ส่วนที่ ๒ กลยุทธ์เผชิญศึก
ยามเมื่อเผชิญศึกเท็จลวงกับจริงแท้
พึงใช้สอดแทรกซึ่งกันและกันอย่างสลับซับซ้อน
ทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ
กลยุทธ์ที่ ๑๑ หลี่ตายแทนถาว
การจักต้องเสีย เสียมืดเพื่อประโยชน์สว่าง
กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า
เมื่อการพัฒนาของสถานการณ์มิเป็นผลดีแก่ตนจักต้องเกิดความเสียหาย
อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น เพื่อที่จะแปรความเสียเปรียบเป็นความได้เปรียบ
ก็จะต้องยอมเสีย “มืด”
เพื่อประโยชน์แก่ “สว่าง” ซึ่งก็หมายความว่าจำต้องเสียสละส่วนหนึ่ง
เสียค่าตอบแทนน้อย
เพื่อแลกกับชัยชนะทั่วทุกด้าน “ หลี่ตายแทนถาว” ความหมายเดิมเป็นการเปรียบเทียบความรักใคร่
ช่วยเหลือกันระหว่างพี่น้อง
แต่เมื่อใช้ในการทหารหรือในกรณีอื่น ๆ ก็เปรียบเทียบเป็นการทดแทน
ซึ่งกันและกัน อันเป็นกลอุบายที่ให้
ก.เข้าแทนที่ ข.หรือให้ ข.แทนที่ ก. อย่างหนึ่ง ที่ว่า”เสียกำเอากอบ”
หรือ “เสียบ่าวเอานาย” ก็เป็นกลอุบายในทำนองนี้ คำ ๆ นี้เดิมมาจากกวีนิพนธ์บทหนึ่งชื่อ
“ไก่ขัน”
ใน “ชุมนุมกวีนิพนธ์กู่เล่อฝู่” ความว่า
“ ต้นถาวเกิดที่ปากบ่อ
ต้นหลี่โตเคียงมา หนอนบ่อนไชต้นถาว
หลี่ตายแทนถาว ต้นไม้ยังตายแทนกัน
พี่น้องไฉนไยจึงลืม”
ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ........
ในช่วงหลังของยุคจ้านกว้อ
แคว้นจ้าวมีขุนพลฝีมือดีอยู่คนหนึ่งชื่อหลี่มู่เนื่องจากได้สร้าง
ความดีความชอบไว้มากมาย จึงได้รับการแต่งตั้งให้มีบรรดาศักดิ์ เป็นอู่อันจิน (๒๓๖
ปีก่อนคริสตกาล) ในสมัยที่เสี้ยวเฉิงอ๋อง (๒๖๕-๒๔๔ ปีก่อนคริสต์กาล)
ผู้ครองแคว้นจ้าวยังมีชีวิตอยู่ ขุนพลผู้รักษาแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้น(ในอำเภอเหอซีและหนิงอู่
มณฑลซานซีปัจจุบัน) ซึ่งเป็นเขตชายแดน ของแคว้นจ้าว มักจะตั้งทหารอยู่ ณ
เมืองเอี้ยนเหมิน เนื่องจากในขณะนั้นพวกฮวนซงหนู
ได้ตั้งแคว้นซานหลานขึ้นทางภาคเหนือของแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้น
ทั้งเผ่าชนฮวนตงหูและหลินหู อีก ๒ เผ่าใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้เคียง
