แฮหัวตุ้น หรือ เซี่ยโหวตุ้น (Xiahou Dun) ชื่อรอง หยวนหราง (Yuanrang) ปีเกิดไม่แน่ชัด
เชื่อว่าเกิดปีค.ศ.160 เป็นชาวเฉียว เมืองเป่ย เฉินโซ่วบันทึกไว้ว่า
แฮหัวตุ้นเป็นทายาทรุ่นหลังของแฮหัวหยิง ยอดขุนพลที่มีชื่อเสียงในตอนต้นของราชวงศ์ฮั่น
ความจริงแล้วแฮหัวตุ้นเป็นคนในตระกูลเดียวกันกับโจโฉ
เพราะบิดาของโจโฉคือโจโก๋นั้นเดิมทีแล้วเป็นคนจากตระกูลแฮหัว
แต่ต่อมาได้ไปเป็นบุตรบุญธรรมของมหาขันทีโจเต็ง โจโฉจึงได้ใช้แซ่โจต่อมา ดังนั้น
แฮหัวตุ้นจึงเป็นลูกพี่ลูกน้องของโจโฉที่มีอายุไล่เลี่ยกันมากที่สุด และมีความสนิทสนม
ได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจมากที่สุดด้วย
เมื่ออายุ 14 ปี แฮหัวตุ้นได้ร่ำเรียนวิชาจากอาจารย์ในบ้านเกิด
เขาฝึกฝนทั้งวิชาทวน กระบี่ และศึกษาตำรา แต่ครั้งหนึ่ง
มีคนมากล่าวดูถูกอาจารย์ของเขา ดังนั้นเขาจึงสังหารคนผู้นั้นทิ้ง นับแต่นั้น
แฮหัวตุ้นจึงมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วว่าเป็นผู้มีอารมณ์เลือดร้อนและชอบใช้กำลังรุนแรง
แต่ขณะเดียวกันก็เป็นผู้มีความซื่อตรงและเที่ยงธรรมด้วย
เมื่อโจโฉเริ่มสะสมกำลังและอำนาจของตัวเองขึ้นในช่วงแรก
แฮหัวตุ้นได้ให้ความช่วยเหลือ ทำหน้าที่เป็นขุนพลนำทหารให้
และยังติดตามออกศึกแทบทุกครั้ง
หลังจากโจโฉได้เลื่อนขึ้นเป็นนายพลผู้เปี่ยมความหนักแน่น
ทำหน้าที่บังคับการกองทหารม้าเร็วของราชสำนักฮั่นแล้ว
ก็ได้แต่งตั้งแฮหัวตุ้นให้เป็นที่ปรึกษาทางทหาร ให้ส่งเขาไปประจำการอยู่ที่ไป่มา
จากนั้นแฮหัวตุ้นก็ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นนายพันบุกทะลวงฟัน “เจ๋อชงเซี่ยวเหว่ย” ควบตำแหน่งเจ้าเมืองต๋ง
ปีค.ศ.193 โจโฉนำทัพใหญ่บุกโจมตีโตเกี๋ยมที่ชีจิ๋ว
แฮหัวตุ้นได้รับคำสั่งให้ประจำการอยู่ที่เมืองปักเอี๋ยง แต่ระหว่างนั้น เตียวเมา
นายทหารคนสนิทของโจโฉได้ลอบร่วมมือกับลิโป้ ลุกขึ้นก่อกบฏต่อโจโฉ
แล้วนำทัพบุกตลบหลังโจโฉ ด้านเตียวเมาก็นำทัพไปตั้งมั่นอยู่ใกล้กับจ๋วนเฉิง
ซึ่งมีครอบครัวของโจโฉอยู่ที่นั่นด้วย
เมื่อทราบ่ขาวร้ายนี้ แฮหัวตุ้นจึงรวบรวมกำลังทหารทั้งหมดที่มีไม่มากนัก
เร่งเดินทางไปช่วยเหลือ แต่ระหว่างทางได้เผชิญหน้ากับทัพของลิโป้
จึงเปิดฉากสู้รบกัน ลิโป้ล่าถอยไป
แต่ก็เข้ายึดเมืองปักเอี๋ยงและชิงเสบียงของแฮหัวตุ้นไปได้
