"ตอนเตรียมตัวสู้ศึก"
หลังจากกองทัพปาตานีมีชัยชนะเหนือกองทัพพระนเรศวรในปี 1603
รายาฮีเยายิ่งมีความวิตกกังวลมากขึ้น
เนื่องด้วยพระนเรศวรแค้นเคืองและตระเตรียมกำลังครั้งใหม่มุ่งหมายที่จะยึดปาตานีให้ได้
พระองค์จึงต้องรีบเร่งจัดการบ้านเมืองเพื่อเตรียมป้องกันอาณาจักร
สิ่งแรกที่สำคัญที่สุด คือ การพึ่งพาตัวเอง
ชาวปาตานีก็เฉกเช่นชาวมลายูทั่วๆไปที่กินข้าวเป็นอาหารหลักและมีวัฒนธรรมการปลูกข้าวหรือทำนา
แต่เนื่องด้วยสภาพบ้านเมืองและการค้าของปาตานีที่รุ่งเรืองอย่างมากในสมัยนั้น
ปรากฏว่าชาวปาตานีไม่ค่อยนิยมทำนาและมักจะทำการค้าขายมากกว่า
ปาตานีจึงต้องมีการนำเข้าข้าวสารจากต่างแดนโดยเฉพาะจากสยาม
เมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์มองว่าปาตานีไม่สมควรที่จะยึดติดปัจจัยยังชีพอันจำเป็นจากสยามอีกต่อไป อีกทั้งปาตานีเองมียังมีพื้นที่ลุ่มสำหรับการทำนาอย่างกว้างขวางและถือได้ว่ามีที่นามากที่สุดบนคาบสมุทรมลายู พระองค์จึงเริ่มแผนการปฏิรูปในเรื่องนี้โดยสร้างระบบชลประทานขึ้นมาเผื่อผันน้ำจากแม่น้ำปาตานีโดยสร้างฝายกันน้ำที่บริเวณบ้านปรีกี ปัจจุบันเรียกว่าทาเนาะบาตู แล้วทำการขุดคลองยาวไปออกทะเลที่บ้านปาเระ ประชาชนบริเวณดังกล่าวจึงสามารถทำนาได้อย่างดี อีกทั้งยังก่อเกิดชุมชนสำคัญๆตามคลองดังกล่าวด้วย เช่น ปอสัน ตรอซัน และขึ้นต้นด้วยบือแน.
ด้วยความอัฉริยบวกกับความมุ่งมั่นของพระองค์ รายาฮีเยาได้เสด็จไปเปิดฝายน้ำชลประทานด้วยพระองค์เองและได้ให้โอวาทต่อบรรดามุขมนตรีและประชาชนที่มาร่วมงานเปิดฝายที่บ้านตำมะหงัน ว่า "siapa punya tanah lapang, jadikanlah sawah padi dan dirikanlah rumah untuknya. Rumah padi itu adalah pusat perjuangan mu dan kamu akan musuh dengan Siam selamanya lagi." ด้วยความเชื่อมั่นในตัวผู้ปกครอง ชาวปาตานีจึงไถ่ร่างทำนากันอย่างกว้างขวางและเกิดวัฒธรรมการทำนาที่เป็นเอกลัษณ์
ชาวปาตานีให้ความสำคัญกับการทำนาเป็นอย่างมาก
ขนาดที่ต้องสร้างบ้านในรูปสี่เสาให้เป็นที่เก็บข้าวและยังใช้คำว่า" rumah
padi" อันเป็นการบ่งบอกถึงความสำคัญในสังคมปาตานี
รุเมาะห์ปาดีจึงมีความสำคัญมากกว่าแค่การเก็บข้าว (สำคัญยังไงค่อยว่ากัน)
เมืองบริวารอื่นๆต่างก็เปิดพื้นที่ทำนากันอย่างกว้างขวางเช่นเดียวกัน สองปีต่อมา
ปรากฏว่าปาตานีมีเสบียงอาหารเต็มกำลังและไม่ต้องนำเข้าข้าวสารจากต่างแดนอีกเลย
