Thursday, December 13, 2018

แฮหัวตุ้น หยวนหราง (เซี่ยโหวตุ้น) “ยอดขุนพลตาเดียว”

            แฮหัวตุ้น หรือ เซี่ยโหวตุ้น (Xiahou Dun) ชื่อรอง หยวนหราง (Yuanrang) ปีเกิดไม่แน่ชัด เชื่อว่าเกิดปีค.ศ.160 เป็นชาวเฉียว เมืองเป่ย เฉินโซ่วบันทึกไว้ว่า แฮหัวตุ้นเป็นทายาทรุ่นหลังของแฮหัวหยิง ยอดขุนพลที่มีชื่อเสียงในตอนต้นของราชวงศ์ฮั่น

ความจริงแล้วแฮหัวตุ้นเป็นคนในตระกูลเดียวกันกับโจโฉ เพราะบิดาของโจโฉคือโจโก๋นั้นเดิมทีแล้วเป็นคนจากตระกูลแฮหัว แต่ต่อมาได้ไปเป็นบุตรบุญธรรมของมหาขันทีโจเต็ง โจโฉจึงได้ใช้แซ่โจต่อมา ดังนั้น แฮหัวตุ้นจึงเป็นลูกพี่ลูกน้องของโจโฉที่มีอายุไล่เลี่ยกันมากที่สุด และมีความสนิทสนม ได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจมากที่สุดด้วย

            เมื่ออายุ 14 ปี แฮหัวตุ้นได้ร่ำเรียนวิชาจากอาจารย์ในบ้านเกิด เขาฝึกฝนทั้งวิชาทวน กระบี่ และศึกษาตำรา แต่ครั้งหนึ่ง มีคนมากล่าวดูถูกอาจารย์ของเขา ดังนั้นเขาจึงสังหารคนผู้นั้นทิ้ง นับแต่นั้น แฮหัวตุ้นจึงมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วว่าเป็นผู้มีอารมณ์เลือดร้อนและชอบใช้กำลังรุนแรง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นผู้มีความซื่อตรงและเที่ยงธรรมด้วย


            เมื่อโจโฉเริ่มสะสมกำลังและอำนาจของตัวเองขึ้นในช่วงแรก แฮหัวตุ้นได้ให้ความช่วยเหลือ ทำหน้าที่เป็นขุนพลนำทหารให้ และยังติดตามออกศึกแทบทุกครั้ง หลังจากโจโฉได้เลื่อนขึ้นเป็นนายพลผู้เปี่ยมความหนักแน่น ทำหน้าที่บังคับการกองทหารม้าเร็วของราชสำนักฮั่นแล้ว ก็ได้แต่งตั้งแฮหัวตุ้นให้เป็นที่ปรึกษาทางทหาร ให้ส่งเขาไปประจำการอยู่ที่ไป่มา จากนั้นแฮหัวตุ้นก็ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นนายพันบุกทะลวงฟัน เจ๋อชงเซี่ยวเหว่ยควบตำแหน่งเจ้าเมืองต๋ง

            ปีค.ศ.193 โจโฉนำทัพใหญ่บุกโจมตีโตเกี๋ยมที่ชีจิ๋ว แฮหัวตุ้นได้รับคำสั่งให้ประจำการอยู่ที่เมืองปักเอี๋ยง แต่ระหว่างนั้น เตียวเมา นายทหารคนสนิทของโจโฉได้ลอบร่วมมือกับลิโป้ ลุกขึ้นก่อกบฏต่อโจโฉ แล้วนำทัพบุกตลบหลังโจโฉ ด้านเตียวเมาก็นำทัพไปตั้งมั่นอยู่ใกล้กับจ๋วนเฉิง ซึ่งมีครอบครัวของโจโฉอยู่ที่นั่นด้วย

            เมื่อทราบ่ขาวร้ายนี้ แฮหัวตุ้นจึงรวบรวมกำลังทหารทั้งหมดที่มีไม่มากนัก เร่งเดินทางไปช่วยเหลือ แต่ระหว่างทางได้เผชิญหน้ากับทัพของลิโป้ จึงเปิดฉากสู้รบกัน ลิโป้ล่าถอยไป แต่ก็เข้ายึดเมืองปักเอี๋ยงและชิงเสบียงของแฮหัวตุ้นไปได้