ลิโป้วางแผนทำให้ทหารท้องถิ่นที่ซึ่งอยู่ดูแลค่ายของแฮหัวตุ้นยอมสวามิภักดิ์
แล้วทำการก่อกบฏ แฮหัวตุ้นพลาดท่าจึงโดนจับเป็นตัวประกันพร้อมทหารส่วนหนึ่ง
แต่ฮันเฮ่า ขุนพลคนสนิทของแฮหัวตุ้นได้วางแผนแก้ไขสถานการณ์
เขาสั่งให้กองทัพของตนตรึงอยู่หน้าค่ายของแฮหัวตุ้น
แล้วเรียกประชุมเหล่าขุนพลทั้งหมด
ฮันเฮ่าสั่งการให้ขุนพลทุกคนกวดขันกองทหารทั้งหมดให้อยู่ในระเบียบวินัย
และตั้งมั่นอยู่ภายในค่ายอย่างแข็งขัน
หลังจากเข้าควบคุมค่ายทหารทั้งหมดให้อยู่ในการควบคุมได้แล้ว
ฮันเฮ่าก็ไปที่หน้าค่ายของแฮหัวตุ้นแล้วตะโกนแจ้งพวกทหารที่ก่อกบฏว่า
“ไอ้พวกกบฏกินคนทั้งหลาย
กล่าดีเช่นไรถึงจับตัวท่านขุนพลไว้
พวกเจ้ายังหวังว่าจะสามารถเดินออกมานอกค่ายได้โดยยังมีชีวิตได้อยู่อีกหรือ
พวกข้าได้รับคำสั่งให้ปราบปรามกบฏทั้งหลาย ดังนั้นต่อให้พวกเจ้าจับตัวท่านขุนพลไว้
แต่พวกข้าก็ไม่สามารถปล่อยพวกเจ้าให้ลอยนวลอยู่ได้เพียงเพราะท่านขุนพลเพียงคนเดียว”
ว่าแล้ว ฮันเฮ่าก็หลั่งน้ำตาให้แฮหัวตุ้น
แล้วกล่าวว่า “เพราะกฎและวินัยทัพระบุไว้เช่นนี้
ข้าจึงไม่สามารถช่วยท่านได้”
หลังจากกล่าวจบ
ฮันเฮ่าก็สั่งกองทัพบุกโจมตีพวกกบฏทันที เมื่อพวกทหารกบฏเห็นเช่นนั้น
จึงรีบปล่อยตัวแฮหัวตุ้นในทันที พวกเขากล่าวขออภัยและร้องขอให้ไว้ชีวิต
โดยกล่าวว่า “พวกเราแค่ทำไปเพื่อเงินรางวัลเท่านั้น”
ฮันเฮ่าได้ฟังเช่นนั้นก็กล่าวโทษความผิดของพวกกบฏอย่างรุนแรง
แล้วสั่งประหารชีวิตทั้งหมด ด้านแฮหัวตุ้นก็ได้รับการช่วยเหลือ
เมื่อโจโฉทราบเรื่อง ก็ให้การยกย่องฮันเฮ่าเป็นอย่างสูง โจโฉได้กล่าวว่า “วิธีการของท่านเป็นแบบอย่างที่ดีแก่กองทัพ
ซึ่งจักยืนยงต่อไปอีกนับหมื่นปี”
จากเหตุการณ์ครั้งนี้
โจโฉจึงมีคำสั่งให้ตรากฎใหม่ขึ้นว่า “นับแต่นี้เป็นต้นไป
หากตกอยู่ในสถานการณ์ที่ข้าศึกจับตัวประกันได้แล้วไซร้
จงสังหารทั้งข้าศึกและตัวประกันให้สิ้นลงไปด้วย
จงอย่าได้ทำให้ความปลอดภัยของตัวประกันส่งผลต่อการตัดสินใจในสถานการณ์ชี้เป็นชี้ตาย” เหตุการณ์จับตัวประกันจึงแทบไม่ปรากฏขึ้นอีกเลยนับแต่นี้ไป
เผยซงจือแทรกเชิงอรรถถึงเรื่องราวนี้ว่า
ตั้งแต่ต้นราชวงศ์ฮั่นเป็นต้นมา มีเหตุการณ์การจับตัวประกันที่สำคัญหลายครั้ง
ส่งผลกระทบในการทำศึกมาก
แต่การกระทำของฮันเฮ่าได้ทำให้โจโฉสั้งให้ตรากฏหมายในเรื่องนี้ขึ้นใหม่ นัยหนึ่งจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทำศึกของการทำศึกไปมาก
