“ผู้ชี้ทางมังกรหลับ”
จากจดหมายเหตุชีวประวัติชีซี โดยเฉินโซ่ว
(Biography of Xu Shu)
ชีซี หรือ สวีซู่ (Xu Shu) ชื่อรอง เหยียนจื๋อ (Yuanzhi) ปีเกิดไม่แน่ชัด
เป็นชาวเมืองอิ่งชวน มณฑลเหอหนาน มีนามเดิมว่าตันฮก
เมื่อวัยเยาว์ได้ฝึกฝนเพลงกระบี่และวิชาอาวุธ
เมื่อวัยหนุ่มชอบการขี่ม้ายิงธนูและใช้ชีวิตเสเพลพอควร
ต่อมาเขาได้ลงมือสังหารข้าราชการกังฉินที่มีอิทธิพลในถิ่นบ้านเกิด
จึงโดนทางการตามไล่ล่าตัว เขาจึงหาทางปกปิดโฉมหน้า
เปลี่ยนทรงผมเหมือนชนเผ่านอกด่าน แต่ไม่นานก็โดนทหารตรวจการจับตัวมาสอบสวน
เขาไม่ยอมบอกชื่อแซ่ของตนเอง จึงโดนจับขึงในกรงขังบนรถแล้วขี่ประจานไปทั่วเมือง
แต่เขาก็ยังไม่ปริปากพูด ทางการมีประกาศให้ผู้คนที่รู้จักมาชี้ตัว
แต่ก็ไม่มีใครมาชี้ตัวเขาเลย จนกระทั่งมีผู้ช่วยเหลือเขาออกมาได้
เขามีความยินดีมาก จึงเปลี่ยนชื่อแซ่ใหม่ แล้วยังตัดสินใจเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต
เลิกละจากวิชาดาบ หันไปศึกษาตำราในสำนักบัณฑิตเป็นต้นมา
เมื่อชีซีศึกษาตำราอยู่ในสำนักบัณฑิต
บรรดาบัณฑิตร่วมสำนักรู้พื้นเพของเขาแล้ว
ก็ไม่ค่อยอยากคบค้าสมาคมและดูแคลนเขากันมาก
แต่ชีซีก็ยังคงตั้งมั่นศึกษาวิชาต่อไปด้วยความเยือกเย็น เขาตื่นแต่เช้าตรู่
ทำความสะอาดภายในสำนัก ชำระค่าเล่าเรียนโดยไม่ขาด ต่อมาจึงได้พบกับเซ็กโต๋
พวกเขาจึงคบหากันเป็นสหายสนิทในที่สุด
จากนั้นหลายปีต่อมา
ชีซีและเซ็กโต๋อพยพจากภาคกลางไปอาศัยอยู่ที่ดินแดนเกงจิ๋วเพื่อหลีกหนีไฟสงคราม
เวลานั้นเขาได้มีโอกาสพบกับ จูกัดเหลียง ขงเบ้ง
แล้วจากนั้นทั้งหมดจึงได้คบหากันเป็นสหายสนิทต่อกัน แล้วทั้งหมดก็ได้ศึกษาวิชาความรู้ร่วมกันมานับแต่นั้น
ปีค.ศ.207 เวลานั้น เล่าปี่ตั้งมั่นอยู่ที่เมืองซินเอี๋ย
ช่วยเล่าเปียวป้องกันศึกจากโจโฉ
เวลานั้นเล่าปี่ได้เชื้อเชิญชีซีมาให้คำปรึกษาแล้วได้ต้อนรับเป็นอย่างดี
ชีซีได้แนะนำเล่าปี่ว่า
“จูกัดเหลียง ขงเบ้ง เปรียบดั่งมังกรหลับ”
ท่านขุนพล (เล่าปี่) อยากพบเขาหรือไม่” เล่าปี่ตอบกลับว่า
“โปรดรีบเชิญเขามาเถิด” แต่ชีซีกล่าวต่อว่า
“เป็นการยากที่จะเชื้อเชิญขงเบ้งให้มาด้วยตนเอง
ท่านควรต้องเดินทางไปพบกับเขาเอง เพื่อแสดงความจริงใจให้เขาได้เห็น”
ด้วยเหตุนี้ เล่าปี่จึงตัดสินใจเดินทางไปพบขงเบ้งด้วยตนเอง
แต่เมื่อไปถึงที่พักของขงเบ้งแล้วก็ไม่ได้พบ จำต้องเดินทางกลับ
