุนเซ็กมีความยินดีอย่างมาก
จากนั้นจิวยี่ได้ช่วยเหลือซุนเซ็กปราบปรามเหล่าขุนศึกในแดนกังหนำคือ เล่าอิ้ว และ
เงียมแปะฮอ แล้วยังช่วยทำศึกปราบปรามชนเผ่าซานเยี่ยทางตอนใต้ เมื่อเสร็จศึก
จิวยี่ก็เดินทางกลับไปอยู่รักษาที่เมืองตันหยางต่อไป
ปีค.ศ.196
จิวยี่ทราบข่าวว่าอ้วนสุดได้มีคำสั่งให้อ้วนหยิน
หลานชายของตนไปรับตำแหน่งผู้ว่าการเมืองตันหยางแทนที่จิวซง ลุงของเขา
จิวยี่และจิวซงจึงต้องกลับคืนสู่เมืองซิ่วซุน อ้วนสุดต้องการดึงจิวยี่มาทำงานให้
แต่จิวยี่รู้สึกไม่พอใจในตัวอ้วนสุดและไม่ต้องการทำงานรับใช้ จึงหาเหตุตีจากเไปยังแดนกังหนำ
ด้วยการขออ้วนสุดให้มอบตำแหน่งเจ้าเมืองจูเจียวแก่ตน
อ้วนสุดไม่รู้เจตนาของจิวยี่จึงยอมอนุญาตให้เดินทางไป
จากนั้นจิวยี่จึงชักชวนลุงของตนให้ออกเดินทางไปที่กังหนำ
เป็นการตีจากอ้วนสุดอย่างถาวร
ปีค.ศ.197 จิวยี่ซึ่งเดินทางมาถึงแดนกังหนำ และเข้าร่วมกับซุนเซ็กแล้ว
ซุนเซ็กนั้นมีความยินดีอย่าง จึงแต่งตั้งให้เขาเป็นนายพล “เจี้ยงเหว่ยเจียงจวิน”
มอบทหาร 2,000 คน และทหารม้า 50 คน
ให้อยู่ในบัญชาการ แล้วยังควบตำแหน่งเจ้าเมืองหวูด้วย
เวลานั้น จิวยี่เพิ่งมีอายุได้เพียง 24 ปี
แต่ก็เป็นยอดบุรุษหนุ่มที่สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ชาวกังหนำหรือชาวง่อก๊กอย่างมาก
ในฐานะเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามผู้เพียบพร้อมทั้งความสามารถ สติปัญญา ความภักดี
ดังนั้น ชาวกังหนำจึงให้ความยกย่องและเรียกขานจิวยี่ด้วยความให้เกียรติว่า “จิวหลาง”
(โจวหลาง) หมายถึง สุภาพบุรุษสกุลจิว (Young Gentleman Zhou)
ในระหว่างนั้น
ซุนเซ็กและจิวยี่ก็แต่งงานกับบุตรีทั้งสองคนของเกียวก๊กโล คหบดีใหญ่แห่งกังหนำ
สตรีทั้งสองนางนี้ มีชื่อเสียงว่าเป็นยอดหญิงงามแห่งยุค ชื่อว่า นางไต้เกี้ยว และ
นางเสียวเกี้ยว ซึ่งชื่อเสียงความงามของพวกนางทำให้ผู้คนเรียกรวมกันว่า “พี่น้องสองเกี้ยว”
โดยซุนเซ็กแต่งงานกับนางไต้เกี้ยวคนพี่
ส่วนจิวยี่แต่งงานกับนางเสียวเกี้ยวคนน้อง
จากนั้น
จิวยี่ยังได้สร้างชื่อเสียงโด่งดังในแถบหลูเจียง
เมื่อเขารับหน้าที่ป้องกันเมืองหนิ่วจู่ไว้ได้
ต่อมาจึงได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองชุ่นกู๋ด้วย หลังจากนั้น ซุนเซ็กตัดสินใจเคลื่อนทัพบุกตีเกงจิ๋ว
เพื่อล้างแค้นให้ซุนเกี๋ยนผู้เป็นบิดาที่โดนทหารของหองจอสังหาร
แล้วจึงแต่งตั้งจิวยี่ให้ขึ้นเป็นแม่ทัพหน้า ควบตำแหน่งเจ้าเมืองกังแฮ
จากนั้นจึงสร้างผลงานทำศึกปราบปรามความวุ่นวายแถบหลูเจียงและปาคิวเอาไว้ได้
แล้วจิวยี่ก็รับหน้าที่ไปประจำการอยู่ที่ปาคิวต่อไป
ผลงานของจิวยี่ทั้งหมดนี้
จึงช่วยให้ซุนเซ็กสามารถแผ่ขยายอำนาจเหนือดินแดนกังหนำไว้ได้ทั้งหมด
ปีค.ศ.200 (ตรงกับปีศักราชเจี้ยนอันที่
5) ซุนเซ็กได้สิ้นชีพลงในวัยเพียง 26 ปี
ซุนกวนผู้เป็นน้องชายจึงต้องขึ้นสืบทอดตระกูลซุนทั้งหมดต่อมา
จิวยี่จึงเดินทางกลับมาร่วมคารวะศพ
จากนั้นจิวยี่และเตียวเจียวก็ร่วมกันช่วยเหลือซุนกวนเข้าควบคุมอำนาจทั้งภายในและภายนอกในกังหนำทั้งหมดสืบต่อมา
ปีค.ศ.206 (ตรงกับปีศักราชเจี้ยนอันที่
11) จิวยี่ได้ร่วมกับซุนอู่และเหล่าขุนพลหลายคน
นำทัพบุกโจมตีหัวเมืองแถบกังแฮ ได้รับชัยชนะ แล้วเกณฑ์ไพร่พลมาได้นับหมื่นคน
จากนั้นก็นำทัพบุกโจมตีเมืองกังแฮของเล่าเปียว
สามารถเล่นงานขุนพลใหญ่หองจอจนแตกพ่ายได้
เล่าเปียวพยายามส่งทหารตีเมืองชีสองเพื่อเป็นการตอบโต้
แต่จิวยี่ก็เตรียมการรับมือไว้ และยังสามารถจับตัวขุนพลเตงหลงไว้ได้
ปีค.ศ.208 (ตรงกับปีศักราชเจี้ยนอันที่