อย่างไรก็ตาม หลังจากยุคสามก๊กไปแล้ว
จะพบว่ากฏหมายนี้ก็ไม่ได้มีการนำมาใช้อย่างเคร่งครัดเหมือนในสมัยที่โจโฉปกครองวุยก๊ก
ปีค.ศ.196 โจโฉยกทัพบุกชีจิ๋วอีกครั้ง
แฮหัวตุ้นร่วมทัพ ทำหน้าที่เป็นแม่ทัพกองทัพหน้าแล้วได้เปิดศึกกับลิโป้
แต่ระหว่างทำศึก เขาโดนเกาทัณฑ์ยิงที่ตาข้างซ้ายจนทะลุ ทำให้ต้องเสียตาไปข้างหนึ่ง
เผยซงจือแทรกเรื่องราวจากบันทึกเว่ยหลู่
ซึ่งได้บันทึกเรื่องของแฮหัวตุ้นและแฮหัวเอี๋ยนไว้ว่า
หลังจากแฮหัวตุ้นสูญเสียดวงตาซ้ายไปแล้ว พวกทหารในกองทัพก็พากันเรียกขานแฮหัวตุ้นว่า
“ท่านบอดแฮหัว” ภายหลังก็เรียกกันว่า
“หมางเซี่ยโหว” หรือท่านขุนพลตาเดียว
แต่แฮหัวตุ้นก็ไม่ค่อยชอบฉายานี้นัก เมื่อเขาเห็นใบหน้าตนเองในกระจก
ก็โกรธจนขว้างกระจกนั้นลงพื้น
หลังจากเสร็จศึกกับลิโป้แล้ว
แฮหัวตุ้นก็ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นเจ้าเมืองตันลิวและเมืองจี่อิม
และได้รับตำแหน่งนายพล “เจี้ยนหวู่เจียงจวิน” ควบตำแหน่งขุนนางเป็นพระยาเกาอันเซี่ยง
ในระหว่างนั้น เกิดภาวะแห้งแล้งหนัก
บรรดาแมลงออกทำลายพืชผลและไร่นาจนราษฎรเดือดร้อนไปทั่ว
แฮหัวตุ้นจึงระดมขุนนางและเหล่าทหารไปช่วยกันถมดินเพื่อสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำน้ำไท่โซ่ว
สำหรับไว้ใช้กักเก็บน้ำสำหรับทำการเกษตร แฮหัวตุ้นยังลงไปร่วมใช้แรงงาน
แบกขนดินร่วมกับเหล่าชาวนาทั้งหลายโดยไม่หวั่นความยากลำบาก
แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยม
ผลงานนี้ทำให้ได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองเหอหนานในเวลาต่อมา
หลังจากนั้น
โจโฉนำทัพบุกพิชิตแดนแดนเหอเป่ยหรือทางภาคเหนือของจีน
ซึ่งเป็นดินแดนที่อยู่ในอิทธิพลของอ้วนเสี้ยว
หลังจากสามารถพิชิตอ้วนเสี้ยวลงได้แล้ว แฮหัวตุ้นก็ได้รับการเลื่อนขั้นให้ขึ้นเป็น
“ฟู่ป๋อเจียงจวิน” ควบตำแหน่งเจ้าเมืองเหอหนานเช่นเดิม
แฮหัวตุ้นได้ชื่อว่าเป็นขุนพลที่มีอำนาจมาก
แต่เขาก็มิได้บังคับใช้กฎระเบียบในการปกครองอย่างเคร่งครัดมากเกินไปนัก
และจะใช้อำนาจในการบังคับใช้กฎหมายเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
ปีค.ศ.207 (ตรงกับปีเจี้ยนอันที่ 12) หลังจากโจโฉพิชิตภาคเหนือได้ทั้งหมดแล้ว
แฮหัวตุ้นก็ได้รับศักดินาเพิ่ม มีบริวาร 2500 ครัวเรือนอยู่ใต้บังคับบัญชา
