ผู้เข้าสนามรบคอยข้าศึกก่อนย่อมสดชื่น
ผู้เข้าสนามรบสู้ศึกฉุกละหุกทีหลังย่อมอิดโรย
ฉะนั้น
ผู้สันทัดการรบ
จึงกระทำต่อผู้อื่นใช่ถูกผู้อื่นกระทำ
ที่สามารถทำให้ข้าศึกมาเอง
ก็เพราะล่อด้วยประโยชน์ที่สามารถทำให้ข้าศึกมิกล้าเข้า
ก็เพราะเผยให้เห็นภัย
ฉะนั้น
ข้าศึกสดชื่นพึงให้อิดโรย
อิ่มพึงให้หิว
สงบพึงให้เคลื่อน
พึงดีที่ข้าศึกมิอาจหนุนช่วย
พึงรุกที่ข้าศึกมิได้คาดคิด
เดินทัพพันลี้มิเหนื่อย
เพราะเดินในที่ปลอดคน
โจมตีก็ต้องได้เพราะข้าศึกมิอาจป้องกัน
รักษาก็ต้องมั่นคง
เพราะข้าศึกมิอาจเข้าตี
ฉะนั้น ผู้สันทัดการโจมตี
ข้าศึกมิรู้ที่จะตั้งรับ
ผู้สันทัดการตั้งรับ
ข้าศึกมิรู้ที่จะโจมตี
แยบยลแสนจะแยบยล
จนมิเห็นแม้วี่แววพิสดารสุดพิสดาร
จนไร้สิ้นซึ่งสำเนียง
ฉะนั้น
จึงสามารถบัญชาชะตากรรมข้าศึก
รุกก็มิอาจต้านทาน เพราะตีจุดอ่อนข้าศึก
ถอยก็มิอาจประชิด
เพราะเร็วจนสุดจะไล่
ฉะนั้นเมื่อเราจักรบ
แม้ข้าศึกมีป้อมสูงคูลึก
ก็จำต้องรบกับเรา
เพราะโจมตีจุดที่ข้าศึกต้องช่วย
เมื่อเราไม่รบ
แม้ป้องกันเพียงขีดเส้นเขต
ข้าศึกก็มิอาจรบด้วย
เพราะได้ถูกชักนำไปอื่น
ฉะนั้น ให้ข้าศึกเผยรูปลักษณ์แต่เราไร้รูปลักษณ์
เราจึงรวมศูนย์
แต่ข้าศึกกระจาย
เรารวมเป็นหนึ่ง
ข้าศึกกระจายเป็นสิบ
เอาสิบไปตีหนึ่งของข้าศึก
เราก็มากแต่ข้าศึกน้อย
เมทื่อเอามากไปตีน้อย
ผู้ที่เรารบด้วยก็มีจำกัด
พื้นที่ซึ่งเรากำหนดเป็นสนามรบ
มิควรให้รู้
เมื่อมิรู้
ข้าศึกจำต้องเตรียมการมากด้าน
เมื่อเตรียมการมากด้าน
กำลังที่เรารบด้วยก็น้อย
ฉะนั้น เตรียมหน้า
หลังก็น้อย
เตรียมหลัง
หน้าก็น้อย
เตรียมซ้าย
ขวาก็น้อย
เตรียมขวา
ซ้ายก็น้อย
เตรียมทุกด้าน
ทุกด้านก็น้อย
ฝ่ายน้อย
เพราะเตรียมรับข้าศึก
ฝ่ายมาก
เพราะให้ข้าศึกเตรียมรับตน
ฉะนั้น
เมื่อรู้สนามรบ
รู้วันเวลารบ
ก็ออกรบได้ไกลพันลี้
หากมิรูสนามรบ
มิรู้วันเวลารบ
ซ้ายก็มิอาจช่วยขวา
ขวาก็มิอาจช่วยซ้าย
หน้าก็มิอาจช่วยหลัง
หลังก็มิอาจช่วยหน้า
จักรบไกลหลายสิบลี้
หรือใกล้ไม่กี่ลี้ได้ไฉน
ตามการคาดคะเนของเรา
ชาวแคว้นเย่แม้ทหารจะมาก
จักเกิดผลแพ้ชนะได้ไฉน