13) ซุนกวนสั่งให้จิวยี่นำทัพใหญ่บุกตีเมืองกังแฮ
แล้วแต่งตั้งให้จิวยี่เป็นแม่ทัพหน้า
ในปีนั้น โจโฉได้เคลื่อนทัพใหญ่บุกลงใต้
กองทัพของโจโฉมีจำนวนมากกว่าแสนคน เคลื่อนทัพเรือล่องแม่น้ำบุกเมืองเกงจิ๋ว
เวลานั้นเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วสิ้นชีพไปแล้ว เล่าจ๋องบุตรชายจึงยอมสวามิภักดิ์
ทำให้โจโฉยึดเมืองเกงจิ๋วมาได้อย่างง่ายดาย
การบุกลงใต้ของโจโฉครั้งนี้
สร้างความหวาดกลัวให้ผู้คนในกังหนำมาก
ซุนกวนและเหล่าขุนพลต่างก็เร่งประชุมด่วนเพื่อหาทางรับมือแก้ไขสถานการณ์
ขุนนางส่วนใหญ่ล้วนเสนอให้ยอมจำนนต่อโจโฉ
ซึ่งเหตุผลหลักที่ให้ยอมแพ้นั้นมีหลายประการ ได้แก่
- เหล่าขุนนางหวาดกลัวชื่อเสียงอันโหดร้ายของโจโฉ
ว่าออกศึกครั้งใดก็จะบุกเผาทำลายบ้านเมืองข้าศึกจนราบคาบ หากไม่ยอมจำนน
- ขุนนางหลายคนเชื่อว่าตั้งแต่โจโฉยึดครองเกงจิ๋วได้นั้น
ดินแดนง่อก๊ก และทางตอนใต้ของแม่น้ำแยงซีทั้งหมด ก็ได้ตกอยู่ในภาวะคับขัน
ยากที่จะรอดพ้นจากการเข้ายึดครองของโจโฉได้
- โจโฉสามารถรวบเอากองทัพเรือของเล่าเปียวมาเป็นของตนเองไว้ได้จำนวนหลายพันลำ
โดยทัพโจโฉไม่ได้มีความเสียหายอะไรเลย
ทำให้โจโฉสามารถเคลื่อนทัพบุกโจมตีได้พร้อมกันทั้งทางบกและทางน้ำเต็มที่
- จำนวนกองทัพของโจโฉที่มีเหนือกว่าทัพฝ่ายง่อก๊กอย่างมหาศาล
แต่จิวยี่ไม่เห็นด้วยกับเหตุผลเหล่านี้ เขาโต้เถียงกับเหล่าขุนนางที่คิดยอมจำนน
โดยได้แจกแจงและวิเคราะห์จุดอ่อนของทัพโจโฉไว้หลายประการว่า
1.แม้ว่าโจโฉจะสามารถรวบรวมดินแดนภาคกลางและภาคเหนือเอาไว้ได้แล้ว
แต่ก็ยังมีการคุกคามจากม้าเฉียวและหันซุยทางตะวันตกเฉียงเหนืออยู่
ซึ่งโจโฉนั้นหวาดระแวงในเรื่องนี้มาก ดังนั้นในความเป็นจริงแล้ว
โจโฉจึงยังไม่ได้รวบรวมดินแดนจงหยวนได้อย่างราบคาบนัก
2.ทหารภาคเหนือของโจโฉไม่มีความชำนาญในการรบทางน้ำเท่าเทียบทหารแดนใต้
3.ขณะนี้เป็นฤดูหนาว
ทัพของโจโฉย่อมต้องอ่อนแรงจากการเดินทัพไกลจากทางเหนือ
4.ทัพโจโฉยังไม่เคยรับรู้รสชาติของโรคระบาดร้ายแรงซึ่งแพร่ระบาดอยู่ในภาคใต้
ด้วยการแจกแจงเหตุผลเหล่านี้ ทำให้ซุนกวนยอมเชื่อฟังคำแนะนำ
และจิวยี่ยังขอกำลังทหาร 30,000 คน ไปทำศึกใหญ่ครั้งนี้
แล้วจิวยี่ยังเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้
ทำให้สามารถทำศึกแล้วเอาชัยชนะมาได้แน่
เมื่อได้ยินเช่นนั้น
ซุนกวนจึงบังเกิดความเชื่อมั่นที่จะเปิดศึกกับโจโฉมากขึ้น
แล้วในเวลานั้น เล่าปี่ซึ่งเพิ่งจะพ่ายศึกแล้วหนีตายจากโจโฉ
ได้ลี้ภัยลงมาที่แฮเค้า เล่าปี่ได้ขอนัดพบกับโลซกที่เมืองตันหยาง
ในการพบปะครั้งนั้น
เล่าปี่ได้วางแผนร่วมกับโลซกที่จะขอเจรจาเป็นพันธมิตรกับซุนกวนเพื่อต้านศึกโจโฉ
จากนั้นเล่าปี่จึงส่งขงเบ้งที่ป็นกุนซือคนสำคัญ ให้เดินทางไปขอเข้าพบซุนกวน
เพื่อเจรจาการเป็นพันธมิตรระหว่างทั้งสองฝ่าย
ขณะเดียวกัน ฝ่ายซุนกวนก็เพิ่งปรึกษากับจิวยี่เรื่องการทำศึกกับโจโฉพอดี
พร้อมๆกับเมื่อขงเบ้งเดินทางมาเข้าพบซุนกวน เพื่อเจรจาการร่วมเป็นพันธมิตรด้วย
ในที่สุดซุนกวนจึงตัดสินใจเปิดศึกกับโจโฉ
แล้วประกาศแต่งตั้งให้สามขุนพล ได้แก่ จิวยี่ เป็นแม่ทัพฝ่ายซ้าย เทียเภา
เป็นแม่ทัพฝ่ายขวา และ โลซก เป็นเสนาธิการกองทัพ
จากนั้นจึงร่วมเป็นพันธมิตรกับเล่าปี่ เพื่อเตรียมเปิดศึกใหญ่กับโจโฉ
เผยซงจือแทรกเชิงอรรถจากบันทึกเจียงเปียวจ้วนว่า
หลังจากจิวยี่โต้แย้งเหล่าขุนนางอย่างเตียวเจียวที่เสนอให้ยอมจำนน
แล้ววิเคราะห์แจกแจงให้ซุนกวนฟังอย่างละเอียดถึงเหตุผลที่สามารถชนะศึกได้แล้ว
