Wednesday, January 15, 2020

ซุนวู ๑๓ บท : บทที่ ๑๑ เก้ายุทธภูมิ

อันหลักแห่งการบัญชาทัพนั้น

มียุทธภูมิซ่านเซ็น มียุทธภูมิเบา มียุทธภูมิยื้อแย่ง มียุทธภูมิคาบเกี่ยว มียุทธภูมิสัญจร มียุทธภูมิหนัก มียุทธภูมิวิบาก มียุทธภูมิโอบล้อม มียุทธภูมิมรณะ
    
เจ้าครองแคว้นรบในแดนตก เรียกว่า "ยุทธภูมิซ่านเซ็น" รุกเข้าแดนผู้อื่นไม่ลึก เรียกว่า "ยุทธภูมิเบา" เราได้ก็มีประโยชน์ เขาได้ก็มีประโยชน์ เรียกว่า "ยุทธภูมิยื้อแย่ง"
    
เราไปก็ได้ เขามาก็ได้ เรียกว่า "ยุทธภูมิคาบเกี่ยว" เขตแดนต่อแดนสามฝ่าย ใครถึงก่อนจั้กได้มิตรมากมายในปฐพี เรียกว่า "ยุทธภูมิสัญจร"

รบลึกเข้าแดนผู้อื่น ทิ้งเมืองมากหลายไว้เบื้องหลัง เรียกว่า "ยุทธภูมิหนัก" เดินทัพในป่าเขา ที่คับขันตราย ห้วยหนองคลองบึงเส้นทางยากเข็ญเหล่านี้ เรียกว่า "ยุทธภูมิวิบาก"
ทหารเข้าเล็กคาบ ทางกลับวกวน เขากำลังน้อยสามารถตีเรากำลังมาก เรียกว่า "ยุทธภูมิโอบล้อม" รบไม่คิดชีวิตก็รอด รบไม่เต็มกำลังก็สิ้น เรียกว่า "ยุทธภูมิมรณะ"

เหตุนี้

    ในยุทธภูมิซ่านเซ็นอย่ารบ
    ในยุทธภูมิเบาอย่าหยุด
    ในยุทธภูมิยื้อแย่งอย่าฝืน
    ในยุทธภูมิคาบเกี่ยวฟังหนุนเนื่อง
    ในยุทธภูมิสัญจรพึงคบมิตร
    ในยุทธภูมิหนักพึงกวาดต้อน
    ในยุทธภูมิวิบากพึงรีบผ่าน
    ในยุทธภูมิโอบล้อมใช้อุบาย
    ในยุทธภูมิมรณะรบสุดชีวิต

ผู้สันทัดการบัญชาทัพแต่โบราณกาล สามารถตัดหน้าหลังข้าศึกขาดจากกัน ทัพใหญ่ทัพเล็กมิอาจพึ่งกัน นายกับพลมิอาจช่วยกัน หน่วยบนหน่วยล่างมิอาจรวมกัน ไพร่พลกระเจิงไม่เป็นกลุ่มก้อน รวมพลได้ก็ไม่ครบถ้วน ได้ประโยชน์ก็รบ ไม่ได้ประโยชน์ก็หยุด ใคร่ถามว่า

"ข้าศึกมากเป็นขบวนจะบุกมา พึงทำฉันใด" ตอบว่า "ยึดจุดสำคัญข้าศึกก่อน จักคล้อยตามเรา"

การทำศึกที่สำคัญที่รวดเร็ว ฉวยโอกาสข้าศึกไม่รู้ตัว บุกในเส้นทางไม่คาดคิด ตีจุดที่มิได้ป้องกัน อนหลักแห่งการรบเข้าแดนข้าศึกนั้น เมื่อลึกจะมุ่งมั่น ข้าศึกมิอาจต้าน กว้านเสบียงจากแหล่งอุดม สามทัพจักมีอาหารพอเลี้ยงไพร่พลอย่าให้เหนื่อยยาก บำรุงขวัญสะสมกำลัง เคลื่อนพลพึงใช้อุบาย จนมิอาจคาดการณ์ ทุ่มไพร่พลสู่ที่อับ ก็ยอมตาย มิยอมพ่าย