ฉะนั้น จึงกล่าวว่า
ชัยชนะสร้างขึ้นได้
ข้าศึกแม้จะมาก
ก็อาจทำให้รบมิได้
ฉะนั้น
พึงวินิจฉัยเพื่อรู้แผนซึ่งจะเกิดผลได้เสีย
พึงดำเนินการเพื่อรู้เหตุความเป็นไป
พึงสังเกตการณ์เพื่อรู้จุดเป็นตาย
พึงลองเข้าตีเพื่อรู้ส่วนการเกิน
ฉะนั้น การเผยรูปลักษณ์ชั้นเลิศ
จึงปราศจากเค้าเงื่อน
เมื่อปราศจากเค้าเงื่อน
จารชนที่แฝงตัวก็มิอาจรู้เห็น
ผู้มีสติปัญญาก็มิอาจใช้อุบาย
แม้ชัยชนะจะปรากฎต่อผู้คนเพราะรูปลักษณ์
คนทั้งหลายก็มิอาจรู้
ผู้คนล่วงรู้ว่ารูปลักษณ์ทำให้เราชนะ
แต่ไม่รู้รูปลักษณ์ของเราว่าเหตุไฉนจึงชนะ
ฉะนั้น ชัยชนะจึงไม่ซ้ำซาก
แต่จักมิรู้สิ้นตามรูปลักษณ์
รูปลักษณ์การรบดุจดั่งน้ำ
รูปลักษณ์ของน้ำ
เลี่ยงที่สูงลงที่ต่ำ
รูปลักษณ์การรบ
เลี่ยงที่แข็งตีที่อ่อน
น้ำไหลไปตามสภาพพื้นที่การรบชนะตามสภาพข้าศึก
ฉะนั้น การรบจึงไม่มีรูปลักณษณ์ตายตัวน้ำ
ก็ไม่มีรูปร่างแน่นอน
ผู้สามารถเอาชนะขณะที่ข้าศึกเปลี่ยนแปลงเรียกว่าเทพ
ฉะนั้น
ห้าธาตุจึงไม่มีธาตุใดชนะตลอดกาล
สี่ฤดูก็ไม่อยู่คงที่เสมอไป
ดวงตะวันมีสั้นมียาว
ดวงเดือนก็มีขึ้นมีแรม
ภาคปฏิบัติ
"ผู้สันทัดการรบ
จึงกระทำต่อผู้อื่นใช่ถูกผู้อื่นกระทำ"
"ที่สามารถทำให้บข้าศึกมาเอง
ก็เพราะล่อด้วยประโยชน์"
"ที่สามารถทำให้ข้าศึกมิกล้าเข้า
ก็เพราะเผยให้เห็นภัย"
"สดชื่นให้อิดโรย"
"อิ่มพึงให้หิว"
"สงบพึงให้เคลื่อน"
"เดินพันลี้มิเหนื่อย
เพราะเดินในที่ปลอดคน"
"โจมตีก็ต้องยึดได้
เพราะข้าศึกมิอาจป้องกัน"
"รักษาก็ต้องมั่นง
เพราะข้าศึกมิอาจเข้าตี"
"ถอยก็มิอาจประชิด"
"โจมตีจุดที่ข้าศึกต้องช่วย"
"ข้าศึกเผยตัวแต่เราซ่อนแร้
เราจึงรวมแต่ข้าศึกกระจาย"
"เมื่อรู้สนามรบ
รู้วันเวลารบ
ก็ออกรบได้ไกลพันลี้"
"การเผยรูปลักษณ์ชั้นเลิศ
จึงปราศจากเค้าเงื่อน
เมื่อปราศจากเค้าเงื่อน
จารชนที่แฝงตัวมิอาจรู้เห็น
ผู้มีสติปัญญาก็มิอาจใช้อุบาย"
"ชัยชนะไม่ซ้ำซาก
แต่จักมิรู้สิ้นตามรูปลักษณ์"
"การรบไม่มีรูปลักษณ์ตายตัว"
Source : https://www.baanjomyut.com/library/the_art_of_war/19.html
No comments:
Post a Comment