ซุนกวนก็กล่าวยกย่องจิวยี่มาก เมื่อซุนกวนตัดสินใจทำศึกแล้ว ก็ประกาศว่า
หากผู้ใดยังคิดเอ่ยถึงเรื่องยอมจำนนอีกก็จะโดนลงโทษ
จากนั้น
เหล่าขุนพลของง่อก๊กก็ได้เดินทางไปสมทบกับเล่าปี่ที่แฮเค้า
เพื่อปรึกษากันเรื่องทำศึกกับโจโฉที่ผาแดง (เซ๊กเพ็ก)
ในระหว่างนั้น
ด้านกองทัพโจโฉก็กำลังประสบปัญหาใหญ่
เมื่อกองทหารส่วนใหญ่ในกองทัพต้องประสบกับโรคระบาดรุนแรงที่แพร่อยู่ในแถบแม่น้ำแยงซี
ขวัญกำลังใจของทหารตกต่ำลงอย่างมาก
ดังนั้นโจโฉจึงต้องถอนทหารกลับไปตั้งมั่นอยู่ที่บริเวณทางเหนือของแม่น้ำแยงซี
ทหารของง่อก๊กเมื่อได้เห็นกองทัพโจโฉที่มีขนาดมหึมา
พร้อมเรือรบเป็นทิวยาวเรียงรายกันแล้ว ก็บังเกิดความยำเกรงมาก
อุยกาย หนึ่งในขุนพลสำคัญของง่อก๊ก
มีความเห็นว่า ด้วยความแตกต่างด้านกำลังพลเช่นนี้
ย่อมไม่เป็นผลดีเลยหากจะทำศึกระยะยาว ดังนั้น อุยกายจึงเสนอแผนการศึกแก่จิวยี่ว่า
“หากสามารถหลอกล่อให้โจโฉเอาโซ่มาคล้องติดเชื่อมกันระหว่างเรือรบแต่ละลำ
แล้วโจมตีฉับพลันด้วยเพลิงไฟ ย่อมจะสามารถเอาชัยชนะได้แน่”
จิวนี่เห็นด้วยกับแผนกลยุทธ์นี้
จึงให้จัดเตรียมเรือเล็กเคลื่อนที่เร็ว เพื่อใช้สำหรับการโจมตีด้วยไฟ จากนั้น
อุยกายจึงส่งจดหมายลวงไปถึงโจโฉเพื่อขอยอมสวามิภักดิ์
เพื่อที่อุยกายจะได้หลอกล่อโจโฉ แล้วหาโอกาสใช้การโจมตีด้วยไฟได้
แผนการประสบผล อุยกายล่องเรือเข้าไปถึงทัพเรือของโจโฉ
จากนั้นจึงจุดไฟขึ้นบนเรือ แล้วใช้เรือเข้าโจมตี นอกจากนี้
ยังได้กระแสลมแรงช่วยพัดโหมกระพือให้เปลวไฟลุกลามติดไปทั่วกองเรือทุกลำภายในเวลาอันรวดเร็ว
เปลวเพลิงที่แผดเผานี้ยังได้ลุกลามไปติดถึงค่ายทัพหลักของโจโฉ จนวอดวายไปหมด
ผลจากการโจมตีด้วยเพลิงไฟนี้ประสบผลอย่างยิ่งใหญ่
กองทัพของโจโฉเสียหายหนักอย่างรุนแรง โจโฉจึงจำต้องถอยทัพทั้งหมดขึ้นเหนือ
ไปตั้งมั่นที่แถบหนานจวิ้น ด้วยเหตุนี้
ศึกที่ผาแดงจึงเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ของพันธมิตรซุนกวนและเล่าปี่ ขณะเดียวกัน
เล่าปี่และจิวยี่ก็นำทหารไล่ติดตามตีต่อเนื่อง โจโฉจึงจำต้องถอยทัพกลับขึ้นเหนือ
แล้วสั่งให้โจหยินเป็นแม่ทัพอยู่รักษาเมืองกังเหลง เพื่อรับมือกับจิวยี่ต่อไป
อธิบายเสริม
หลอก้วนจงบรรยายรายละเอียดในนิยายไว้อย่างมีสีสัน
โดยกล่าวถึงตอนที่ขงเบ้งเดินทางมาถึงง่อก๊ก แล้วเข้าพบซุนกวน
เวลานั้นเหล่าขุนนางในง่อก๊กมีความเห็นเรื่องการศึกกับโจโฉแตกแยกเป็น 2
ฝ่าย
ฝ่ายบุ๋นนำโดยเตียวเจียวเสนอให้ยอมสวามิภักดิ์ต่อโจโฉ
โดยให้เหตุผลว่ากองทัพของโจโฉมีจำนวนมหาศาลถึงรบไปก็มีแต่จะแพ้และสร้างความเดือดร้อนแก่ให้ราษฎรชาวกังหนำ
ส่วนฝ่ายบู๊ซึ่งนำโดยพวก อุยกาย เทียเภา ฮันต๋ง
เสนอให้รบ โดยให้เหตุผลสำคัญ ว่าดินแดนกังหนำนี้แม้จะมีทหารน้อยกว่า
แต่ก็มีแม่น้ำแยงซีไหลผ่าน เป็นปราการธรรมชาติและชัยภูมิที่มั่นคง
เหมาะสมแก่การตั้งรับ อีกทั้งเหล่าแม่ทัพนายกองของกังหนำทุกคนต่างก็พร้อมที่จะสู้ยอมตายให้แก่ตระกูลซุน
ซุนกวนยังคงลังเลใจ จึงปรึกษากับโลซก
ซึ่งเวลานั้นโลซกได้ถือโอกาสเชิญขงเบ้งให้เข้าพบกับซุนกวน
ฝ่ายขงเบ้งก็ได้ตอบโต้กับขุนนางที่เสนอให้ยอมจำนนอย่างเผ็ดร้อน
กล่าววาจากระตุ้นทิฐิมานะของซุนกวน แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจตัดสินใจได้ว่าควรทำศึกดีหรือไม่
ซุนกวนจึงขอเวลาคิดตรึกตรองก่อน ดังนั้น
โลซกจึงแนะนำขงเบ้งว่าหากต้องการเกลี้ยกล่อมซุนกวนให้ได้ผล
จำต้องเข้าเจรจากับจิวยี่
ซึ่งเป็นบุคคลที่ซุนกวนเชื่อฟังมากที่สุดในด้านการทหารและเรื่องราวภายนอก
จิวยี่ขณะนั้นกำลังฝึกฝนทหารที่ชีสอง หลังจากทราบข่าวขงเบ้งเดินทางมาพบซุนกวน
