Thursday, January 24, 2019

"ประวัติศาสตร์ปาตานี"ที่ถูกซ่อน...!"!


"ตอนเตรียมตัวสู้ศึก" หลังจากกองทัพปาตานีมีชัยชนะเหนือกองทัพพระนเรศวรในปี​ 1603 รายาฮีเยายิ่งมีความวิตกกังวลมากขึ้น​ เนื่องด้วยพระนเรศวรแค้นเคืองและตระเตรียมกำลังครั้งใหม่มุ่งหมายที่จะยึดปาตานีให้ได้​ พระองค์จึงต้องรีบเร่งจัดการบ้านเมืองเพื่อเตรียมป้องกัน​อาณาจักร​ สิ่งแรกที่สำคัญที่สุด​ คือ การพึ่งพาตัวเอง

ชาวปาตานีก็เฉกเช่นชาวมลายูทั่วๆไปที่กินข้าวเป็นอาหารหลัก​และมีวัฒนธรรมการปลูกข้าวหรือทำนา แต่เนื่องด้วยสภาพบ้านเมืองและการค้าของปาตานีที่รุ่งเรืองอย่างมากในสมัยนั้น​ ปรากฏว่าชาวปาตานีไม่ค่อยนิยมทำนาและมักจะทำการค้าขายมากกว่า​ ปาตานีจึงต้องมีการนำเข้าข้าวสารจากต่างแดนโดยเฉพาะจากสยาม​

เมื่อเป็นเช่นนี้​ พระ​องค์มองว่าปาตานีไม่สมควรที่จะยึดติดปัจจัยยังชีพอันจำเป็นจากสยาม​อีกต่อไป อีกทั้งปาตานีเองมียังมีพื้นที่ลุ่มสำหรับการทำนาอย่างกว้างขวางและถือได้ว่ามีที่นามากที่สุดบนคาบสมุทรมลายู​ พระองค์จึงเริ่มแผนการปฏิรูปในเรื่องนี้​โดยสร้างระบบชลประทานขึ้นมาเผื่อผันน้ำจากแม่น้ำปาตานีโดยสร้างฝายกันน้ำที่บริเวณบ้านปรีกี​ ปัจจุบันเรียกว่าทาเนาะบาตู​ แล้วทำการขุดคลองยาวไปออกทะเลที่บ้านปาเระ​ ประชาชนบริเวณดังกล่าวจึงสามารถทำนาได้อย่างดี​ อีกทั้งยังก่อเกิดชุมชนสำคัญๆตามคลองดังกล่าวด้วย​ เช่น​ ปอสัน​ ตรอซัน​ และขึ้นต้นด้วยบือแน.

ด้วยความอัฉริยบวกกับความมุ่งมั่นของพระองค์​ รายาฮีเยาได้เสด็จไปเปิดฝายน้ำชลประทานด้วยพระองค์เองและได้ให้โอวาทต่อบรรดามุขมนตรีและประชาชนที่​มาร่วมงานเปิดฝายที่บ้านตำมะหงัน ว่า "siapa​ punya​ tanah​ lapang, jadikan​lah​ sawah​ padi​ dan​ diri​kanlah rumah​ untuknya. Rumah padi itu adalah pusat​ perjuangan​ mu​ dan​ kamu​ akan​ musuh​ dengan​ Siam​ selamanya​ lagi." ด้วยความเชื่อมั่นในตัวผู้ปกครอง​ ชาวปาตานีจึงไถ่ร่างทำนากันอย่างกว้างขวาง​และเกิดวัฒธรรมการทำนาที่เป็นเอกลัษณ์

ชาวปาตานีให้ความสำคัญกับการทำนาเป็นอย่างมาก​ ขนาดที่ต้องสร้างบ้านในรูปสี่เสาให้เป็นที่เก็บข้าวและยังใช้คำว่า​" rumah​ padi" อันเป็นการบ่งบอกถึงความสำคัญในสังคม​ปาตานี​ รุเมาะห์ปาดีจึงมีความสำคัญมากกว่าแค่การเก็บข้าว​ (สำคัญยังไงค่อยว่ากัน)​ เมืองบริวารอื่นๆต่างก็เปิดพื้นที่ทำนากันอย่างกว้างขวางเช่นเดียวกัน​ สองปีต่อมา​ ปรากฏว่าปาตานีมีเสบียงอาหารเต็มกำลังและไม่ต้องนำเข้าข้าวสารจากต่างแดนอีกเลย​ เศรษฐกิจอาณาจักรยิ่งรุ่งเรื่องและรุ่งโรจน์มากขึ้น