ปีค.ศ.216 (ตรงกับปีเจี้ยนอันที่ 21)
หลังจากโจโฉทำศึกที่หับป๋ากับซุนกวน แล้วกลับไปที่นครฮูโต๋แล้ว
แฮหัวตุ้นก็ได้รับอำนาจบัญชา 26 กองทัพ ไปประจำการที่จื่อเฉียว
เพื่อคอยสนับสนุนเตียวเลี้ยวที่หับป๋า คอยป้องกันศึกจากซุนกวนต่อไป
โจโฉประทานรางวัลมากมายให้แฮหัวตุ้น
จัดงานเลี้ยงฉลองให้อย่างสมเกียรติ แล้วกล่าวยกย่องแฮหัวตุ้นว่า “ในอดีต
เว่ยเจียงได้สร้างตำนานรวบรวมชนเผ่าป่าเถื่อนทั้งหลายไว้ด้วยกันสำเร็จด้วยเหล็กและหิน
แต่ตัวท่านกลับเหนือยิ่งกว่านั้นอีก”
ปีค.ศ.219 (ตรงกับปีเจี้ยนอันที่ 24)
โจโฉเดินทัพไกลทางตะวันตก ทำศึกฮั่นจงกับเล่าปี่ แต่ต้องประสบความปราชัย
ล่าถอยกลับไป จากนัน้
กวนอูที่เกงจิ๋วก็เคลื่อนทัพบุกโจมตีปราสาทฟ่านที่โจหยินเฝ้ารักษาอยู่
กวนอูสยบทัพของอิกิ๋มและบังเต๊กลงได้หมดสิ้น โจโฉหวั่นเกรงมาก
จึงคิดนำกำลังไปเสริมที่ปราสาทฟ่าน
จึงสั่งให้แฮหัวตุ้นและเตียวเลี้ยวนำทหารตามมาสมทบ
แต่ก่อนหน้าจะไปถึง
ซิหลงก็สามารถแก้ไขสถานการณ์ ประกอบกับฝ่ายง่อก๊กบุกตีตลบหลัง
ทำให้กวนอูต้องล่าถอยกลับไป ทัพของโจโฉและแฮหัวตุ้นจึงมาพบกันระหว่างทาง
โจโฉมักให้แฮหัวตุ้นขึ้นนั่งรถม้าตัวเดียวกันและให้ความเคารพนับถืออย่างมาก
โจโฉแสดงออกอยู่เสมอว่า
เขามีความไว้วางใจและสนิทสนมกับแฮหัวตุ้นมากเป็นพิเศษ
ชนิดที่ขุนพลคนอื่นไม่อาจเปรียบเทียบได้
หลังจากนั้นแฮหัวตุ้นก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพหน้า “เชียนเจียงจวิน” (General of the Front)
หลังจากแฮหัวตุ้นพบโจโฉแล้ว
ก็แยกกลับไปประจำการที่เมืองซิ่วซุนทางตะวันออกต่อ
หลังจากนั้นจึงไปประจำการอยู่ที่จ้าวหลิง
เผยซงจือแทรกเชิงอรรถจากในประวัติศาสตร์วุยก๊กว่า
หลังจากโจโฉขึ้นเป็นวุยอ๋องแล้ว บรรดาแม่ทัพทั้งหมดของโจโฉ
ต่างก็ได้รับตำแหน่งกันถ้วนหน้า ยกเว้นเพียงแฮหัวตุ้นคนเดียว (อันที่จริง
แฮหัวตุ้นได้รับตำแหน่งจากพระเจ้าเหี้ยนเต้)
แฮหัวตุ้นขอให้โจโฉประทานตำแหน่งให้
เพื่อที่เขาจะได้แสดงความภักดี แต่โจโฉกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่า ผู้นำที่ปรีชาสามารถจะเรียนรู้จากบริวารของตน
ส่วนผู้นำที่ปรีชายิ่งกว่าจะถือบริวารประดุจมิตรสหาย
เหล่าขุนนางและนายทหารล้วนเป็นบุคลากรผู้มีความสามารถ
แคว้นเล็กๆอย่างวุยก๊กกลับไม่คู่ควรกับขุนพลผู้ปรีชาเช่นท่าน” แฮหัวตุ้นยังคงยืนยันเช่นเดิม