เขาจึงรีบเดินทางกลับง่อ และด้วยการประสานงานของโลซก
ทำให้จิวยี่และขงเบ้งได้เผชิญหน้ากัน
การเข้าพบกันระหว่างขงเบ้งและจิวยี่ถือว่าเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญอันนำไปสู่ศึกผาแดง
จิวยี่และขงเบ้งได้สนทนาและถกเถียงกันถึงสถานการณ์บ้านเมืองและเหตุผลของการก่อสงคราม
ซึ่งในนิยายนั้นจะพบว่าแท้จริงแล้วจิวยี่ก็มีเจตนาคิดจะสู้ศึกอยู่แล้ว
แต่เขาอาจจะไม่ต้องการเป็นพันธมิตรกับเล่าปี่
หรือยังไม่ได้มีความมั่นใจเต็มร้อยในการทำศึก
หรือยังรวมไปถึงต้องการทดสอบปัญญาและไหวพริบของขงเบ้ง
ฝ่ายขงเบ้งเองก็รู้เจตนา
จึงต้องการยั่วโทสะของจิวยี่ให้ระเบิดออก
ขงเบ้งจึงนำบทกลอนซึ่งอ้างว่าโจโฉเป็นผู้แต่งขึ้นเพื่อประกอบตำหนักตั้งเซ็กไต๋ซึ่งสร้างขึ้นที่เมืองเย่
โดยมีความว่า เมื่อสร้างตำหนักเสร็จแล้ว ก็จะนำหญิงงามเข้ามาไว้
โดยเฉพาะพี่น้องสองเกี้ยว นางไต้เกี้ยวและนางเสียวเกี้ยว
ภรรยาหม้ายของซุนเซ็กและภรรยาของจิวยี่
ซึ่งได้รับการเชิดชูว่าเป็นยอดหญิงงามแห่งกังหนำ ด้วยเหตุนี้ จิวยี่จึงบังเกิดโทสะ
แล้วประกาศว่าจะไม่ขออยู่ร่วมโลกกับโจโฉอีก
จากนั้นจึงสัญญาว่าจะตกลงจับมือเป็นพันธมิตรกับเล่าปี่เพื่อต้านโจโฉ
จากนั้นจิวยี่จึงเข้าพบซุนกวน
ภายใต้คำแนะนำทางทหารของจิวยี่ ทำให้ซุนกวนตัดสินใจตอบรับการเจรจากับขงเบ้ง
พันธมิตรระหว่างเล่าปี่และซุนกวนเพื่อต่อต้านโจโฉก็ถือกำเนิดขึ้น
ซุนกวนตัดสินใจมอบกระบี่อาญาสิทธิ์และอำนาจการบัญชาการทหารทั้งหมดให้จิวยี่
แล้วซุนกวนจึงแต่งตั้งจิวยี่เป็นแม่ทัพใหญ่ เทียเภาเป็นรองแม่ทัพ
โลซกเป็นที่ปรึกษากองทัพ เตรียมทำศึกกับโจโฉ โดยตั้งมั่นกองทัพเพื่อทำศึกที่ผาแดง
หรือ เซ็กเพ๊ก ซึ่งสงครามครั้งนี้ก็ได้กลายเป็น 1 ใน
3 ศึกใหญ่ที่สุดของเรื่องสามก๊ก
ส่งผลให้ขั้วอำนาจใหญ่ของแผ่นดินถูกแบ่งแยกออกเป็น 3
ฝ่าย ก่อเป็นรากฐานของสามก๊กในภายหลัง
หลอก้วนจงบรรยายเรื่องราวในนิยายสามก๊กช่วงนี้ไว้น่าสนุก
มีรายละเอียดของแผนการมากมาย
ทำให้ศึกผาแดงกลายเป็นศึกที่มีเรื่องราวที่โด่งดังที่สุดในสามก๊ก ในศึกนี้
จิวยี่ได้ดำเนินแผนการมากมายเพื่อให้ทัพง่อก๊กสามารถใช้แผนเพลิงพิฆาตเพื่อเผาทำลายทัพเรือของโจโฉให้ได้
แต่ในนิยายนั้น กลายเป็นว่าได้มอบบทบาทเหล่านี้ให้แก่ขงเบ้งไปแทบทั้งหมด
จิวยี่จึงโดนภาพลักษณ์ของคนขี้อิจฉาที่คอยหาหาหนทางกำจัดขงเบ้ง
เพราะเขาหวาดระแวงว่าขงเบ้งจะกลายเป็นศัตรูสำคัญของง่อก๊กในวันหน้า
นอกจากนี้ ในบันทึกประวัติศาสตร์ “เจียงเปียวจ้วน”
ซึ่งแทรกไว้ในพระราชประวัติเล่าปี่
ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ระหว่างที่จิวยี่และโลซกนำทัพไปร่วมกับเล่าปี่ที่แฮเค้าเพื่อเตรียมเปิดศึกกับโจโฉที่ผาแดง
ส่วนขงเบ้งก็ยังคงอยู่ที่ง่อก๊ก
ในบันทึกมีรายละเอียดว่า จิวยี่นำทัพเรือไปสมทบกับเล่าปี่
เมื่อเล่าปี่ทราบว่าจิวยี่เดินทางมาถึงก็ส่งคนไปเตรียมการต้อนรับ
แต่จิวยี่ได้แจ้งกับเล่าปี่ว่ามีกิจธุระมากมายที่ได้รับจากซุนกวน
ดังนั้นจึงไม่อาจเข้าไปเยี่ยมคารวะเล่าปี่ได้
จึงขอเชิญให้เล่าปี่มาเข้าพบที่ค่ายของตนแทน
เล่าปี่จึงเดินทางไปเข้าพบจิวยี่เพียงลำพัง
แม้กวนอูและเตียวหุยจะคัดค้าน แต่เล่าปี่ก็กล่าวว่า “จากนี้พวกเราทั้งสองฝ่ายต้องร่วมมือกัน
หากข้าไม่ยอมไปพบ จะเรียกว่าเป็นพันธมิตรกันได้อย่างไร”
เล่าปี่เดินทางไปพบกับจิวยี่ค่ายเพียงลำพัง
แล้วสอบถามจิวยี่ว่า “เราจะเปิดศึกกับโจโฉในครั้งนี้
ไม่ทราบว่าพวกท่านมีกำลังทหารมากน้อยเพียงใด”
จิวยี่ตอบกลับว่า “30,000 คน”