ก็คอยคุกคามพรมแดนของแคว้นจ้าวอยู่เสมอมา พวกฮวนเหล่านี้โดยเฉพาะฮวนซงหนู
มักจะบุกเข้าในแดนจ้าว ถ้าไม่ไปจับคนไปเป็นเชลย
ก็ปล้นชิงเอาสัตว์เลี้ยงและทรัพย์สินของราษฎรไปพวกฮวนแก่งทางขี่ม้า
เวลาบุกเข้ามาครั้งละหลายสิบ หรือหลายร้อยคนก็รวดเร็วประดุจพายุหมุน
เข้าตีปล้นกวาดต้อนเอาชั่วพริบตาเดียวก็จากไปทิ้งฝุ่นไว้ตลบ
ราษฎรแห่งแคว้นจ้าวทั้งหลายทางภาคเหนือต้องรับเคราะห์กรรมจากการบุกรุกของพวกฮวนครั้งแล้วครั้งเล่า
เดือดร้อนไปทุกครัวเรือน
หลี่มู่จึงถูกส่งให้มาเป็นแม่ทัพรักษาแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้น เมื่อถึงเมืองเอี้ยนเหมินแล้ว
ก็ใช้กฎอัยการศึกคุมอำนาจการบริหารไว้ แต่งตั้งขุนนางชั้นต่าง ๆ
จัดให้มีที่ว่าราชการ ส่วยสาอากรต่าง ๆ
ก็จัดเข้าท้องพระคลังที่ตนควบคุมดูแลเองจนสิ้น มิให้รั่วไหลไปไหน
เพื่อนำไปใช้ในการศึกหลี่มู่ฆ่าวัวแพะ เลี้ยงดูไพร่พลเกือบทุกวัน ทั้งออกควบคุมการฝึกทหารด้วยตนเอง
ให้ขี่ม้า ยิงเกาทัณฑ์ ซ้อมรบเป็นอาทิ
และส่งม้าเร็วออกไปสอดแนมสภาพข้าศึกเป็นประจำ
นอกจากนั้นยังร่วมกินร่วมนอนร่วมทุกข์ร่วมสุข
กับไพร่พลดูแลเอาใจใส่ไพร่พลเป็นอย่างดี
แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ไพร่พลทั้งหลายไม่เข้าใจ
คือหลี่มู่ให้ทหารทั้งหลายเอาตัวรอดไม่ให้ออกรบ
ทั้งยังออกคำสั่งที่แปลกประหลาดฉบับหนึ่ง ความว่า “บรรดาไพร่พลทั้งหลาย เมื่อพวกฮวนซงหนู
และเผ่าหูบุกเข้ามาปล้นสะดม ให้รีบหนีกลับเข้าเมืองรักษาค่ายไว้ หมั่นอย่างกวดขันโดยเร็ว
ห้ามมิให้ออกปะทะด้วยเป็นอันขนาด ผู้ใดฝ่าฝืนอออกจากค่ายไปไล่จับพวกฮวนโดยพลการ
จะถูกตัดคอในทันที” ดังนั้นในคราใดที่พวกฮวนซงหนูบุกรุกเข้ามารังควาน
หลี่มู่ก็ให้ทหารเป่าสัญญาณขึ้น
เมื่อบรรดาไพร่พลได้ยินเสียงสัญญาณก็รีบพากันกลับเข้าค่ายสงบอยู่
มิมีผู้ใดกล้าฝ่าฝืนออกรบด้วยข้าศึก
หลี่มู่กระทำเช่นนี้อยู่หลายปี
พรมแดนของแคว้นจ้าวแม้จะถูกพวกฮวนรบกวนอยู่เสมอ
แต่เนื่องจากไม่รู้ตื้นหนาบางของเหตุไม่ออกรบด้วยจึงไม่กล้าบุกลึกเข้ามา
ราษฎรทั้งหลายก็มิได้รับ ความเสียหายอะไรมากมายนักทว่าพวกฮวนซงหนูก็มักจะเข้าใจว่า