เมื่อสู้ตายย่อมได้ผล ไพร่พลจึ่งรบเต็มกำลัง แม้ตกอยู่ในอันตรายก็มิพรั่น หมดทางไปใจยิ่งมั่นคง ยิ่งลึกยิ่งเหนียวแน่น เมื่อจำเป็นจักสู้ เหตุนี้ ไพร่พลมิต้องกำชับก็รู้ระวัง มิต้องบอกกล่าวก็ทำสำเร็จ มิต้องบังคับก็ร่วมใจกาย มิต้องสั่งการ ก็เคร่งวินัย ปราบความงมงาย คลายความกังขา แม้รบจนตัวตายก็มิหลีกหนี ไพร่พลเราไร้ทรัพย์สิน ใช่เพราะเกลียดสมบัติ ไม่กลัวตายใช่เพราะชังชีวิต ในวันออกคำสั่งร ไพร่พลที่นั่งน้ำตาก็ชุ่มเสื้อ ที่นอนน้ำตาก็อาบแก้ม แม้จะไปรบในที่อับจน ก็หาญกล้าดุจจวนจูฉาวกุ้ย

ฉะนั้น ผู้สันทัดการบัญชาทัพ ก็จักเป็นเช่นส้วนหราง อันส้วยหรางนั้น คืออสรพิษเขาฉางซาน ตีหัวหางจักฉก ตีหางหัวจักฉก ตีท่อนกลางหัวหางฉกพร้อมกัน ใคร่ถามว่า

"จักให้กองทัพเป็นดั่งส้วยหรางได้หรือไม่" ตอบว่า "ได้"

เหมือนชาวแคว้นอู๋กับแคว้นเย่เกลียดชังกัน ครั้นลงเรือลำเดียวกันข้ามฟาก เจอพายุ ก็ช่ยยกัน ประหนึ่งแขนซ้ายขวา

เหตุนี้ การผูกม้าฝังล้อรถเพื่อเรียกขวัญ จึงมิพึงยึดถือความหาญกล้าเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว เกิดจากการบัญชาอันควรเข้มแข็ง หรืออ่อนแอก็รบเต็มกำลัง เพราะรู้จักใช้ภูมิประเทศ

ฉะนั้น ผู้สันทัดการบัญชาทัพ จึงควบคุมกองทัพได้ประดุจคนคนเดียว นี้เป็นความจำเป็น อันหน้าที่ของแม่ทัพ พึงเยือกเย็นเพื่อขบคิด พึงเที่ยงธรรมเพื่อปกครอง สามารถอำพรางหูตาไพร่พล ให้มิรู้ความ ยามเปลี่ยนภารกิจปรับกลอุบาย ก็ไม่มีผู้ใดสำนึก ยามเปลี่ยนที่ตั้งค่าย ยกทัพวกวน ก็ไม่มีผู้ใดตระหนัก ยามมอบหน้าที่ไพร่พล ก็เหมือนให้ไต่ที่สูงแล้วชักบันได ยามรุกเข้าแดนเจ้าครองแคว้นอื่น ก็ประดุจน้าวลั่นเครื่องยิงเกาทัณฑ์ เผาเรือทุบหม้อข้าว

ดังหนึ่งต้อนฝูงแกะ ขับให้ไปไล่ให้มา มิล่วงรู้ความประสงค์ รวรวมไพร่พลสามทัพ ส่งยังที่อันตราย นี้คือหน้าที่แม่ทัพ การเปลี่ยนแปลงของเก้ายุทธภูมิ ประโยชน์ของการยืดหยุ่น

วิสัยของจิตมนุษย์ จักไม่พินิจพิเคร่ะห์มิได้ อันหลักแห่งการรุกเข้าแดนข้าศึกนั้น เมื่อลึกจะมุ่งมั่น เมื่อตื้นจะซ่านเซ็น การกรีฑาทัพจากบ้านเมืองข้ามพรมแดนไปเป็นยุทธภูมิอับ ไปมาสะดวก เป็นยุทธภูมิสัญจร บุกลึกเข้าไปเป็ยุทธภูมิหนัก บุกค่อนข้างตื้นเป็นยุทธภูมิเบา เบื้องหลังคับขันเบื้องหน้าเล็กแคบ เป็นยุทธภูมิโอบล้อม ไปไหนมิได้ เป็นยุทธภูมิมรณะ

เหตุนี้ ในยุทธภูมิซ่านเซ็น เราพึงรวมใจให้เป็นหนึ่งในยุทธภูมิเบา เราพึงทำให้เชื่อมต่อกัน ในยุทธภูมิยื้อแย่ง เราพึงอ้อมไปหลังข้าศึก ในยุทธภูมิคาบเกี่ยว เราพึงรักษาให้เข้มงวด ในยุทธภูมิสัญจร เราพึงควบมิตรให้แน่นแฟ้น ในยุทธภูมิหนัก เราพึงให้อาหารไม่ขาดตอน ในยุทธภูมิวิบาก เราพึงเร่งเดินทัพให้พ้น ในยุทธภูมิโอบล้อม เราพึงอุดช่องโหว่ให้แน่น ให้ยุทธภูมิมรณะ เราพึงแสดงว่ายอมตาย