            ลิโป้วางแผนทำให้ทหารท้องถิ่นที่ซึ่งอยู่ดูแลค่ายของแฮหัวตุ้นยอมสวามิภักดิ์ แล้วทำการก่อกบฏ แฮหัวตุ้นพลาดท่าจึงโดนจับเป็นตัวประกันพร้อมทหารส่วนหนึ่ง แต่ฮันเฮ่า ขุนพลคนสนิทของแฮหัวตุ้นได้วางแผนแก้ไขสถานการณ์ เขาสั่งให้กองทัพของตนตรึงอยู่หน้าค่ายของแฮหัวตุ้น แล้วเรียกประชุมเหล่าขุนพลทั้งหมด ฮันเฮ่าสั่งการให้ขุนพลทุกคนกวดขันกองทหารทั้งหมดให้อยู่ในระเบียบวินัย และตั้งมั่นอยู่ภายในค่ายอย่างแข็งขัน

หลังจากเข้าควบคุมค่ายทหารทั้งหมดให้อยู่ในการควบคุมได้แล้ว ฮันเฮ่าก็ไปที่หน้าค่ายของแฮหัวตุ้นแล้วตะโกนแจ้งพวกทหารที่ก่อกบฏว่า

ไอ้พวกกบฏกินคนทั้งหลาย กล่าดีเช่นไรถึงจับตัวท่านขุนพลไว้ พวกเจ้ายังหวังว่าจะสามารถเดินออกมานอกค่ายได้โดยยังมีชีวิตได้อยู่อีกหรือ พวกข้าได้รับคำสั่งให้ปราบปรามกบฏทั้งหลาย ดังนั้นต่อให้พวกเจ้าจับตัวท่านขุนพลไว้ แต่พวกข้าก็ไม่สามารถปล่อยพวกเจ้าให้ลอยนวลอยู่ได้เพียงเพราะท่านขุนพลเพียงคนเดียว

ว่าแล้ว ฮันเฮ่าก็หลั่งน้ำตาให้แฮหัวตุ้น แล้วกล่าวว่า เพราะกฎและวินัยทัพระบุไว้เช่นนี้ ข้าจึงไม่สามารถช่วยท่านได้หลังจากกล่าวจบ ฮันเฮ่าก็สั่งกองทัพบุกโจมตีพวกกบฏทันที เมื่อพวกทหารกบฏเห็นเช่นนั้น จึงรีบปล่อยตัวแฮหัวตุ้นในทันที พวกเขากล่าวขออภัยและร้องขอให้ไว้ชีวิต โดยกล่าวว่า พวกเราแค่ทำไปเพื่อเงินรางวัลเท่านั้น

ฮันเฮ่าได้ฟังเช่นนั้นก็กล่าวโทษความผิดของพวกกบฏอย่างรุนแรง แล้วสั่งประหารชีวิตทั้งหมด ด้านแฮหัวตุ้นก็ได้รับการช่วยเหลือ เมื่อโจโฉทราบเรื่อง ก็ให้การยกย่องฮันเฮ่าเป็นอย่างสูง โจโฉได้กล่าวว่า วิธีการของท่านเป็นแบบอย่างที่ดีแก่กองทัพ ซึ่งจักยืนยงต่อไปอีกนับหมื่นปี

จากเหตุการณ์ครั้งนี้ โจโฉจึงมีคำสั่งให้ตรากฎใหม่ขึ้นว่า นับแต่นี้เป็นต้นไป หากตกอยู่ในสถานการณ์ที่ข้าศึกจับตัวประกันได้แล้วไซร้ จงสังหารทั้งข้าศึกและตัวประกันให้สิ้นลงไปด้วย จงอย่าได้ทำให้ความปลอดภัยของตัวประกันส่งผลต่อการตัดสินใจในสถานการณ์ชี้เป็นชี้ตายเหตุการณ์จับตัวประกันจึงแทบไม่ปรากฏขึ้นอีกเลยนับแต่นี้ไป