เศรษฐกิจอาณาจักรยิ่งรุ่งเรื่องและรุ่งโรจน์มากขึ้น
เป็นที่นาเสียดายที่คลองประวัติศาสตร์แห่งนี้ถูกแปรเปลี่ยนและถูกทำลายไปบางส่วนเนื่องด้วยการสร้างเขื่อนปัตตานีในบริเวณใกล้เคียง
อีกทั้งประชาชนที่ตั้งบ้านเรือนและชุมชนตลอดคลองนี้ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยศึกคราวปาตานีเสียกรุงให้แก่สยามในปี
1786
ปฏิบัติการแห่งรัฐขอฃรายาฮีเยา
ในฐานะผู้หญิงขึ้นมาปกครองอาณาจักรของชาวมุสลิมนับว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายมาก
เพราะผู้หญิงมิอาจเป็นผู้นำการปกครองสูงสุดได้(ผิดวิสัยทั้งจารีตประเพณีและหลักการทางศาสนาในสมัยนั้น)
พระองค์ต้องดำเนินการปกครองอย่างระมัดระวังเพื่อทำให้เหล่าอุลามาอ์ เสนาบดี
รายาเมือง เคารพยำเกรง
และที่สำคัญคือการรักษาอธิปไตยของอาณาจักรปาตานีที่อาจจะถูกต่างชาติยึดครองด้วยเหตุผลว่าปาตานีมีผู้ปกครองที่เป็นผู้หญิงและอาจจะอ่อนแอ
หลังจากศึกครั้งแรกกับอยุธยาที่ปาตานีได้รับชัยชนะและทำให้พระนเรศวรเคืองพระทัย
พระองค์ยิ่งวิตกกังวลมากขึ้นด้วยอยุธยามุ่งหมายที่จะส่งกองทัพโจมตีปาตานีอีกครั้ง
พระองค์จึงต้องมีการตระเตรียมป้องกันเพื่อการรับศึกจากพลังของปาตานีเอง
พระองค์จึงเริ่มงานต่างๆ หลักๆดังนี้
1.
พระองค์ดำริให้สร้างปืนใหญ่ตามคำแนะนำของอุลามาอ์ โดยผลิตมากกว่า 40 กระบอก
แต่มี 3 กระบอกที่มีขนาดใหญ่มาก
และมีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ในสมัยนั้นและตั้งชื่อว่า ศรีนัครี
ศรีปาตานี มหาเลลา ทรงออกกฏหมายห้ามทำการซื้อขายทองเหลืองกับพ่อค้าต่างๆเว้นแต่กับราชสำนักเท่านั้น(เรื่องโต๊ะปันยังก็เกิดช่วงนี้)
2.
ทรงดำริให้สร้างฝายกั้นน้ำแม่น้ำปาตานีที่บ้านปรีกี เรียกว่าทาเนาะบาตู
พร้อมกับทำการขุดคลองเพื่อส่งน้ำ ปัจจุบันคลองนี้ได้ตื้นเขินในบางส่วน
ตั้งต้นที่บ้านปรีกี (บริเวณสะพานใกล้อนามัยบาซากะจิ
อ.ยะรังในปัจจุบัน)ไปออกที่บ้านปาเระ
จุดประสงค์เพื่อการทำนาและการเกษตรกรรมเป็นหลักและเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าข้าวสารจากอยุธยาและกานพึ่งพาตัวเอง
เกิดชุมชนหรือกำปงมากมายตามลำน้ำใหม่นี้
(รายละเอียดชุมชนและความสำคัญของชุมชนเหล่านี้จะเอามาเล่าในภายหลัง)
3.
แต่งตั้งที่ปรึกษาอาณาจักรที่เป็นชาวต่างชาติ(ชาวฝรั่งตะวันตก)
ที่จริงก็เพื่อทำการผูกมัดทางการฑูตและความสัมพันธ์
4.