หลี่มู่เป็นคนขี้ขลาดตาขาว และแม้แต่แม่ทัพนายกองและไพร่พลของหลี่มู่เองก็เห็นว่า
แม่ทัพของตนกลัวพวกฮวนเหมือนกาหวาดธนู ความเป็นไปเหล่านี้
ก็ได้แพร่ไปถึงเมืองหลวงหานตานของแคว้นจ้าวในที่สุด แม้แต่เสี้ยวเฉิงอ๋อง
ก็ยังเข้าใจว่า ที่หลี่มู่ไม่ออกรบกับพวกฮวนซงหนูก็เพราะขี้ขลาด
มิได้คิดว่าเป็นเพราะซงหนูรวมกัน เผ่าหูอีก ๒ เผ่า มีกำลังกล้าแข็ง
หลี่มู่จึงหลีกเลี่ยงการรบเสียชั่วคราว เพื่อสะสมพละกำลังของตนเอง
ให้ทัดเทียมพอสู้รบปรบมือกับข้าศึกได้ และตระเตรียมการออกรบเสี้ยวเฉิงอ๋องแล้ว
ก็ยังคงดำเนินตาม อุบายเก่าของตนอยู่เช่นเดิม เสี้ยวเฉิงอ๋องจึงกริ้ว
เรียกตัวหลี่มู่กลับเมืองหลวง ส่งจ้าวซงไปแทน
จ้าวซงพอไปถึงเมืองเอี้ยนเหมินก็ดำเนินการในทางตรงกันข้ามกับหลี่มู่ปีกว่าที่จ้าวซงรักษา
แคว้นเอี้ยนเหมินจิ้นอยู่ แต่ละครั้งที่ซงหนูบุกเข้ามา
จ้าวซงเป็นต้องยกกำลังออกปะทะด้วย แต่ก็ต้องได้รับความพ่ายแพ้กลับมาเกือบทุกครั้งไป
ด้วยเหตุนี้ สัตว์เลี้ยงและทรัพย์สิน
รวมทั้งตัวของราษฎรเองก็มักจถูกพวกฮวนซงหนูกวาดต้อนไปเป็นประจำ ราษฎรในท้องถิ่น
ก็มิกล้าออกไปเพาะปลูก ไม่กล้าออกไปเลี้ยงสัตว์ ได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส
ส่วนแม่ทัพนายกอง และไพร่พลทั้งหลายก็บาดเจ็บล้มตายกันไม่น้อย ประกอบกับรบแพ้ด้วย
จึงต่างพากันมีหนังสือขอให้
เสี้ยวเฉิงอ๋องส่งหลี่มู่กลับมารักษาแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้นเหมือนเดิม
เสี้ยวเฉิงอ๋องเมื่อได้รับหนังสือร้องทุกข์แล้ว
จึงสำนึกว่าการรักษาชายแดนของหลี่มู่นั้น มีอุบายแยบยลของตนเอง ที่แล้วมาตนตำหนิหลี่มู่ผิดไป
จึงดำริให้หลี่มู่กลับไปรักษาแคว้นเอี้ยนหมินจิ้นอีก
หลี่มู่รู้สึกไม่พอใจในตัวเสี้ยวเฉิงอ๋องที่ทราบความเป็นไปของชายแดนอย่างแท้จริง
ฟังแต่เสียงลือเสียงเล่าอ้างก็หลับหูหลับตาเชื่อ
เรียกตัวเองกลับโดยมิคิดหน้าคิดหลัง ครั้นแล้วเสี้ยวเฉิงอ๋องจะให้กลับไปยังแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้นอีก
ก็ปฏิเสธว่าป่วย ปิดประตูเงียบไม่ยอมออกจากบ้าน
แต่เสี้ยวเฉิงอ๋องรู้ตัวดีว่า
ตนเข้าใจผิดต่อหลี่มู่แต่แรก จึงยืนยันซ้ำขอให้หลี่มู่ช่วย