เผยซงจือแทรกเชิงอรรถถึงเรื่องราวนี้ว่า ตั้งแต่ต้นราชวงศ์ฮั่นเป็นต้นมา มีเหตุการณ์การจับตัวประกันที่สำคัญหลายครั้ง ส่งผลกระทบในการทำศึกมาก แต่การกระทำของฮันเฮ่าได้ทำให้โจโฉสั้งให้ตรากฏหมายในเรื่องนี้ขึ้นใหม่ นัยหนึ่งจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทำศึกของการทำศึกไปมาก อย่างไรก็ตาม หลังจากยุคสามก๊กไปแล้ว จะพบว่ากฏหมายนี้ก็ไม่ได้มีการนำมาใช้อย่างเคร่งครัดเหมือนในสมัยที่โจโฉปกครองวุยก๊ก

ปีค.ศ.196 โจโฉยกทัพบุกชีจิ๋วอีกครั้ง แฮหัวตุ้นร่วมทัพ ทำหน้าที่เป็นแม่ทัพกองทัพหน้าแล้วได้เปิดศึกกับลิโป้ แต่ระหว่างทำศึก เขาโดนเกาทัณฑ์ยิงที่ตาข้างซ้ายจนทะลุ ทำให้ต้องเสียตาไปข้างหนึ่ง

เผยซงจือแทรกเรื่องราวจากบันทึกเว่ยหลู่ ซึ่งได้บันทึกเรื่องของแฮหัวตุ้นและแฮหัวเอี๋ยนไว้ว่า หลังจากแฮหัวตุ้นสูญเสียดวงตาซ้ายไปแล้ว พวกทหารในกองทัพก็พากันเรียกขานแฮหัวตุ้นว่า ท่านบอดแฮหัวภายหลังก็เรียกกันว่า หมางเซี่ยโหวหรือท่านขุนพลตาเดียว แต่แฮหัวตุ้นก็ไม่ค่อยชอบฉายานี้นัก เมื่อเขาเห็นใบหน้าตนเองในกระจก ก็โกรธจนขว้างกระจกนั้นลงพื้น

หลังจากเสร็จศึกกับลิโป้แล้ว แฮหัวตุ้นก็ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นเจ้าเมืองตันลิวและเมืองจี่อิม และได้รับตำแหน่งนายพล เจี้ยนหวู่เจียงจวินควบตำแหน่งขุนนางเป็นพระยาเกาอันเซี่ยง

ในระหว่างนั้น เกิดภาวะแห้งแล้งหนัก บรรดาแมลงออกทำลายพืชผลและไร่นาจนราษฎรเดือดร้อนไปทั่ว แฮหัวตุ้นจึงระดมขุนนางและเหล่าทหารไปช่วยกันถมดินเพื่อสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำน้ำไท่โซ่ว สำหรับไว้ใช้กักเก็บน้ำสำหรับทำการเกษตร แฮหัวตุ้นยังลงไปร่วมใช้แรงงาน แบกขนดินร่วมกับเหล่าชาวนาทั้งหลายโดยไม่หวั่นความยากลำบาก แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยม ผลงานนี้ทำให้ได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองเหอหนานในเวลาต่อมา 

หลังจากนั้น โจโฉนำทัพบุกพิชิตแดนแดนเหอเป่ยหรือทางภาคเหนือของจีน ซึ่งเป็นดินแดนที่อยู่ในอิทธิพลของอ้วนเสี้ยว หลังจากสามารถพิชิตอ้วนเสี้ยวลงได้แล้ว แฮหัวตุ้นก็ได้รับการเลื่อนขั้นให้ขึ้นเป็น ฟู่ป๋อเจียงจวินควบตำแหน่งเจ้าเมืองเหอหนานเช่นเดิม

แฮหัวตุ้นได้ชื่อว่าเป็นขุนพลที่มีอำนาจมาก แต่เขาก็มิได้บังคับใช้กฎระเบียบในการปกครองอย่างเคร่งครัดมากเกินไปนัก และจะใช้อำนาจในการบังคับใช้กฎหมายเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

ปีค.ศ.207 (ตรงกับปีเจี้ยนอันที่ 12) หลังจากโจโฉพิชิตภาคเหนือได้ทั้งหมดแล้ว แฮหัวตุ้นก็ได้รับศักดินาเพิ่ม มีบริวาร 2500 ครัวเรือนอยู่ใต้บังคับบัญชา