แล้วโจโฉก็แต่งตั้งให้เขาขึ้นเป็นแม่ทัพหน้าในที่สุด
ซึ่งจากที่เฉินโซ่วบันทึกไว้ในจดหมายเหตุดังกล่าว
เกียวกับเรื่องการรับตำแหน่งแม่ทัพหน้าของแฮหัวตุ้น นัยยะหนึ่งได้แสดงให้เห็นว่า
โจโฉประเมินคุณค่าของแฮหัวตุ้นไว้สูงมาก เหนือกว่าขุนพลคนใด
และยังให้ความไว้วางใจและเคารพนับถือเขาอย่างสูง เพราะสำหรับโจโฉแล้ว
วุยก๊กซึ่งเพิ่งเริ่มก่อตั้งขึ้นมานั้น
ไม่มีตำแหน่งทางทหารที่ใหญ่โตพอสำหรับแฮหัวตุ้นที่เป็นขุนนางในราชวงศ์ฮั่นอยู่ก่อนด้วย
การที่โจโฉได้รับตำแหน่งเป็นวุยอ๋อง นั่นจึงเป็นการประกาศว่า
เขาสามารถก่อตั้งแคว้นหรือประเทศของตนขึ้นเองได้
ซึ่งโจโฉก็ได้ประกาศให้เมืองเย่ขึ้นเป็นเมืองหลวงของวุยก๊ก แต่ขณะเดียวกัน
วุยก๊กก็นับว่าเป็นแคว้นเกิดใหม่ที่อยู่ในดินแดนของราชวงศ์ฮั่นอีกทีหนึ่ง
บรรดาขุนนางที่ได้รับตำแหน่งจากโจโฉแทบทั้งหมดนั้น
ก็มีตำแหน่งเป็นขุนนางของราชวงศ์ฮั่นเช่นกัน
สถานการณ์นี้จึงนับว่ามีความซับซ้อนและละเอียดอ่อนมาก
คล้ายคลึงกับลักษณะของราชวงศ์โจว ซึ่งแผ่นดินจีนของราชวงศ์โจวนั้น
ก็แบ่งแยกออกเป็นนครรัฐและแคว้นต่างๆ โดยมีบรรดาอ๋องทำหน้าที่ไปปกครองดินแดน
ซึ่งสุดท้ายแล้วเมื่อราชวงศ์โจวอ่อนแอลง แคว้นทั้งหลายก็แตกแยกออกจากกัน
ก่อให้เกิดสถานการณ์เป็นยุคชุนชิวจ้านกว๋อ
หรือยุคสงครามรัฐอันยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์จีน
จากนั้นราชวงศ์ฉินจึงสามารถรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้ง
ดังนั้น สถานการณ์ของฮั่นและวุยในเวลานั้น
จึงมีความซับซ้อนและไม่อาจทำความเข้าใจได้ง่ายนัก แต่หากกล่าวให้ง่ายขึ้น
นี่คือก้าวย่างที่โจโฉเตรียมการปูรากฐานราชวงศ์ใหม่ที่จะมาแทนที่ฮั่น
เพียงแต่เขาไม่ได้ลงมือทำในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น
การที่แฮหัวตุ้นเรียกร้องขอให้โจโฉมอบตำแหน่งให้ตนนั้น
นัยหนึ่งจึงไม่ได้แปลว่าเขามีความคาดหวังหรือกระหายในลาภยศ แต่อีกทางหนึ่งนั้น
เท่ากับแฮหัวตุ้นต้องการแยกแยะให้ชัดเจนว่า ตัวเขามีความภักดี
ต้องการถวายตัวรับใช้โจโฉกับวุยก๊ก ซึ่งตำแหน่งแม่ทัพหน้า หรือ “เชียนเจียงจวิน” ที่แฮหัวตุ้นได้รับมานั้น
ถือว่าเป็นตำแหน่งทางทหารขั้นสูงสุดที่ผู้เป็นอ๋องจะประทานให้ได้ ด้วยเหตุนี้
แฮหัวตุ้นจึงถือว่าเป็นผู้มีอำนาจทหารเป็นรองจากวุยอ๋องโจโฉเท่านั้น
สำหรับตำแหน่งแม่ทัพหน้าของแฮหัวตุ้นนี้