หลี่มู่จึงออกไปพบเสี้ยวเฉิงอ๋องกล่าวว่า “หากท่านอ๋องประสงค์จะให้ข้าพเจ้าไปรักษาเอี้ยนเหมินจิ้น
ก็จะต้องยินยอมให้ข้าพเจ้าใช้อุบายเดิมของข้าพเจ้า
มิฉะนั้นแล้วข้าพเจ้าก็ยากที่จะปฏิบัติตามความประสงค์ได้” เสี้ยวเฉิงอ๋องจึงอนุญาตว่า
“ขอให้ท่านจงวางใจออกไปรักษาแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้นตามเดิม
ท่านจะใช้อุบายของท่านอย่างไรก็สุดแต่ความเห็นของท่านเถิด
เราจักไม่ห้ามปรามท่านอีกแล้ว”
หลี่มู่จึงกลับยังแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้นอีก
ก็ยังคงใช้อุบายเก่า ไม่ออกไปปะทะกับข้าศึก เมื่อถูกบุก ก็ให้รีบกลับเข้าค่าย
ต่อพวกไพร่พลก็ร่วมทุกข์ร่วมสุขดูแลเอาใจใส่ในชีวิตความเป็นอยู่อย่างดี เมื่อพวกฮวนซงหนูรู้ว่าหลี่มู่
กลับมารักษาเอี้ยนเหมินอีกก็ระมัดระวังตัวขึ้น ไม่กล้าเข้ารังควาน
อย่างบุ่มบ่ามเยี่ยงแต่ก่อน
แม้จะรุกเข้ามาบ้างแต่ก็รีบถอนตัวกลับไปอย่างรวดเร็วมิหาญบุกลึกเข้ามา
ส่วนพวกแม่ทัพนายกองและไพร่พลทั้งหลายได้รับการเลี้ยงดูอย่างอิ่มหนำสำราญทุกวัน
และมีการฝึกปรืออยู่เป็นประจำ
ต่างก็รู้สึกคันไม้คันมืออยากออกรบเอาชัยแก่ข้าศึกเป็นกำลัง ปีที่ ๑๖
ในสมัยเสี้ยวเฉิงอ๋อง (๒๕๐ ปีก่อนคริสตกาล) หลี่มู่เห็นแม่ทัพนายกองและไพร่พลของตน
ต่างก็มีร่างกายแข็งแกร่งและฝึกปรือมีความเก่งกาจ จนมีความกระเหี้ยนกระรือรือที่จะออกรบข้าศึก
ก็เห็นว่าโอกาสที่ตนรอคอยได้มาถึงแล้วจึงจัดรถศึก ๑,๓๐๐ คัน ม้าศึกอีก ๑๓,๐๐๐
ตัว ไพร่พลอีก ๕ หมื่น พลเกาทัณฑ์อีก ๑๐ หมื่น ฝึกการประลองยุทธ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก
แม้กระนั้น ด้วยความสุขุมรอบครอบ
ไม่อยากให้ไพร่พลของตนออกไปเสียชีวิตโดยใช่เหตุ
แต่ละคืนหลี่มู่ก็จมอยู่กับกองตำราพิชัยสงคราม เช่น “ซุนซิว” “จ่อจ้วน” “ซุนซื่อ” “กว้อเซ่อ” เป็นต้น
อ่านทบทวนซ้ำแล้วซ้ำอีก
เพื่อค้นหายุทธวิธีที่จะรบชนะโดยสิ้นเปลืองกำลังทหารน้อยที่สุด
ในยามกลางวันก็ส่งทหารออกไปสอดแนมความเป็นไปของข้าศึกโดยละเอียดเพื่อให้รู้เขารู้เรา
มิให้พลาดพลั้งเสียทีแก่ข้าศึกได้
ในที่สุด
หลี่มู่ก็ติดสินใจใช้กลยุทธ์ “เสียมืดเพื่อประโยชน์สว่าง” โดยจงใจแสดงความอ่อนแอของฝ่ายตน