เล่าปี่ถามกลับ “แค่นี้เพียงพอหรือ”
จิวยี่จึงตอบกลับว่า “เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
แล้วข้าพเจ้าจะแสดงให้ท่านเล่าปี่ได้เห็นว่า จะเอาชนะโจโฉได้อย่างไร”
เล่าปี่ฟังแล้วก็กล่าวว่าอยากจะพบกับโลซก
จิวยี่จึงกล่าวตอบว่า “หากท่านต้องการพบกับจื่อจิ้ง (โลซก)
ก็เชิญได้เลย ส่วนขงเบ้งนั้นน่าจะกลับมาหาท่านภายใน 3
วัน”
เล่าปี่รู้สึกไม่เชื่อคำของจิวยี่ที่ว่าจะสามารถทำศึกเอาชนะโจโฉได้ด้วยกำลังเพียงเท่านี้
จึงมอบกำลังทหารให้กวนอูและเตียวหุยคนละสองพันเพื่อเตรียมพร้อมไว้
หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน
อย่างไรก็ตาม
จิวยี่ก็สามารถได้ชัยชนะเหนือโจโฉในศึกผาแดงจริงๆ
นักประวัติศาสตร์บางส่วนที่ยึดถือบันทึกนี้
จึงเชื่อว่าเล่าปี่ย่อมมีความเสียดายมากที่ไม่ได้แบ่งกำลังทหารให้แก่จิวยี่เพื่อมีส่วนร่วมในชัยชนะ
ในนิยายสามก๊กกล่าวว่า
จิวยี่เจ็บใจไม่น้อยจากการที่ฝ่ายเล่าปี่เข้ามาแย่งชิงผลประโยชน์หลังจากศึกผาแดง
เพราะฝ่ายเล่าปี่สามารถชิงหัวเมืองสำคัญทางตอนใต้ของเกงจิ๋วไว้ได้แทบทั้งหมด
ส่วนฝ่ายง่อนั้นแทบไม่สามารถขยายดินแดนออกไปได้เลย ทั้งที่เหนื่อยยากในการทำศึกมากที่สุด
ดังนั้นความไม่พอใจที่จิวยี่มีต่อขงเบ้งจึงน่าจะมาจากจุดนี้มากกว่า
ปีค.ศ.209 จิวยี่ร่วมกับเทียเภา
ระดมกองทัพใหญ่เข้าโจมตีหัวเมืองในหนานจวิ้น (ถือว่าเป็นจังหวัดเดียวกับเกงจิ๋ว)
โดยจิวยี่มีเป้าหมายหลักคือบุกโจมตีเมืองกังเหลง ซึ่งมีโจหยินคอยเฝ้ารักษาอย่างเข้มแข็ง
การศึกดำเนินไปอย่างดุเดือด
จิวยี่สั่งการให้กำเหลงประจำการอยู่ที่อิเหลง ฝ่ายโจหยินเห็นเช่นนั้น
จึงเคลื่อนทัพเข้าบุกโจมตีค่ายหลักของกำเหลงอย่างหนัก
ลิบองจึงส่งสารไปขอให้จิวยี่ส่งกำลังมาช่วย ดังนั้น จิวยี่จึงส่งเล่งทองเป็นทัพหลังร่วมกับลิบองเพื่อไปช่วยเหลือกำเหลง
จากนั้นเมื่อทั้งหมดสามารถช่วยกำเหลงแก้ไขสถานการณ์ได้แล้ว
จิวยี่ก็นำทัพข้ามฝั่งแม่น้ำไปเตรียมรับการโจมตีจากโจหยินทันที
ศึกระหว่างจิวยี่และโจหยินดำเนินไปตลอดวัน
แต่ในระหว่างการศึก จิวยี่กลับพลาดพลั้งโดนทหารของโจหยินยิงเกาทัณฑ์เข้าใส่จนได้รับบาดเจ็บที่บริเวณอกด้านขวา
จึงจำต้องล่าถอยกลับเข้าค่ายพัก
เมื่อโจหยินทราบข่าวอาการบาดเจ็บของจิวยี่
จึงตัดสินใจนำทัพบุกโจมตีที่ค่ายของจิวยี่ทันที
แต่ฝ่ายจิวยี่ก็ได้ออกไปปลุกขวัญกำลังทหารแม้ว่าจะยังบาดเจ็บอยู่
ทำให้ขวัญทหารพุ่งขึ้นถึงขีดสุด แล้วยังอาศัยการบาดเจ็บของตนให้เป็นประโยชน์
ตระเตรียมกำลังดักซุ่มไว้ก่อน ทำให้สามารถตอบโต้ทัพของโจหยินจนแตกพ่ายกลับไป
โจหยินจำต้องถอนกำลังออกจากเมืองกังเหลง
แล้วกลับไปตั้งมั่นอยู่ที่เมืองเซียงหยางทางตอนเหนือของเกงจิ๋วในที่สุด
จากศึกนี้ ได้ส่งผลให้ดินแดนเกงจิ๋วตอนกลางตกอยู่ในการครอบครองของซุนกวนได้สำเร็จ
(สำหรับเกงจิ๋วส่วนล่าง ได้ตกอยู่ในการครองครองของเล่าปี่ในช่วงเวลาเดียวกัน)
จากผลงานครั้งสำคัญนี้ ซุนกวนมีความยินดีมาก
จึงประกาศแต่งตั้งให้จิวยี่ขึ้นเป็นรองขุนพล “เพียนเจียงจวิน”
ควบตำแหน่งเจ้าเมืองหนานจวิ้น (The Grand Administrator of
Nan Commandery) มีอำนาจบัญชาการทหารทั้งหมดของง่อก๊กเป็นรองจากซุนกวนเพียงผู้เดียว
แล้วยังมีอำนาจปกครองดูแลแถบหนานจวิ้นทั้งหมดด้วย
จากนั้น
จิวยี่ก็นำทหารเข้าประจำการอยู่ที่เมืองกังเหลงเพื่อเตรียมรับศึกต่อไปในภายหน้า
ขณะเดียวกัน เล่าปี่ได้อาศัยสถานะที่ดำรงตำแหน่งแม่ทัพซ้ายของราชสำนักฮั่น
เข้าควบคุมเหล่าขุนนางและเจ้าพนักงานในเมืองกงอั๋น ทำให้ได้กำลังมาเพิ่มมาก