ปีค.ศ.216 (ตรงกับปีเจี้ยนอันที่ 21) หลังจากโจโฉทำศึกที่หับป๋ากับซุนกวน แล้วกลับไปที่นครฮูโต๋แล้ว แฮหัวตุ้นก็ได้รับอำนาจบัญชา 26 กองทัพ ไปประจำการที่จื่อเฉียว เพื่อคอยสนับสนุนเตียวเลี้ยวที่หับป๋า คอยป้องกันศึกจากซุนกวนต่อไป

โจโฉประทานรางวัลมากมายให้แฮหัวตุ้น จัดงานเลี้ยงฉลองให้อย่างสมเกียรติ แล้วกล่าวยกย่องแฮหัวตุ้นว่า ในอดีต เว่ยเจียงได้สร้างตำนานรวบรวมชนเผ่าป่าเถื่อนทั้งหลายไว้ด้วยกันสำเร็จด้วยเหล็กและหิน แต่ตัวท่านกลับเหนือยิ่งกว่านั้นอีก

ปีค.ศ.219 (ตรงกับปีเจี้ยนอันที่ 24) โจโฉเดินทัพไกลทางตะวันตก ทำศึกฮั่นจงกับเล่าปี่ แต่ต้องประสบความปราชัย ล่าถอยกลับไป จากนัน้ กวนอูที่เกงจิ๋วก็เคลื่อนทัพบุกโจมตีปราสาทฟ่านที่โจหยินเฝ้ารักษาอยู่ กวนอูสยบทัพของอิกิ๋มและบังเต๊กลงได้หมดสิ้น โจโฉหวั่นเกรงมาก จึงคิดนำกำลังไปเสริมที่ปราสาทฟ่าน จึงสั่งให้แฮหัวตุ้นและเตียวเลี้ยวนำทหารตามมาสมทบ

แต่ก่อนหน้าจะไปถึง ซิหลงก็สามารถแก้ไขสถานการณ์ ประกอบกับฝ่ายง่อก๊กบุกตีตลบหลัง ทำให้กวนอูต้องล่าถอยกลับไป ทัพของโจโฉและแฮหัวตุ้นจึงมาพบกันระหว่างทาง

โจโฉมักให้แฮหัวตุ้นขึ้นนั่งรถม้าตัวเดียวกันและให้ความเคารพนับถืออย่างมาก

โจโฉแสดงออกอยู่เสมอว่า เขามีความไว้วางใจและสนิทสนมกับแฮหัวตุ้นมากเป็นพิเศษ ชนิดที่ขุนพลคนอื่นไม่อาจเปรียบเทียบได้ หลังจากนั้นแฮหัวตุ้นก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพหน้า เชียนเจียงจวิน” (General of the Front)

หลังจากแฮหัวตุ้นพบโจโฉแล้ว ก็แยกกลับไปประจำการที่เมืองซิ่วซุนทางตะวันออกต่อ หลังจากนั้นจึงไปประจำการอยู่ที่จ้าวหลิง

เผยซงจือแทรกเชิงอรรถจากในประวัติศาสตร์วุยก๊กว่า หลังจากโจโฉขึ้นเป็นวุยอ๋องแล้ว บรรดาแม่ทัพทั้งหมดของโจโฉ ต่างก็ได้รับตำแหน่งกันถ้วนหน้า ยกเว้นเพียงแฮหัวตุ้นคนเดียว (อันที่จริง แฮหัวตุ้นได้รับตำแหน่งจากพระเจ้าเหี้ยนเต้)

แฮหัวตุ้นขอให้โจโฉประทานตำแหน่งให้ เพื่อที่เขาจะได้แสดงความภักดี แต่โจโฉกล่าวว่า ข้าได้ยินมาว่า ผู้นำที่ปรีชาสามารถจะเรียนรู้จากบริวารของตน ส่วนผู้นำที่ปรีชายิ่งกว่าจะถือบริวารประดุจมิตรสหาย เหล่าขุนนางและนายทหารล้วนเป็นบุคลากรผู้มีความสามารถ แคว้นเล็กๆอย่างวุยก๊กกลับไม่คู่ควรกับขุนพลผู้ปรีชาเช่นท่านแฮหัวตุ้นยังคงยืนยันเช่นเดิม แล้วโจโฉก็แต่งตั้งให้เขาขึ้นเป็นแม่ทัพหน้าในที่สุด 