เป็นตำแหน่งระดับเดียวกับที่กวนอูได้จากเล่าปี่ หลังจากเล่าปี่ขึ้นเป็นฮั่นจงอ๋องเช่นกัน
ปีค.ศ.220 หลังจากโจโฉถึงแก่กรรม โจผีบุตรชายขึ้นสืบทอดอำนาจต่อ
แล้วสถาปนาตนขึ้นเป็นฮ่องเต้ นามว่าพระเจ้าวุยบุ๋นเต้
แฮหัวตุ้นก็ได้รับตำแหน่งขึ้นเป็นมหาขุนพล “ต้าเจียงจวิน” มีอำนาจบัญชาการทหารสูงสุด แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือน
แฮหัวตุ้นก็ล้มป่วยแล้วสิ้นชีพลง
เฉินโซ่วบันทึกวิจารณ์ต่อมาว่า
แม้ว่าแฮหัวตุ้นจะเป็นขุนพลและนักการทหารที่มุ่งการทำศึกเป็นหลัก
แต่เขาก็มักเชื้อเชิญเหล่านักปราชญ์ให้มาเยือนที่ค่ายทหารเพื่อขอคำแนะนำสิ่งต่างๆให้อยู่เสมอ
เขาเป็นผู้ที่มีความระมัดระวังรอบคอบและมีจิตใจกว้างขวางต่อผู้อื่น
ไม่ค่อยเก็บสะสมทรัพย์สมบัติไว้มากนัก เมื่อได้รับรางวัลหรือสิ่งของใดจากโจโฉ
ก็มักจะแจกจ่ายให้แก่เหล่าทหารและผู้คนทั้งหลาย
แล้วแบ่งเก็บไว้เองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากแฮหัวตุ้นสิ้นชีพไปแล้ว
ก็ได้รับการอวยยศย้อนหลังให้เป็นพระยาผู้ภักดี
แฮหัวฉงบุตรชาย ได้รับสืบทอดตำแหน่งต่อมา โจผีรำลึกถึงความชอบของแฮหัวตุ้น
จึงเสนอตำแหน่งขุนนางใหญ่ให้แก่บุตรหลานของเขา แล้วประทานบริวาร 1,000 ครัวเรือน
ให้แก่บุตรชายทั้ง 7 คน กับ บุตรสาว 2 คน และประทานตำแหน่งขุนนางใหญ่ในราชสำนักให้ด้วย
หลังจากแฮหัวฉงสิ้นชีพ บุตรชายของเขาคือแฮหัวอี้
ได้รับสืบทอดตำแหน่งของแฮหัวตุ้น คือพระยาเกาอันเซี่ยง จากนั้น
บุตรของเขาคือแฮหัวเสี้ยวก็รับสืบทอดอำนาจเป็นรุ่นต่อมา
เผยซงจือได้แทรกเชิงอรรถ บันทึกเรื่องราวบุตรหลานและครอบครัวของแฮหัวตุ้นบางคนที่มีบทบาทสำคัญ
นั่นคือแฮหัวเหมา บุตรชายคนรองของแฮหัวตุ้น
เนื่องจากเดิมทีโจโฉได้ยกบุตรีของตนคือเจ้าหญิงชิงเหอ
ให้แต่งงานกับแฮหัวเหมา (เชื่อว่าเป็นบุตรีคนโตของโจโฉ และเป็นพี่สาวของโจผีด้วย)
ดังนั้นแฮหัวเหมาจึงมีศักดิ์เป็นราชบุตรเขยและได้ตำแหน่งเป็นราชเลขาธิการในราชสำนัก
ควบตำแหน่งเจ้าเมืองอันซื่อ และได้เป็นขุนพลเจิ้งตงเจียงจวิน
แฮหัวเหมาผู้นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีความภักดีต่อวุยก๊ก
เขายังเป็นเพื่อนสมัยเด็กของโจผี และมีความสนิทสนมกันมาก
โจผีจึงให้ความไว้วางใจเขามาก แต่แท้จริงแล้วแฮหัวเหมาไม่ได้มีความสามารถในการทหาร
และยังมีนิสัยชอบเสเพล หลงใหลในสุราและนารี