แล้วเล่าปี่ก็เดินทางไปเยือนซุนกวนต่อมา จิวยี่เห็นเป็นโอกาสที่จะเข้าควบคุมเล่าปี่
จึงเสนอแผนต่อซุนกวน ให้หาทางแยกตัว เล่าปี่ ออกจาก กวนอู และ เตียวหุย
เพื่อที่จะได้ใช้งานพวกเขาในการทำศึกกับโจโฉเพื่อปราบปรามภาคเหนือต่อไป
โดยจิวยี่ได้เสนอแผนการต่อซุนกวนว่า
ให้กักตัวเล่าปี่ไว้ที่เมืองง่อ แล้วก็ประทานตำแหน่งขุนนาง มีทรัพย์สมบัติ
ยศถาบรรดาศักดิ์ให้ เพราะจิวยี่มีความเห็นว่า
ที่ผ่านมาเล่าปี่ต้องประสบความเหนื่อยยากลำบากมาทั้งชีวิต
ดังนั้นหากซุนกวนเลี้ยงดูปูเสื่อเล่าปี่ให้อย่างดีแล้ว
ก็จะทำให้สามารถควบคุมตัวเล่าปี่ไว้ได้ไม่ยาก
สำหรับกวนอูและเตียวหุยนั้น
จิวยี่มีความเชื่อว่าหากสามารถใช้งานพวกเขาได้แล้ว
ก็จะสามารถนำชัยชนะสู่การทำศึกในระยะยาวได้
แต่ซุนกวนกลับไม่เห็นด้วยกับแผนการนี้เท่าใดนัก
ซุนกวนมีความคิดว่าการควบคุมเล่าปี่นั้นเป็นเรื่องยากยิ่ง
เมื่อพิจารณาว่าแม้กระทั่งคนที่มีอำนาจและปราดเปรื่องอย่างโจโฉเองก็ยังไม่สามารถควบคุมเล่าปี่ได้เลย
เมื่อคิดคำนวณแล้ว เรื่องนี้จึงเป็นยากเกินไป
ดังนั้นซุนกวนจึงไม่รับข้อเสนอของจิวยี่ในครั้งนี้
ปีค.ศ.211 จิวยี่ทราบข่าวว่า
เล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเอ๊กจิ๋ว (เสฉวน) กำลังจะเปิดศึกกับ เตียวฬ่อ เจ้าเมืองฮั่นจง
จิวยี่จึงเข้าพบซุนกวนแล้วเสนอแผนการพิชิตภาคเหนือครั้งใหญ่
รายละเอียดของแผนการนั้น จิวยี่เสนอว่า ขั้นแรก
เขาจะนำทัพร่วมกับแม่ทัพซุนอู่ (ซุนยู่)
แล้วร่วมกันนำกองทัพใหญ่บุกพิชิตดินแดนจ๊กก๊ก (ซู่) หรือเสฉวนทางตะวันตก
(เกี่ยวกับซุนอู่
เขามีศักดิ์เป็นญาติสนิทของซุนกวน มีตำแหน่งทางทหารสูง
แล้วยังเคยนำทัพร่วมกับจิวยี่ทำศึกตีเมืองกังแฮมาแล้ว
ดังนั้นจิวยี่จึงน่าจะมีความเชื่อถือและไว้วางใจในซุนอู่อย่างมากก็เป็นได้
จึงได้เสนอต่อซุนกวนให้มอบหมายหน้าที่สำคัญเช่นนี้ให้)
ถ้าการบุกโจมตีประสบผล ขั้นต่อมา
เขาจะให้ซุนอู่ปักหลักที่เสฉวน แล้วบุกโจมตีเตียวฬ่อต่อ
จากนั้นก็จะร่วมเป็นพันธมิตรกับม้าเฉียวแห่งเสเหลียง
ร่วมกันเคลื่อนทัพบุกโจมตีโจโฉพร้อมกันจากทางภาคเหนือและตะวันตก
ส่วนขั้นสุดท้ายนั้น
จิวยี่จะย้อนกลับมาตั้งหลักที่เกงจิ๋ว
แล้วจึงบัญชากองทัพใหญ่ร่วมกับซุนกวนที่เกงจิ๋วเพื่อบุกโจมตีเมืองเซียงหยางมาให้ได้
เมื่อนั้น ง่อก๊กก็จะสามารถครอบครองดินแดนเกงจิ๋วไว้ได้แทบทั้งหมด
จากนั้นจึงใช้เมืองเซียงหยางเป็นฐานที่มั่น สำหรับบุกโจมตีโจโฉทางภาคเหนือต่อไป
จากรายละเอียดของแผนการทั้งหมดที่จิวยี่เสนอมานี้
ซุนกวนได้เห็นชอบด้วย แล้วให้ดำเนินการตามแผนทันที
ดังนั้น
จิวยี่จึงเดินทางกลับไปที่เมืองกังเหลงเพื่อตระเตรียมกำลังพลให้พร้อมสำหรับดำเนินตามแผนการที่วางไว้
แต่เมื่อถึงที่ปาคิว อาการบาดเจ็บของเขาก็กำเริบอย่างรุนแรง
ในที่สุด จิวยี่ก็ล้มป่วยลง
แล้วเสียชีวิตด้วยอายุเพียง 36 ปีเท่านั้น
เฉินโซ่วบันทึกทิ้งท้ายถึงบุคลิกภาพของจิวยี่ว่า
จิวยี่เป็นบุคคลที่เปี่ยมล้นด้วยสติปัญญา ความสามารถ มีจิตใจกว้างขวาง
มีความสามารถในการพูดเจรจาเป็นเยี่ยม อีกทั้งเชี่ยวชาญในด้านดนตรีอย่างสูง
เป็นที่รักและนับถือของผู้คนมากมาย
มีคำเปรียบเปรยถึงความสามารถทางดนตรีของจิวยี่ว่า
สามารถฟังเสียงดนตรีแล้วจับจุดที่ผิดพลาดได้ทันที
ในประวัติศาสตร์จีนนั้น
เป็นที่ยกย่องว่าจิวยี่เป็นยอดแม่ทัพผู้มีความสามารถทางกลยุทธ์และการทำศึกอย่างสูง
มีความสามารถเหนือล้ำข้ามผ่านเจ้านายของตนอย่างสองพ่อลูกซุนเกี๋ยนและซุนเซ็กด้วยซ้ำ
อธิบายเสริม
ในจดหมายเหตุของเฉินโซ่ว บทชีวประวัติโลซก