          ซึ่งจากที่เฉินโซ่วบันทึกไว้ในจดหมายเหตุดังกล่าว เกียวกับเรื่องการรับตำแหน่งแม่ทัพหน้าของแฮหัวตุ้น นัยยะหนึ่งได้แสดงให้เห็นว่า โจโฉประเมินคุณค่าของแฮหัวตุ้นไว้สูงมาก เหนือกว่าขุนพลคนใด และยังให้ความไว้วางใจและเคารพนับถือเขาอย่างสูง เพราะสำหรับโจโฉแล้ว วุยก๊กซึ่งเพิ่งเริ่มก่อตั้งขึ้นมานั้น ไม่มีตำแหน่งทางทหารที่ใหญ่โตพอสำหรับแฮหัวตุ้นที่เป็นขุนนางในราชวงศ์ฮั่นอยู่ก่อนด้วย

            การที่โจโฉได้รับตำแหน่งเป็นวุยอ๋อง นั่นจึงเป็นการประกาศว่า เขาสามารถก่อตั้งแคว้นหรือประเทศของตนขึ้นเองได้ ซึ่งโจโฉก็ได้ประกาศให้เมืองเย่ขึ้นเป็นเมืองหลวงของวุยก๊ก แต่ขณะเดียวกัน วุยก๊กก็นับว่าเป็นแคว้นเกิดใหม่ที่อยู่ในดินแดนของราชวงศ์ฮั่นอีกทีหนึ่ง บรรดาขุนนางที่ได้รับตำแหน่งจากโจโฉแทบทั้งหมดนั้น ก็มีตำแหน่งเป็นขุนนางของราชวงศ์ฮั่นเช่นกัน สถานการณ์นี้จึงนับว่ามีความซับซ้อนและละเอียดอ่อนมาก คล้ายคลึงกับลักษณะของราชวงศ์โจว ซึ่งแผ่นดินจีนของราชวงศ์โจวนั้น ก็แบ่งแยกออกเป็นนครรัฐและแคว้นต่างๆ โดยมีบรรดาอ๋องทำหน้าที่ไปปกครองดินแดน ซึ่งสุดท้ายแล้วเมื่อราชวงศ์โจวอ่อนแอลง แคว้นทั้งหลายก็แตกแยกออกจากกัน ก่อให้เกิดสถานการณ์เป็นยุคชุนชิวจ้านกว๋อ หรือยุคสงครามรัฐอันยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์จีน จากนั้นราชวงศ์ฉินจึงสามารถรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้ง

ดังนั้น สถานการณ์ของฮั่นและวุยในเวลานั้น จึงมีความซับซ้อนและไม่อาจทำความเข้าใจได้ง่ายนัก แต่หากกล่าวให้ง่ายขึ้น นี่คือก้าวย่างที่โจโฉเตรียมการปูรากฐานราชวงศ์ใหม่ที่จะมาแทนที่ฮั่น เพียงแต่เขาไม่ได้ลงมือทำในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น

การที่แฮหัวตุ้นเรียกร้องขอให้โจโฉมอบตำแหน่งให้ตนนั้น นัยหนึ่งจึงไม่ได้แปลว่าเขามีความคาดหวังหรือกระหายในลาภยศ แต่อีกทางหนึ่งนั้น เท่ากับแฮหัวตุ้นต้องการแยกแยะให้ชัดเจนว่า ตัวเขามีความภักดี ต้องการถวายตัวรับใช้โจโฉกับวุยก๊ก ซึ่งตำแหน่งแม่ทัพหน้า หรือ เชียนเจียงจวินที่แฮหัวตุ้นได้รับมานั้น ถือว่าเป็นตำแหน่งทางทหารขั้นสูงสุดที่ผู้เป็นอ๋องจะประทานให้ได้ ด้วยเหตุนี้ แฮหัวตุ้นจึงถือว่าเป็นผู้มีอำนาจทหารเป็นรองจากวุยอ๋องโจโฉเท่านั้น