ทำนุบำรุงและสานสัมพันธ์กับเมืองต่างๆบนคาบสมุทรมลายู
ทำไมถึงได้กล่าวขานว่าปาตานีคือระเบียงมักกะห์
หลังจากรายาฮีเยาสามารถจัดระเบียบการปกครองอาณาจักรใหม่
สภาพการณ์บ้านเมืองก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติสุข
อุลามาอ์มีอำนาจในการจัดการศาสนาอย่่างเต็มที่เนื่องอาณาจักรสนับสนุนศาสนจักรอย่างเต็มรูปแบบ
รายาฮีเยาได้เปิดพื้นที่หลังบ้านกรือเซะให้เป็นสถานศึกษาปอเนาะ บริเณบ้านสระมาลา
คลองมานิง สิเดะ เนื่องจากอยู่ใกล้เขตพระราชวัง
การให้โอกาสและอำนาจการจัดการทางศาสนาส่งผลให้ปาตานีกลายเป็นระเบียงมักกะห์ serambi
makkah ได้อย่างรวดเร็ว
มีมุสลิมจากที่ต่างๆในนูซันตารามาพำนักและศึกษาเล่าเรียนอิสลามเป็นจำนวนมาก
นอกจากนั้นปาตานียังมีอุลามาอ์ที่มีความรู้ความสามารถในศาสตร์ด้านอื่นๆอีกด้วย
หลังจากมะละกาถูกโปรตุเกศยึดครองในปี 1511
ปาตานียังได้ส่งกองทัพบกเพื่อช่วยเหลือยะโฮร์ปลดแอกจากมะละกาโดยมีรายาอูงูซึ่งพำนักอยู่ที่เมืองปาหังในฐานะมเหสีสุลต่านปาหังเป็นผู้ชักใย
การที่ศูนย์กลางมลายูอย่างมะละกาพ่ายแพ้ให้แก่โปรตุเกศอย่างยับเยินนั้น
ยังส่งผลทางอ้อมให้ปาตานีถีบตัวเองเป็นศูนย์กลางสถานีการค้าที่ยิ่งใหญ่บนคาบสมุทรได้ในเวลาไม่นาน
ปาตานีมีชื่อเสียงมากในด้าน
1. ศูนย์กลางด้านการศึกษาอิสลาม
2. ศูนย์กลางสถานีการค้า
3. ศูนย์กลางอารยธรรมมลายูคาบสมุทร
4. แหล่งค้าขายอาวุธยุทโธปกรณ์
ด้วยเหตุหลักๆหลายประการดังกล่าว
ปาตานีจึงได้รับการขนานนามจากโลกอิสลามว่า "ดินแดนระเบียงมักกะห์"
ศูนย์กลางราชการปกครองถูกเรียกว่า มาดีนะตุนฟาตานี
นำมาซึ่งความปิติยินดีแก่ชาวเมืองเป็นอย่างมากในการขนานนามอันยิ่งใหญ่สุดสำหรับดินแดนอิสลาม
ชาวบ้านชาวเมืองทั่วไปในสมัยนั้นไม่ค่อยคุ้นเคยกับภาษาอาหรับและมักจะเรียกชื่อผิดหรือเพี้ยนๆ
เป็น มาดีเนาะห์บ้าง มือดือเนาะห์บ้าง
อุลามาอ์จึงเห็นควรที่จะปรับชื่อให้ยังคงมีความหมายที่ดีในอิสลาม จึงเปลี่ยนเป็น
มาดีนะตุนฟาฏอนี และแปลมาดีนะห์ เป็น บันดัร
ร่วมกับอาเจะห์ที่ได้รับการขนานนามเช่นเดียวกับปาตานี
ปัจจุบันชื่อนี้กลายมาเป็น บานา
ที่อยู่บริเวณบ้านบานาติดกับกรือเซะในปัจจุบัน ส่วนอาเจะห์ก็ใช้ชื่อว่า
บันดาอาเจะห์และยังคงใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน ทั้งสองอาณาจักรนี้ ใช้คำว่า
ดารุสสาลาม ลงท้ายเป็นคำทางการเรียกอาณาจักร ดังคำว่า
อาณาจักรมลายูอิสลามปาตานีดารุสสาลาม Kerajaan Melayu Islam Patani
Darusalam ในปัจจุบัน คนปาตานีทั่วไปเรียกตัวเองติดปาก
ว่า "ปาตานีดารุสสาลาม" ในฐานะภูมิบุตรปาตานี Bumi Putra
Patani.
credit : Tasbih Untukmu
No comments:
Post a Comment