แต่เล่าปี่ก็ยังคงเดินทางกลับไปพบอีกถึงสามครั้ง สุดท้ายเล่าปี่จึงได้พบกับขงเบ้ง
ทั้งคู่ได้สนทนาเรื่องราวของบ้านเมืองภายในกระท่อม
แล้วในที่สุดขงเบ้งก็ได้รับทำงานเป็นที่ปรึกษาในกองทัพให้กับเล่าปี่มานับแต่นั้น
ปีค.ศ.208
เล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วได้ล้มป่วยแล้วสิ้นชีพลงกะทันหัน
เล่าจ๋องบุตรชายรับสืบทอดอำนาจ ในปีเดียวกัน โจโฉเคลื่อนทัพใหญ่บุกเกงจิ๋ว
ทำให้เล่าจ๋องยอมสวามิภักดิ์
เล่าปี่อพยพประชาชนจำนวนนับล้านหนีลงใต้ไปอยู่ที่เมืองแฮเค้า
โจโฉส่งทหารม้า 5,000
คนไล่ล่าขบวนของเล่าปี่ที่เตียงปันจนแตกกระเจิง
มารดาของชีซีโดนโจโฉจับตัวได้ในระหว่างความวุ่นวาย
ดังนั้นชีซีจึงตัดสินใจขอแยกจากขบวนของเล่าปี่เพื่อไปหามารดาของตนที่ทัพโจโฉ
ก่อนจากไปนั้น เขาได้ยกมือขึ้นชี้ที่หน้าอกของตนแล้วกล่าวกับเล่าปี่ว่า
“เดิมทีข้าพเจ้ามีใจที่หมายทำตามปณิธานแห่งหัวใจดวงนี้แล้วร่วมอยู่ใต้สังกัดของนายท่านต่อไป
แต่บัดนี้ข้าพเจ้าเพิ่งสูญเสียมารดาผู้แก่ชราไป
ในหัวใจของข้าพเจ้าเต็มไปด้วยความปั่นป่วน
และไม่อาจใช้สติปัญญาหรือหลักเหตุผลอย่างที่เคยได้ ดังนั้นขอได้โปรดอนุญาตให้ข้าพเจ้าได้จากไป
ณ ที่แห่งนี้ด้วยเถิด”
ครั้นพูดจบแล้ว ชีซีก็เดินทางไปหาโจโฉแทน
ฝ่ายเซ็กโต๋เองก็ได้ติดตามชีซีไปอยู่กับโจโฉด้วยเช่นกัน
ชีซียังคงทำงานรับใช้วุยก๊กต่อไป ภายหลังเมื่อโจผีสิ้นชีพไปแล้ว
โจผีบุตรชายได้ขึ้นสืบอำนาจต่อ ปลดพระเจ้าเหี้ยนเต้ลงแล้วปราบดาภิเษกขึ้นเป็นฮ่องเต้
จากนั้นโจผีก็แต่งตั้งชีซีให้เป็นแม่ทัพฝ่ายขวา
ควบตำแหน่งราชเลขาธิการประจำราชสำนัก
กระทั่งเมื่อถึงรัชสมัยของโจยอย ฝ่ายขงเบ้งได้เป็นสมุหนายก
กุมอำนาจบริหารปกครองในจ๊กก๊กทั้งหมด ระหว่างขงเบ้งเตรียมกองทัพเพื่อออกศึกปราบภาคเหนือ
เขาก็ได้ทราบว่าทั้งชีซีและเซ็กโต๋ได้กลายเป็นขุนนางที่มีชื่อเสียงและสถานะมั่งคั่งเป็นอย่างมาก
แต่ขงเบ้งก็ได้กล่าวว่า “ในวุยก๊กล้วนอุดมไปด้วยผู้มีสติปัญญาเป็นจำนวนมาก
เหตุใดจึงไม่มีผู้ใดช่วงใช้พวกเขาทั้งสองคนให้สร้างชื่อเสียงได้ยิ่งกว่านี้เล่า”
ไม่กี่ปีต่อมา
ชีซีก็ล้มป่วยแล้วเสียชีวิตลงในที่สุด ภายหลังคนจีนมีคำกล่าวถึงชีซีติดปากกันว่า “กายอยู่กับโจโฉ
แต่หัวใจอยู่กับราชวงศ์ฮั่น”
ความสามารถของชีซีนั้นเป็นที่น่าสนใจว่า แท้จริงแล้วมีมากเพียงใด