ได้บันทึกเกี่ยวกับวาระสุดท้ายของจิวยี่ไว้ว่า ก่อนที่จิวยี่จะสิ้นใจนั้น
เขารู้ตัวว่าป่วยหนัก ใกล้สิ้นใจแน่แล้ว จึงเขียนหนังสือส่งถึงซุนกวน มีใจความว่า
“บัดนี้ แผ่นดินกำลังอยู่ในสภาวะปั่นป่วนวุ่นวาย
โจโฉมีอำนาจปกครองเปี่ยมล้นเหนือดินแดนจงหยวน
เล่าปี่เองก็เปี่ยมด้วยยอดขุนพลมากมาย ขงเบ้งก็เป็นผู้มีสติปัญญาล้ำเลิศ
อาจเกลายป็นภัยในวันหน้าได้”
“โลซกนั้นเป็นผู้มีสติปัญญาความสามารถ
วิสัยทัศน์กว้างไกล หากซุนกวนเชื่อถือในความเห็นของข้าพเจ้า
ก็เห็นควรที่จะแต่งตั้งให้โลซกขึ้นมารับหน้าที่ดูแลกองทัพต่อไป
จากนั้นจิวยี่ก็สิ้นใจลง
จากเรื่องราวทั้งหมดของจิวยี่ซึ่งเฉินโซ่วบันทึกไว้ในจดหมายเหตุสามก๊ก
ทำให้เราได้เห็นว่าเรื่องราวของเขามีความแตกต่างไปจากในนิยายที่หลอก้วนจงแต่งเติมขึ้นมาก
ซึ่งการค้นคว้าในเชิงประวัติศาสตร์นั้น ทำให้เป็นที่ยอมรับกันในยุคปัจจุบันแล้วว่า
ผู้มีส่วนสำคัญต่อการศึกผาแดงและทำให้โจโฉต้องพ่ายแพ้กลับไปนั้น
มิใช่ขงเบ้งดังที่ปรากฏในนิยายสามก๊ก แต่แท้จริงแล้วเป็นจิวยี่ ซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่
และยังเป็นผู้ดำเนินแผนการหลัก
ซึ่งได้ช่วยแจกแจงวิเคราะห์สถานการณ์โดยรวมให้แก่ซุนกวนตั้งแต่ก่อนหน้าที่จะเริ่มจับมือเป็นพันธมิตรกับเล่าปี่เสียด้วยซ้ำ
ดังนั้น การที่จิวยี่แนะนำให้ซุนกวนเข้าร่วมศึก
อิทธิพลของขงเบ้งไม่ได้มีผลมากนัก
เสมือนกับในนิยายซึ่งได้เขียนให้จิวยี่เป็นฝ่ายเสียรู้ทางปัญญาและถูกยั่วยุจากขงเบ้งบ่อยครั้ง
อีกทั้งความเป็นตัวอิจฉาและผู้ร้ายในนิยายซึ่งถูกมอบให้แก่จิวยี่นั้น
จึงทำให้ไม่อาจใช้นิยายสามก๊กเป็นตัวตัดสินตัวตนหรือคุณค่าของจิวยี่ในเชิงประวัติศาสตร์ได้
เผยซงจือได้แทรกเชิงอรรถอธิบายเสริมว่า
นางง่อฮูหยิน ภรรยาหม้ายของซุนเกี๋ยนได้เคยกล่าวถึงตัวจิวยี่ว่า “กงจิ๋น
(จิวยี่) ประดุจลูกในไส้ของเราผู้หนึ่ง”
เทียเภา แม่ทัพใหญ่ของง่อก๊กเองก็ได้กล่าวถึงจิวยี่ว่า
“การอยู่ร่วมกับ จิวยี่ กงจิ๋น
เปรียบเสมือนกับสุราที่ยังมิได้ลิ้มลอง หากต้องการรู้ว่ารสชาติเป็นเช่นไร
เจ้าต้องลิ้มรสนั้นด้วยตนเอง”
สาเหตุที่เทียเภากล่าวเช่นนี้
อาจเพราะเทียเภานั้นเป็นขุนพลอาวุโสของง่อก๊กที่เคยมีเรื่องไม่พอใจจิวยี่อย่างหนัก
เมื่อครั้งที่จิวยี่ได้ตำแหน่งแม่ทัพเหนือกว่าตนเมื่อคราวศึกผาแดง
ในครั้งนั้น จิวยี่ได้รับตำแหน่งแม่ทัพฝ่ายซ้าย
ส่วนเทียเภาได้เป็นแม่ทัพฝ่ายขวา
ทำให้อำนาจบัญชาการรบสูงสุดตกเป็นของจิวยี่ซึ่งมีอายุน้อยกว่ายี่สิบกว่าปี
เทียเภาไม่พอใจมาก แต่ฝ่ายจิวยี่กลับแสดงความใจกว้าง
แล้วให้ความคารวะเทียเภาเช่นเดิม เทียเภาบังเกิดความละอายใจ จึงยอมลดทิฐิ
เข้าไปขออภัยต่อจิวยี่ด้วยตนเอง จากนั้นก็ช่วยจิวยี่ทำศึกอย่างเต็มกำลัง
จากจุดนี้จึงแสดงให้เห็นถึงความรักใคร่และความนิยมชมชอบที่ผู้คนมากมายในง่อก๊กมีต่อจิวยี่
แต่หลอก้วนจง ผู้แต่งนิยายสามก๊กได้เสกสรรปั้นแต่งและมอบบทบาทของผู้ร้ายใจแคบ
ที่มีใจริษยาขงเบ้งให้แก่เขา เพื่อให้เป็นผู้ร้ายและคู่ปรับของขงเบ้งในนิยาย
เพื่อให้เรื่องราวมีสีสันและสนุกสนานยิ่งขึ้น
ดังนั้นเรื่องราวของจิวยี่เท่าที่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
จึงแสดงให้เห็นถึงบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งอุทิศทั้งชีวิตให้แก่ผู้เป็นเจ้านายและแคว้นของตนเองจนถึงวาระสุดท้ายอย่างสมศักดิ์ศรีแล้ว
สรุปข้อแตกต่างเรื่องราวของจิวยี่
ระหว่างจดหมายเหตุและนิยาย
1.ในนิยายสามก๊ก
หลอก้วนจงได้เสริมแต่งเรื่องราวของจิวยี่ให้แตกต่างออกไปจากในประวัติศาสตร์ค่อนข้างมาก