สำหรับตำแหน่งแม่ทัพหน้าของแฮหัวตุ้นนี้ เป็นตำแหน่งระดับเดียวกับที่กวนอูได้จากเล่าปี่ หลังจากเล่าปี่ขึ้นเป็นฮั่นจงอ๋องเช่นกัน

             ปีค.ศ.220 หลังจากโจโฉถึงแก่กรรม โจผีบุตรชายขึ้นสืบทอดอำนาจต่อ แล้วสถาปนาตนขึ้นเป็นฮ่องเต้ นามว่าพระเจ้าวุยบุ๋นเต้ แฮหัวตุ้นก็ได้รับตำแหน่งขึ้นเป็นมหาขุนพล ต้าเจียงจวินมีอำนาจบัญชาการทหารสูงสุด แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือน แฮหัวตุ้นก็ล้มป่วยแล้วสิ้นชีพลง

            เฉินโซ่วบันทึกวิจารณ์ต่อมาว่า แม้ว่าแฮหัวตุ้นจะเป็นขุนพลและนักการทหารที่มุ่งการทำศึกเป็นหลัก แต่เขาก็มักเชื้อเชิญเหล่านักปราชญ์ให้มาเยือนที่ค่ายทหารเพื่อขอคำแนะนำสิ่งต่างๆให้อยู่เสมอ เขาเป็นผู้ที่มีความระมัดระวังรอบคอบและมีจิตใจกว้างขวางต่อผู้อื่น ไม่ค่อยเก็บสะสมทรัพย์สมบัติไว้มากนัก เมื่อได้รับรางวัลหรือสิ่งของใดจากโจโฉ ก็มักจะแจกจ่ายให้แก่เหล่าทหารและผู้คนทั้งหลาย แล้วแบ่งเก็บไว้เองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากแฮหัวตุ้นสิ้นชีพไปแล้ว ก็ได้รับการอวยยศย้อนหลังให้เป็นพระยาผู้ภักดี

            แฮหัวฉงบุตรชาย ได้รับสืบทอดตำแหน่งต่อมา โจผีรำลึกถึงความชอบของแฮหัวตุ้น จึงเสนอตำแหน่งขุนนางใหญ่ให้แก่บุตรหลานของเขา แล้วประทานบริวาร 1,000 ครัวเรือน ให้แก่บุตรชายทั้ง 7 คน กับ บุตรสาว 2 คน และประทานตำแหน่งขุนนางใหญ่ในราชสำนักให้ด้วย

           หลังจากแฮหัวฉงสิ้นชีพ บุตรชายของเขาคือแฮหัวอี้ ได้รับสืบทอดตำแหน่งของแฮหัวตุ้น คือพระยาเกาอันเซี่ยง จากนั้น บุตรของเขาคือแฮหัวเสี้ยวก็รับสืบทอดอำนาจเป็นรุ่นต่อมา

          เผยซงจือได้แทรกเชิงอรรถ บันทึกเรื่องราวบุตรหลานและครอบครัวของแฮหัวตุ้นบางคนที่มีบทบาทสำคัญ นั่นคือแฮหัวเหมา บุตรชายคนรองของแฮหัวตุ้น

เนื่องจากเดิมทีโจโฉได้ยกบุตรีของตนคือเจ้าหญิงชิงเหอ ให้แต่งงานกับแฮหัวเหมา (เชื่อว่าเป็นบุตรีคนโตของโจโฉ และเป็นพี่สาวของโจผีด้วย) ดังนั้นแฮหัวเหมาจึงมีศักดิ์เป็นราชบุตรเขยและได้ตำแหน่งเป็นราชเลขาธิการในราชสำนัก ควบตำแหน่งเจ้าเมืองอันซื่อ และได้เป็นขุนพลเจิ้งตงเจียงจวิน

แฮหัวเหมาผู้นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีความภักดีต่อวุยก๊ก เขายังเป็นเพื่อนสมัยเด็กของโจผี และมีความสนิทสนมกันมาก โจผีจึงให้ความไว้วางใจเขามาก แต่แท้จริงแล้วแฮหัวเหมาไม่ได้มีความสามารถในการทหาร และยังมีนิสัยชอบเสเพล หลงใหลในสุราและนารี