ปีค.ศ.228 ฮ่องเต้โจยอยต้องการนำทัพบุกตีจ๊กก๊ก
จึงสั่งแฮหัวเหมาไปเตรียมกองทัพบุกตะวันตก แต่แฮหัวเหมาไม่ได้รีบเร่งจัดการ
เขากลับเอาแต่จัดงานรื่นเริงกับเหล่านักร้องและนางรำ เมื่อเจ้าหญิงชิงเหอผู้เป็นภรรยาไปพบเข้าจึงโกรธมาก
ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนแย่ลงอย่างหนัก
ต่อมา
แฮหัวเหมาเกิดมีเรื่องผิดใจกับแฮหัวจั่งและแฮหัวเกี๋ยง
ซึ่งเป็นน้องชายและหลานชายของตนเอง คนทั้งสองกลัวว่าจะโดนแฮหัวเหมาหาเหตุลงโทษ
จึงคิดแผนแนะนำให้เจ้าหญิงชิงเหอเขียนฏีการ้องเรียนต่อโจยอย
เพื่อกล่าวหาว่าแฮหัวเหมาประพฤติผิด แล้วขอให้จับกุมมาลงโทษเสีย
เมื่อทราบเรื่อง โจยอยก็โกรธจัดมาก
คิดจะสั่งประหารแฮหัวเหมาเลย แต่ที่ปรึกษาต้วนม่อก็ได้ทัดทานไว้แล้วรีบกล่าวว่า “ในกาลก่อนหน้านี้
พระเจ้าวุยบู๊เต้ (โจโฉ) เพราะได้ท่านมหาขุนพลแฮหัวตุ้นเข้าช่วยเหลือ
ร่วมกันก่อร่างสร้างอาณาจักรมาด้วยกันตั้งแต่แรกเริ่ม
จึงสถาปนาอาณาจักรขึ้นได้อย่ามั่นคง อีกทางหนึ่ง
ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหญิงกับแฮหัวเหมานั้นก็ไม่สู้ดีอยู่แล้ว
ดังนั้นขอฝ่าบาทให้โปรดเรียกตัวแฮหัวเหมามาเข้าเฝ้า แล้วค่อยฟังความจากเขาก่อนก็ยังไม่สายเกินไป”
โจยอยฟังแล้วก็เห็นด้วย
ต่อมาหลังจากสืบสวนหาความแล้วจึงได้ทราบความจริงว่าแท้ทที่จริงแล้วใครเป็นผู้คอยยุยงวางแผนให้เจ้าหญิงเขียนฏีการ้องเรียน
ดังนั้นเมื่อทราบความจริง โจยอยจึงสั่งให้ลงโทษกับแฮหัวจั่งและแฮหัวเกี๋ยงแทน
เผยซงจือได้แทรกบันทึกจิ้นหยางชิวว่า
ในช่วงปีค.ศ.216 เหลนของแฮหัวตุ้นคือ แฮหัวจั๋ว ได้สิ้นชีพลง
จึงส่งผลให้สายสกุลของแฮหัวตุ้นเป็นอันสิ้นสุดลงไปด้วยเช่นกัน
ดังนั้นบรรดาศักดิ์และตำแหน่งของตระกูลแฮหัวจึงกลับคืนสู่ราชสำนักวุยในที่สุด
จากนั้นอีกกว่า 60 ปีต่อมา
ฮ่องเต้สุมาเอี๋ยนแห่งราชวงศ์จิ้นได้มีพระราชโองการออกประกาศว่า “แฮหัวตุ้นนับเป็นยอดขุนพลผู้มีส่วนสำคัญในการช่วยก่อร่างสร้างอาณาจักรวุยก๊กขึ้นได้
ชื่อเสียงของเขาจะได้รับการจารึกไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์
ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องน่าเศร้ายิ่งนัก หากว่าสายสกุลของเขาจะต้องมาสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้
ตัวเราเองนั้นก็ได้รับสืบทอดราชบัลลังก์มาจากวุยก๊ก