จากในจดหมายเหตุข้างต้นจะพบว่า ชีซีแทบไม่ได้แสดงผลงานในด้านการวางแผนกลยุทธ์ใดๆให้เป็นที่ประจักษ์ชัดเท่าใดนัก
แต่ผลงานหลักที่คนทั่วไปรับรู้คือ
การเป็นผู้แนะนำชื่อของขงเบ้งให้เล่าปี่ได้รับทราบ
จึงนำไปสู่เหตุการณ์เยือกระท่อมหญ้าสามคราที่โด่งดังในที่สุด
ในนิยายสามก๊กนั้น มีเหตุการณ์ในศึกที่เมืองซินเอี๋ยซึ่งโจหยินนำทัพมาทำศึกกับเล่าปี่
เวลานั้นชีซีได้แสดงความสามารถในกลยุทธ์ทางทหาร
ด้วยการหาช่องว่างของค่ายกลแปดประตูทองคำที่โจหยินได้พัฒนาขึ้นมาแล้วสามารถวางแผนทำลายไปยังช่องว่างนั้นได้
นี่จึงเป็นผลงานทางทหารที่สำคัญของชีซี นอกจากนี้ ในบรรดากุนซือจำนวนนับไม่ถ้วนที่โลดแล่นอยู่ในยุคสามก๊กนั้น
ชีซีเป็นเพียงไม่กี่คนที่มาจากสายบู๊อย่างเด่นชัด
สรุปข้อแตกต่างเรื่องราวของชีซี
ระหว่างจดหมายเหตุและนิยาย
1. ในนิยายสามก๊ก
หลอก้วนจงได้เสริมเติมเรื่องราวการพบกันของเล่าปี่และชีซีอย่างมีสีสันมากขึ้น
โดยก่อนหน้าที่ทั้งสองจะลาจากกันนั้น ชีซีได้มองดูม้าที่เล่าปี่ขี่มา
ซึ่งม้าตัวนี้เป็นม้าสีขาวที่มีชื่อว่าเต็กเลา
เขาจึงได้บอกเล่าปี่ว่าม้าตัวนี้เป็นม้าที่มีลักษณะไม่ดีและจะนำโชคร้ายมาให้แก่ผู้ที่ขี่มัน
ดังนั้นเล่าปี่จึงควรจะละม้าตัวนี้ไปเสีย
วิธีการที่ดีก็คือยกม้าตัวนี้ให้กับคนที่เป็นศัตรูหรือผู้ที่เล่าปี่หมายจะเอาชีวิต
ก็จะขจัดปัญหาได้อย่างไม่ยาก เล่าปี่ได้ฟังเช่นนั้นก็ปฏิเสธไป
แล้วกล่าวว่านั่นเป็นสิ่งที่ขัดต่อคุณธรรมแล้วจึงคิดจะควบม้าจากไป
ชีซีได้ฟังคำตอบเช่นนั้นจึงพบว่านี่แหละคือเจ้านายที่เขาเฝ้ารอมานาน
และเรียกให้เล่าปี่หยุดไว้จากนั้นจึงบอกว่าที่เขาถามไปเช่นนั้นก็เพราะต้องการทดสอบเล่าปี่ว่าจะมีคุณธรรมในใจสักแค่ไหน
เมื่อทราบแล้วจึงขอมาอยู่รับใช้เล่าปี่นับจากนี้ไป
2. ในนิยาย
ชีซีแทบจะยุติบทบาทลงหลังจากได้ไปอยู่กับโจโฉแล้ว โดยมีบทบาทสั้นๆอีกครั้งคือ
ชีซีได้อาสาโจโฉเดินทางมาพบขงเบ้งในระหว่างศึกผาแดงเพียงเท่านั้น
3. จริงอยู่ว่าในนิยายนั้น
ชีซีไม่ได้เสนอแผนการทางทหารหรือช่วยเหลือโจโฉเลย แต่ที่น่าสนใจคือ
ในจดหมายเหตุบันทึกไว้ว่าชีซีได้รับตำแหน่งขุนนางที่สำคัญ
แล้วยังมีอำนาจบัญชาทหารอีกด้วย
Credit : https://my.dek-d.com/sirpass/story/viewlongc.php?id=10590&chapter=9
No comments:
Post a Comment