เป็นที่นาเสียดายที่คลองประวัติศาสตร์​แห่งนี้ถูกแปรเปลี่ยน​และถูกทำลายไปบางส่วนเนื่องด้วยการสร้างเขื่อนปัตตานีในบริเวณใกล้เคียง​ อีกทั้งประชาชนที่ตั้งบ้านเรือนและชุมชนตลอดคลองนี้ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยศึกคราวปาตานีเสียกรุงให้แก่สยามในปี​ 1786

ปฏิบัติการแห่งรัฐขอฃรายาฮีเยา ในฐานะผู้หญิงขึ้นมาปกครองอาณาจักรของชาวมุสลิมนับว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายมาก​ เพราะผู้หญิงมิอาจเป็นผู้นำการปกครองสูงสุดได้​(ผิดวิสัยทั้งจารีตประเพณีและหลักการทางศาสนาในสมัยนั้น)​ พระองค์ต้องดำเนินการปกครองอย่างระมัดระวังเพื่อทำให้เหล่าอุลามาอ์​ เสนาบดี​ รายาเมือง​ เคารพยำเกรง​ และที่สำคัญคือการรักษาอธิปไตยของอาณาจักรปาตานีที่อาจจะถูกต่างชาติยึดครองด้วยเหตุผลว่าปาตานีมีผู้ปกครองที่เป็นผู้หญิงและอาจจะอ่อนแอ

หลังจากศึกครั้งแรกกับอยุธยาที่ปาตานีได้รับชัยชนะ​และทำให้พระนเรศวรเคืองพระทัย พระองค์ยิ่งวิตกกังวลมากขึ้นด้วยอยุธยามุ่งหมายที่จะส่งกองทัพโจมตีปาตานีอีกครั้ง​ พระองค์จึงต้องมีการตระเตรียมป้องกันเพื่อการรับศึกจากพลังของปาตานีเอง​ พระองค์จึงเริ่มงานต่างๆ​ หลักๆดังนี้

1. พระองค์ดำริให้สร้างปืนใหญ่ตามคำแนะนำของอุลามาอ์​ โดยผลิตมากกว่า​ 40​ กระบอก​ แต่มี​ 3 กระบอกที่มีขนาดใหญ่มาก​ และมีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ในสมัยนั้น​และตั้งชื่อว่า​ ศรีนัครี ศรีปาตานี​ มหาเลลา ทรงออกกฏหมายห้ามทำการซื้อขายทองเหลืองกับพ่อค้าต่างๆเว้นแต่กับราชสำนักเท่านั้น​(เรื่องโต๊ะปันยังก็เกิดช่วงนี้)

2. ทรงดำริให้สร้างฝายกั้นน้ำแม่น้ำปาตานีที่บ้านปรีกี​ เรียกว่าทาเนาะบาตู​ พร้อมกับทำการขุดคลองเพื่อส่งน้ำ​ ปัจจุบันคลองนี้ได้ตื้นเขินในบางส่วน​ ตั้งต้นที่บ้านปรีกี​ (บริเวณสะพานใกล้อนามัยบาซากะจิ​ อ.ยะรังในปัจจุบัน)​ไปออกที่บ้านปาเระ​ จุดประสงค์เพื่อการทำนาและการเกษตรกรรมเป็นหลักและเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าข้าวสารจากอยุธยาและกานพึ่งพาตัวเอง​ เกิดชุมชนหรือกำปงมากมายตามลำน้ำใหม่นี้​ (รายละเอียดชุมชนและความสำคัญของชุมชนเหล่านี้จะเอามาเล่าในภายหลัง)

3. แต่งตั้งที่ปรึกษาอาณาจักรที่เป็นชาวต่างชาติ(ชาวฝรั่งตะวันตก)​ ที่จริงก็เพื่อทำการผูกมัดทางการฑูตและความสัมพันธ์