แล้วจะให้เราจะลืมเลือนเหล่าผู้บุกเบิกของวุยก๊กได้อย่างไรกันเล่า
ดังนั้นจึงเป็นการสมควรยิ่งแล้วที่จะค้นหาผู้สืบทอดสายเลือดของแฮหัวตุ้นให้พบ
แล้วจักมอบตำแหน่งไว้เพื่อให้เป็นการรักษาเกียรติภูมินี้ให้ได้ดำรงไว้สืบต่อไป”
สรุปข้อแตกต่างเรื่องราวของแฮหัวตุ้น
ระหว่างจดหมายเหตุและนิยาย
1.จากในจดหมายเหตุ
จะพบว่าเฉินโซ่วแทบไม่ได้บันทึกความสามารถและผลงานการศึกของแฮหัวตุ้นไว้เท่าใดนัก
เพียงแต่ย้ำบ่อยครั้งว่า แฮหัวตุ้นเป็นยอดนักการทหารที่มีความสามารถ
ชมชอบการอยู่ร่วมกับเหล่าทหารและประชาชน
นอกจากนี้ยังมีความสนิทสนมและได้รับความไว้ใจจากโจโฉอย่างสูงสุด
ซึ่งไม่มีขุนพลคนใดของวุยก๊กเทียบเคียงได้เลย
2.ในนิยายสามก๊ก
หลอก้วนจงเล่าเหตุการณ์ที่แฮหัวตุ้นสูญเสียตาข้างซ้ายจากเกาทัณฑ์ว่า เขาดึงลูกตาของตนออกมาแล้วร้องตะโกนว่า
“เชื้อพ่อเลือดแม่
ทิ้งให้ตกพื้นไม่ได้” แล้วจึงกลืนกินดวงตาของตนเองลงคอ
สร้างความตื่นตระหนกแก่เหล่าทหารมาก
3.นิยายสามก๊ก
มีเหตุการณ์สำคัญในตอนที่แฮหัวตุ้นทำศึกแพ้เล่าปี่ที่ทุ่งพกป๋อง
เพราะหลงกลศึกของขงเบ้ง จึงโดนวางเพลิงเผาเล่นงานแทบทั้งกองทัพแล้วต้องหนีตายกลับไป
แฮหัวตุ้นยอมรับในความผิดพลาด
จึงมัดตัวเองด้วยเชือกแล้วเข้าไปคุกเข่ามอบตัวต่อหน้าโจโฉ
เวลานั้นทุกคนคิดว่าแฮหัวตุ้นคงยากจะพ้นความผิด
แต่โจโฉกลับสั่งอภัยให้แล้วปลดเชือกออก
ส่วนในจดหมายเหตุ
จะพบว่าเฉินโซ่วไม่ได้บันทึกเรื่องเหล่านี้ไว้ในประวัติของแฮหัวตุ้น
แต่ในส่วนชีวประวัติของเล่าปี่และจูล่งนั้น
เฉินโซ่วได้บันทึกเรื่องที่แฮหัวตุ้นพ่ายศึกต่อเล่าปี่ไว้
ซึ่งในบทชีวประวัติเล่าปี่ได้บันทึกว่า “แฮหัวตุ้นรบกับเล่าปี่
แต่โดนเล่าปี่วางแผนใช้เพลิงไฟเล่นงาน จนต้องล่าถอยกลับไป” การที่ไม่มีบันทึกเรื่องราวความพ่ายแพ้นี้ไว้ในประวัติของแฮหัวตุ้น
แต่กลับมีในประวัติของเล่าปี่และจูล่งซึ่งเป็นคนละฝ่าย
อาจแสดงให้เห็นว่าข้อมูลที่เฉินโซ่วได้จากฝั่งวุยก๊กแล้วนำมาเรียบเรียงนั้น
ได้พยายามหลีกเลี่ยงที่จะบันทึกความพ่ายแพ้ต่อข้าศึกของแฮหัวตุ้นเอาไว้
4.ในนิยายสามก๊ก
แฮหัวตุ้นสร้างผลงานใหญ่ด้วยการนำทหารลอบเข้าโจมตีเมืองฮั่นจงจากเส้นทางลัด
ทำให้โจโฉชิงฮั่นจงมาได้ง่ายกว่าที่คิด
แต่ในประวัติแฮหัวตุ้นกลับไม่มีบันทึกผลงานนี้ไว้
Source : https://my.dek-d.com/eagle/writer/viewlongc.php?id=10590&chapter=8
No comments:
Post a Comment