ให้ข้าศึกเห็นเป็นที่ประจักษ์ ในขณะออกรบ ยอมเสียหายเล็กน้อย เพื่อล่อลวงข้าศึก
ทำให้ข้าศึกหยิ่งผยอง และเหิมเกริมครั้นแล้วจึงใช้อุบาย เอาชนะข้าศึกในขั้นแตกหัก
เมื่อตัดสินใจดังนี้แล้ว หลี่มู่ก็เรียกประชุม แม่ทัพนายกองเพื่อปรึกษาอุบายนี้
แม่ทัพนายกองต่างก็เห็นด้วย ชิงกันสมัครออกรบ
เพื่อสร้างความดีความชอบกันเป็นจ้าละหวั่น และในวันหนึ่ง หลี่มู่ก็สั่งให้ชาวบ้านนำสัตว์ออกไปเลี้ยง
ยังท้องทุ่งนอกเมืองในชั่วขณะนั้น
ทั้งคนและสัตว์คลาดคล่ำอยู่บนท้องทุ่งหญ้าเป็นบริเวณกว้าง
เป็นภาพที่เห็นได้ยากยิ่งนักในช่วงเวลาเหล่านั้น ซึ่งก็เป็นที่แน่นอนว่า
ย่อมจะเป็นที่สนใจแก่พวกซงหนู เป็นอย่างยิ่งด้วยจึงส่งพลม้าจำนวนหนึ่งออกมาปล้นสะดม
เพื่อชิมลาง หลี่มู่แสร้งรบแพ้ถอยหนี
ทั้งผู้คนและสัตว์เลี้ยงไว้ส่วนหนึ่งให้พวกซงหนูกวาดต้อนเอาไป
ฝ่ายตานยีหัวหน้าเผ่าชนซงหนูได้รับแจ้งว่า
หลี่มู่ที่ตนระวัดระวังเป็นนักหนานั้น แท้ที่จริง ก็เป็นคนไร้ความสามารถ
ขี้ขลาดอ่อนแอ จึงได้ใจ เห็นเป็นโอกาสที่จะกระหน่ำซ่ำเติมหลี่มู่ให้พ่ายไป
ขยายอาณาเขตแคว้นซานหลานของตนให้กว้างยิ่งขึ้น
จึงระดมพลนำกำลังใหญ่บุกรุกเข้ามาในดินแดน ของแคว้นจ้าวด้วยตนเองอย่างย่ามใจ
นอกเหนือความคาดหมายของตานยีก็คือ แท้ที่จริงแล้ว
หลี่มู่ได้เตรียมกำลังอันมหึมารอคอย ให้ตานยีหลงกลอยู่แล้ว เขาแยกทหารออกเป็น ๓
ทัพ ทัพแรกให้ออกปะทะกับข้าศึกซึ่งหน้า
ส่วนปีกขวากับปีกช้ายแยกกันโอบล้อมกำลังของซงหนูไว้ตรงกลาง แล้วจึงบดขยี้เสีย
พวกซงหนูและพวกอื่นๆ
เก่งทางปล้นสะดมเป็นกิจวัตร แม้จะมีความสามารถทางขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์
แต่ก็ไม่สู้จะมีระเบียบวินัย
ไม่ฟังคำสั่งความจริงก็เป็นแต่เพียงกำลังที่รวมตัวกันเข้ามาอย่างหลวม ๆเท่านั้น
ไหนเลยจะรบพุ่งต่อตีกับกองทัพของแคว้นจ้าวที่มีแม่ทัพนายกองและไพร่พลที่ได้รับการฝึกปรือ
มาอย่างเข้มงวดได้ ทัพ ๓ ทัพของหลี่มู่ ตีโอบเอากำลัง ๑๐ หมื่นไว้ในวงล้อมอย่างหนาแน่น
การรบได้ดำเนินไปอย่างดุเดือดจนเลือดนองแผ่นดิน กำลังของซงหนูถูกตัดเป็นส่วนๆ
และถูกทำลายไป ทีละส่วนด้วยการบัญชาของหลี่มู่ก็แตกพ่ายยับเยิน