ปีค.ศ.228 ฮ่องเต้โจยอยต้องการนำทัพบุกตีจ๊กก๊ก จึงสั่งแฮหัวเหมาไปเตรียมกองทัพบุกตะวันตก แต่แฮหัวเหมาไม่ได้รีบเร่งจัดการ เขากลับเอาแต่จัดงานรื่นเริงกับเหล่านักร้องและนางรำ เมื่อเจ้าหญิงชิงเหอผู้เป็นภรรยาไปพบเข้าจึงโกรธมาก ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนแย่ลงอย่างหนัก

ต่อมา แฮหัวเหมาเกิดมีเรื่องผิดใจกับแฮหัวจั่งและแฮหัวเกี๋ยง ซึ่งเป็นน้องชายและหลานชายของตนเอง คนทั้งสองกลัวว่าจะโดนแฮหัวเหมาหาเหตุลงโทษ จึงคิดแผนแนะนำให้เจ้าหญิงชิงเหอเขียนฏีการ้องเรียนต่อโจยอย เพื่อกล่าวหาว่าแฮหัวเหมาประพฤติผิด แล้วขอให้จับกุมมาลงโทษเสีย

เมื่อทราบเรื่อง โจยอยก็โกรธจัดมาก คิดจะสั่งประหารแฮหัวเหมาเลย แต่ที่ปรึกษาต้วนม่อก็ได้ทัดทานไว้แล้วรีบกล่าวว่า ในกาลก่อนหน้านี้ พระเจ้าวุยบู๊เต้ (โจโฉ) เพราะได้ท่านมหาขุนพลแฮหัวตุ้นเข้าช่วยเหลือ ร่วมกันก่อร่างสร้างอาณาจักรมาด้วยกันตั้งแต่แรกเริ่ม จึงสถาปนาอาณาจักรขึ้นได้อย่ามั่นคง อีกทางหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหญิงกับแฮหัวเหมานั้นก็ไม่สู้ดีอยู่แล้ว ดังนั้นขอฝ่าบาทให้โปรดเรียกตัวแฮหัวเหมามาเข้าเฝ้า แล้วค่อยฟังความจากเขาก่อนก็ยังไม่สายเกินไป

โจยอยฟังแล้วก็เห็นด้วย ต่อมาหลังจากสืบสวนหาความแล้วจึงได้ทราบความจริงว่าแท้ทที่จริงแล้วใครเป็นผู้คอยยุยงวางแผนให้เจ้าหญิงเขียนฏีการ้องเรียน ดังนั้นเมื่อทราบความจริง โจยอยจึงสั่งให้ลงโทษกับแฮหัวจั่งและแฮหัวเกี๋ยงแทน  

เผยซงจือได้แทรกบันทึกจิ้นหยางชิวว่า ในช่วงปีค.ศ.216 เหลนของแฮหัวตุ้นคือ แฮหัวจั๋ว ได้สิ้นชีพลง จึงส่งผลให้สายสกุลของแฮหัวตุ้นเป็นอันสิ้นสุดลงไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นบรรดาศักดิ์และตำแหน่งของตระกูลแฮหัวจึงกลับคืนสู่ราชสำนักวุยในที่สุด

จากนั้นอีกกว่า 60 ปีต่อมา ฮ่องเต้สุมาเอี๋ยนแห่งราชวงศ์จิ้นได้มีพระราชโองการออกประกาศว่า แฮหัวตุ้นนับเป็นยอดขุนพลผู้มีส่วนสำคัญในการช่วยก่อร่างสร้างอาณาจักรวุยก๊กขึ้นได้ ชื่อเสียงของเขาจะได้รับการจารึกไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องน่าเศร้ายิ่งนัก หากว่าสายสกุลของเขาจะต้องมาสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ ตัวเราเองนั้นก็ได้รับสืบทอดราชบัลลังก์มาจากวุยก๊ก แล้วจะให้เราจะลืมเลือนเหล่าผู้บุกเบิกของวุยก๊กได้อย่างไรกันเล่า ดังนั้นจึงเป็นการสมควรยิ่งแล้วที่จะค้นหาผู้สืบทอดสายเลือดของแฮหัวตุ้นให้พบ แล้วจักมอบตำแหน่งไว้เพื่อให้เป็นการรักษาเกียรติภูมินี้ให้ได้ดำรงไว้สืบต่อไป