โดยเฉพาะด้านบุคลิกและนิสัยใจคอ ซึ่งส่งผลให้จิวยี่กลายเป็นตัวร้าย
ในฐานะคู่ปรับที่มีใจริษยาขงเบ้งอยู่ตลอดแทบทั้งเรื่อง กระทั่งเมื่อป่วยหนัก
ก็ได้กล่าววาทะว่า “ฟ้าให้จิวยี่มาเกิดแล้ว
ไยต้องส่งขงเบ้งมาเกิดด้วย” แล้วจิวยี่ก็กระอักเลือดจนสิ้นใจ
2.ในนิยายสามก๊กนั้น
จะพบว่าสาเหตุที่จิวยี่ตัดสินใจเปิดศึกกับโจโฉที่ผาแดงค่อนข้างเป็นเรื่องที่ไม่สมกับบุคลิกการเป็นแม่ทัพใหญ่ของจิวยี่ที่ต้องมีความสุขุมเยอกเย็นและเห็นแก่บ้านเมืองมากกว่าเรื่องส่วนตัว
ในนิยายนั้น ได้เล่าว่า เหตุผลสำคัญที่ทำให้จิวยี่ยอมเปิดศึกก็คือเรื่องที่เขาโดนขงเบ้งใช้แผนยั่วยุแล้วกระตุ้นโทสะด้วยเรื่องของนองสองเกี้ยว
ซึ่งทั้งสองนางนั้น คนหนึ่งเป็นพี่สะใภ้ อีกคนเป็นภรรยาของจิวยี่
แต่จากเนื้อหาในจดหมายเหตุทั้งหมด จะพบว่าแท้จริงแล้วจิวยี่มีความคิดที่จะเปิดศึกกับโจโฉตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ
3.ในนิยาย
จะพบว่าเมื่อจิวยี่บัญชากองทัพบุกตีเมืองกังเหลงนั้น
เขาได้วางแผนใช้อาการบาดเจ็บของตนให้เป็นประโยชน์
เพื่อล่อลวงโจหยินให้นำทัพออกมาสู้ศึกที่นอกเมือง
แล้วจิวยี่จึงให้กองทัพที่ดักซุ่มไว้ตอบโต้กลับจนสามารถเอาชนะได้ ส่งผลให้โจหยินจำต้องถอยทัพทั้งหมดกลับขึ้นเหนือไป
แต่ขงเบ้งซึ่งได้คาดการณ์ไว้แล้ว
จึงได้ฉวยโอกาสนี้สั่งให้จูล่งนำทหารเข้าไปลอบยึดเมืองกังเหลงไว้แทน
จิวยี่จึงมีความเจ็บแค้นต่อขงเบ้งมาก กระทั่งอาการบาดเจ็บกำเริบหนักจนกระอักเลือด
ซึ่งในนิยายนั้น
จะพบว่าเหตุการณ์ที่ขงเบ้งใช้กลอุบายชิงเมืองมานี้เป็นเรื่องที่เอาเปรียบต่อจิวยี่ซึ่งเป็นพันธมิตรอย่างมาก
แต่ในจดหมายเหตุกลับไม่ได้มีเรื่องราวบันทึกไว้เช่นนั้น
เพราะเวลานั้นทั้งสองฝ่ายล้วนมีสถานภาพเป็นพันธมิตรที่สำคัญกันอยู่
อีกทั้งเวลานั้นเล่าปี่เองก็ยังมีกำลังทหารที่อ่อนแอเกินกว่าจะขัดแย้งกับซุนกวนแล้วหันไปต่อสู้กับโจโฉเพียงลำพังได้
ดังนั้นในความเป็นจริงแล้ว
การกระทำเช่นนี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อเล่าปี่และขงเบ้งเท่าไรเลย
4.หากอ้างอิงจากในจดหมายเหตุบทประวัติโลซก
จะมีการกล่าวถึงเรื่องราวการขอยืมเมืองกังเหลงของเล่าปี่และขงเบ้ง
ซึ่งได้อาศัยข้ออ้างสำคัญที่ว่า เวลานั้นเล่าปี่เพิ่งแต่งงานกับน้องสาวของซุนกวน
ยังปราศจากฐานที่มั่นที่เข้มแข็งพอสำหรับตั้งตัว
เล่าปี่จึงขอยืมเมืองกังเหลงเพื่อให้เป็นทั้งของขวัญและสินสอดแต่งงาน
อย่างน้อยก็เพื่อช่วยให้เล่าปี่มีโอกาสสามารถตั้งตัวได้
จากนั้นภายหลังเมื่อเล่าปี่นำทัพบุกชิงเสฉวนทางตะวันตกแล้ว
ก็จะคืนเมืองให้กับซุนกวนต่อไป
นอกจากนี้ยังมีบันทึกเจียงเปียวจ้วน
ซึ่งแทรกในพระราชประวัติเล่าปี่
ได้บอกเล่าถึงเรื่องที่ซุนกวนจำยอมให้เล่าปี่ได้ยืมเมืองกังเหลงไป
เพราะเวลานั้นจิวยี่กำลังรับตำแหน่งเจ้าเมืองหนานจวิ้น
มีหน้าที่ดูแลหัวเมืองเกงจิ๋วที่อยู่ในเขตแดนของง่อก๊ก
แต่เนื่องจากเวลานั้นกำลังพลของง่อก๊กไม่ได้มีเพียงพอที่จะแบ่งกำลังไปดูแลเมืองกังเหลงซึ่งอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำแยงซีได้นัก
ดังนั้นซุนกวนจึงจำยอมให้เล่าปี่ยืมเมืองไปก่อน โดยที่มีโลซกเป็นผู้ค้ำประกันสัญญาการยืมเมืองครั้งนี้
ซึ่งหากจะมีเรื่องที่จิวยี่ไม่พอใจเล่าปี่และขงเบ้ง ก็น่าจะเป็นเรื่องนี้มากกว่า
จึงไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่จิวยี่มีความริษยาต่อขงเบ้งแต่อย่างใด
Source : https://my.dek-d.com/eagle/writer/viewlongc.php?id=10590&chapter=4
No comments:
Post a Comment