ตานยีหัวหน้าเผ่าก็ได้แต่หลบหนีออกจากสนามรบ เอาชีวิตรอด
ปล่อยให้ไพร่พลเผชิญกับกองทัพอันแข็งแกร่งของแคว้นจ้าวอย่างจนตรอก
ในที่สุดแคว้นซานหลานของพวกฮวนหนูก็ถึงกาลอวสาน
เมื่อพวกฮวนซงหนูพ่ายศึกไปแล้ว
พวกฮวนตงหูและหลินหูเห็นกำลัง ๑๐ หมื่นของซงหนูแหลกไป
ต่อหน้าต่อตาก็รู้ว่าตนไม่อาจจะต้านกับกองทัพของแคว้นจ้าวได้
จึงยอมจำนนแต่แคว้นจ้าวโดยดี นับแต่นั้นมาภาคเหนือของแคว้นจ้าวจึงมิได้ถูกพวกฮวนมารบกวนอีกเลยเป็นเวลาหลายสิบปี
แคว้นจ้าวเปลี่ยนผู้ครองบัลลังก์จากเสี้ยวเฉิงอ๋องมาเป็นเต้าเซียนอ๋องหลังจากนั้นก็เป็นจ้าวเซียนอ๋อง
ซึ่งเป็นศัตรูครองนครจ้าวคนสุดท้าย ครั้นถึงปีที่ ๗ ในสมัยของจ้าวเซียนอ๋อง แคว้นเฉินก็ให้หวางเจี่ยน
นำทัพบุกแคว้นจ้าว จ้าวเซียนอ๋องจึงให้หลี่มู่นำทัพออกต่อต้าน
ทัพฉินต้องพ่ายแพ้แก่แคว้นจ้าวเป็นหลายครั้ง
แคว้นฉินก็รู้ว่าได้เจอคู่ศึกฝีมือฉกาจฉกรรจ์เข้าแล้ว
จะหวังชัยชนะได้ยากนัก จึงใช้กลอุบายติดสินบนแก่เก้อไค
ขุนนางแคว้นจ้าวผู้เป็นที่โปรดปรานของจ้าวเชียนอ๋อง ใช้กลยุทธ์ไส้ศึก
แพร่ข่าวลือว่าหลี่มู่คิดกบฎ จ้าวเชียนอ๋องเชื่อว่าเป็นความจริง
ส่งจ้าวชงกับเหยียนจี้ไปรับมอบตำแหน่งแม่ทัพแทน หลี่มู่
หลี่มู่เห็นการศึกติดพันอยู่ เกรงว่าแคว้นจ้าวจักพ่ายแพ้ จึงมิรับคำบัญชา
แต่จ้าวเซียนอ๋องก็ลอบส่งคนไปอีก อย่างลับ ๆ ฉวยโอกาสที่หลี่มู่มิทันจะได้ระวังตัว
จับหลี่มู่เอาไว้ แล้วฆ่าเสียในทันที ชีวิตของหลี่มู่
ซึ่งมีความชอบต่อแผ่นดินอย่างใหญ่หลวง
จำต้องประสบเคราะห์กรรมจากความหูเบาของผู้ครองแคว้น ที่ไร้สติปัญญา แต่ในที่สุด
แคว้นจ้าวก็ล่มด้วยน้ำมือของจ้าวเชียนอ๋องผู้ครองแคว้นที่ใฝ่ใจ
แต่การประจบสอพลอคนนั้นเอง?
กลยุทธ์นี้สรุปว่า
“ในขณะที่
๒ ฝ่ายประจันหน้ากันอยู่ ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องประสบความสูญเสีย
จักไม่บาดเจ็บล้มตายเลยหาได้ไม่
ในขณะที่กำลังของทั้งสอง ฝ่ายทัดเทียมกัน
ใครจะอยู่ใครจะไปยังมิอาจรู้ได้
ก็ควรจักยอมเสียค่าตอบแทนไปบ้างแต่น้อย
เพื่อแลกมาซึ่งผลประโยชน์ใหญ่ที่สุด จึงถูก”.
Source : http://porgorn0009.blogspot.com/2012/05/blog-post_2970.html
No comments:
Post a Comment