สรุปข้อแตกต่างเรื่องราวของแฮหัวตุ้น ระหว่างจดหมายเหตุและนิยาย

1.จากในจดหมายเหตุ จะพบว่าเฉินโซ่วแทบไม่ได้บันทึกความสามารถและผลงานการศึกของแฮหัวตุ้นไว้เท่าใดนัก เพียงแต่ย้ำบ่อยครั้งว่า แฮหัวตุ้นเป็นยอดนักการทหารที่มีความสามารถ ชมชอบการอยู่ร่วมกับเหล่าทหารและประชาชน นอกจากนี้ยังมีความสนิทสนมและได้รับความไว้ใจจากโจโฉอย่างสูงสุด ซึ่งไม่มีขุนพลคนใดของวุยก๊กเทียบเคียงได้เลย

2.ในนิยายสามก๊ก หลอก้วนจงเล่าเหตุการณ์ที่แฮหัวตุ้นสูญเสียตาข้างซ้ายจากเกาทัณฑ์ว่า เขาดึงลูกตาของตนออกมาแล้วร้องตะโกนว่า เชื้อพ่อเลือดแม่ ทิ้งให้ตกพื้นไม่ได้แล้วจึงกลืนกินดวงตาของตนเองลงคอ สร้างความตื่นตระหนกแก่เหล่าทหารมาก

3.นิยายสามก๊ก มีเหตุการณ์สำคัญในตอนที่แฮหัวตุ้นทำศึกแพ้เล่าปี่ที่ทุ่งพกป๋อง เพราะหลงกลศึกของขงเบ้ง จึงโดนวางเพลิงเผาเล่นงานแทบทั้งกองทัพแล้วต้องหนีตายกลับไป แฮหัวตุ้นยอมรับในความผิดพลาด จึงมัดตัวเองด้วยเชือกแล้วเข้าไปคุกเข่ามอบตัวต่อหน้าโจโฉ เวลานั้นทุกคนคิดว่าแฮหัวตุ้นคงยากจะพ้นความผิด แต่โจโฉกลับสั่งอภัยให้แล้วปลดเชือกออก

ส่วนในจดหมายเหตุ จะพบว่าเฉินโซ่วไม่ได้บันทึกเรื่องเหล่านี้ไว้ในประวัติของแฮหัวตุ้น แต่ในส่วนชีวประวัติของเล่าปี่และจูล่งนั้น เฉินโซ่วได้บันทึกเรื่องที่แฮหัวตุ้นพ่ายศึกต่อเล่าปี่ไว้ ซึ่งในบทชีวประวัติเล่าปี่ได้บันทึกว่า แฮหัวตุ้นรบกับเล่าปี่ แต่โดนเล่าปี่วางแผนใช้เพลิงไฟเล่นงาน จนต้องล่าถอยกลับไปการที่ไม่มีบันทึกเรื่องราวความพ่ายแพ้นี้ไว้ในประวัติของแฮหัวตุ้น แต่กลับมีในประวัติของเล่าปี่และจูล่งซึ่งเป็นคนละฝ่าย อาจแสดงให้เห็นว่าข้อมูลที่เฉินโซ่วได้จากฝั่งวุยก๊กแล้วนำมาเรียบเรียงนั้น ได้พยายามหลีกเลี่ยงที่จะบันทึกความพ่ายแพ้ต่อข้าศึกของแฮหัวตุ้นเอาไว้

4.ในนิยายสามก๊ก แฮหัวตุ้นสร้างผลงานใหญ่ด้วยการนำทหารลอบเข้าโจมตีเมืองฮั่นจงจากเส้นทางลัด ทำให้โจโฉชิงฮั่นจงมาได้ง่ายกว่าที่คิด แต่ในประวัติแฮหัวตุ้นกลับไม่มีบันทึกผลงานนี้ไว้



Source :  https://my.dek-d.com/eagle/writer/viewlongc.php?id=10590&chapter=8

No comments:

Post a Comment