ฉะนั้น จิตใจของไพร่พล ถูกล้อมก็ต้าน จำเป็นก็สู้ คับขันก็ฟังบัญชา เหตุนี้ หากมิรู้เจตจำนงเจ้าครองแคว้น ก็มิพึงคบหา มิรู้ลักษณะป่าเขา ที่คับขันอันตราย ห้วยหนองคลองบึง ก็มิอาจเดินทัพ ไม่ใช้มัคคุเทศก์พื้นเมือง ก็มิได้ประโยชน์จากภูมิประเทศ ผลดีชั่วของเก้ายุทธภูมิ มิรู้แม้เพียงหนึ่งเดียว ก็มิใช่กองทัพของผู้พิชิต อันกองทัพของผู้พิชิตนั้น เมื่อบุกประเทศใหญ่ ทวยราษฎร์ก็มิทันรวมพล ครั้นข่มศัตรูดวยแสนยานุภาพ การผูกมิตรก็มิสัมฤทธิ์ผล เหตุนี้ จึงมีจำต้องชิงผูกมิตรในปฐพี มิจำต้องเสริมอำนาจในแผ่นดิน เชื่อในกำลังตน

ครั้นข่มศัตรูด้วยแสนยานุภาพ ก็จักยึดเมือง ล่มประเทศนั้นได้ การให้รางวัลเกินระเบียบ ออกคำสั่งนอกกำหนด จักบัญชาไพร่พลสามทัพประหนึ่งคนคนเดียว ให้ปฏิบัติภารกิจ ก็มิต้องชี้แจง ให้ช่วงชิงผลประโยชน์ ก็มิต้องแจ้งภัย ส่งไปที่ม้วยจึงอยู่ ตกในที่ตายจึงเป็น ไพร่พลตกอยู่ในอันตราย จึ่งจักรู้แพ้รู้ชนะ

ฉะนั้น การบัญชาทัพ อยู่ที่แสร้งคล้อยตามข้าศึก ทะลวงข้าศึกในจุดเดีย วไล่สังหารขุนพลพันลี้ นี้คือที่ว่า ความแยบยลเป็นผลให้งานสำเร็จ

เหตุนี้ เมื่อกำหนดการศึกแล้ว พึงปิดด่านตรวจสาร ไม่ส่งทูตแก่กัน ประมาณการณ์รอบคอบในศาลเทพารักษ์ เพื่อวินิจแผนรบ เมื่อข้าศึกเปิดโอกาส พึงรีบโหมบุก รุกยึดจุดสำคัญก่อน อย่านัดวันประจัญบาน พึงปรับแผนตามภาวะข้าศึก เพื่อรบแตกหัก เหตุนี้ พึงสงบเยี่ยงสาวพรหมจารีในชั้นแรก เมื่อข้าศึกเปิดช่อง จึ่งเร็วสุดดุจกระต่ายหลุดบ่วงในภายหลัง ข้าศึกต้านก็มิทัน

ภาคปฏิบัติ

"เก้ายุทธภูมิ"
"ยุทธภูมิซ่านเซ็น ยุทธภูมิเบา"
"ยุทธภูมิยื้อแย่ง"
"ยุทธภูมิสัญจร"
"ยุทธภูมิหนัก"
 "ยุทธภูมิเบา"
"ยุทธภูมิวิบาก"
 "ยุทธูมิโอบล้อม"
"ยุทธภูมิมรณะ"
"ได้ประโยชน์ก็รบ ไม่ได้ประโยชน์ก็หยุด"
 "การทำศึกสำคัญที่รวดเร็ว ฉวยโอกาสข้าศึกไม่รู้ตัว บุกในเส้นทางไม่คาดคิด ตีจุดที่มิได้ป้องกัน"
"ส่งไปที่ม้วยจึงอยู่ ตกในที่ตายจึงเป็น ไพร่พตกอยู่ในอันตราย จึ่งจักรู้แพ้รู้ชนะ"
"ทะลวงข้าศึกในจุดเดียว"
 "พึงสงบเยี่ยงสาวพรหมจารีในชั้นแรก เร็วรุดดุจกระต่ายหลุดบ่วงในภายหลัง"


 

   Credit : https://www.baanjomyut.com/library/the_art_of_war/22.html

No comments:

Post a Comment