4. ทำนุบำรุงและสานสัมพันธ์กับเมืองต่างๆบนคาบสมุทรมลายู

ทำไมถึงได้กล่าวขานว่าปาตานีคือระเบียงมักกะห์ หลังจากรายาฮีเยาสามารถจัดระเบียบการปกครองอาณาจักรใหม่​ สภาพการณ์บ้านเมืองก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติสุข​ อุลามาอ์มีอำนาจในการจัดการศาสนาอย่่างเต็มที่เนื่องอาณาจักรสนับสนุนศาสนจักรอย่างเต็มรูปแบบ​ รายาฮีเยาได้เปิดพื้นที่หลังบ้านกรือเซะให้เป็นสถานศึกษาปอเนาะ​ บริเณบ้านสระมาลา​ คลองมานิง​ สิเดะ​ เนื่องจากอยู่ใกล้เขตพระราชวัง​ การให้โอกาสและอำนาจการจัดการทางศาสนาส่งผลให้ปาตานีกลายเป็นระเบียงมักกะห์​ serambi​ makkah ได้อย่างรวดเร็ว​ มีมุสลิมจากที่ต่างๆในนูซันตารามาพำนักและศึกษาเล่าเรียนอิสลามเป็นจำนวนมาก​ นอกจากนั้นปาตานียังมีอุลามาอ์ที่มีความรู้ความสามารถในศาสตร์ด้านอื่นๆอีกด้วย

หลังจากมะละกาถูกโปรตุเกศยึดครอง​ในปี​ 1511 ปาตานียังได้ส่งกองทัพบกเพื่อช่วยเหลือยะโฮร์ปลดแอกจากมะละกา​โดยมีรายาอูงูซึ่งพำนักอยู่ที่เมืองปาหังในฐานะมเหสีสุลต่านปาหังเป็นผู้ชักใย​ การที่ศูนย์กลางมลายูอย่างมะละกาพ่ายแพ้ให้แก่โปรตุเกศอย่างยับเยินนั้น​ ยังส่งผลทางอ้อมให้ปาตานีถีบตัวเองเป็นศูนย์กลางสถานีการค้าที่ยิ่งใหญ่บนคาบสมุทรได้ในเวลาไม่นาน​ ปาตานีมีชื่อเสียงมากในด้าน

1. ศูนย์กลางด้านการศึกษาอิสลาม
2. ศูนย์กลางสถานีการค้า
3. ศูนย์กลางอารยธรรมมลายูคาบสมุทร
4. แหล่งค้าขายอาวุธยุทโธปกรณ์

ด้วยเหตุหลักๆหลายประการดังกล่าว​ ปาตานีจึงได้รับการขนานนามจากโลกอิสลามว่า "ดินแดนระเบียงมักกะห์" ศูนย์กลางราชการปกครองถูกเรียกว่า​ มาดีนะตุนฟาตานี​ นำมาซึ่งความปิติยินดีแก่ชาวเมืองเป็นอย่างมากในการขนานนามอันยิ่งใหญ่สุดสำหรับดินแดนอิสลาม​ ชาวบ้านชาวเมืองทั่วไปในสมัยนั้นไม่ค่อยคุ้นเคยกับภาษาอาหรับและมักจะเรียกชื่อผิดหรือเพี้ยนๆ​ เป็น​ มาดีเนาะห์บ้าง​ มือดือเนาะห์บ้าง​ อุลามาอ์จึงเห็นควรที่จะปรับชื่อให้ยังคงมีความหมายที่ดีในอิสลาม​ จึงเปลี่ยนเป็น​ มาดีนะตุนฟาฏอนี​ และแปลมาดีนะห์​ เป็น​ บันดัร​ ร่วมกับอาเจะห์ที่ได้รับการขนานนามเช่นเดียวกับปาตานี​

ปัจจุบันชื่อนี้กลายมาเป็น​ บานา​ ที่อยู่บริเวณบ้านบานาติดกับกรือเซะในปัจจุบัน​ ส่วนอาเจะห์ก็ใช้ชื่อว่า​ บันดาอาเจะห์​และยังคงใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน​ ทั้งสองอาณาจักรนี้​ ใช้คำว่า​ ดารุสสาลาม​ ลงท้ายเป็นคำทางการเรียกอาณาจักร​ ดังคำว่า​ อาณาจักรมลายูอิสลามปาตานีดารุสสาลาม​ Kerajaan​ Melayu​ Islam​ Patani​ Darusalam ในปัจจุบัน​ คนปาตานีทั่วไปเรียกตัวเองติดปาก​ ว่า​ "ปาตานีดารุสสาลาม" ในฐานะภูมิบุตร​ปาตานี​ Bumi​ Putra​ Patani.




credit :  Tasbih Untukmu

No comments:

Post a Comment