Saturday, June 15, 2019

ส่วนที่ ๒ กลยุทธ์เผชิญศึก : กลยุทธ์ที่ ๑๑ หลี่ตายแทนถาว


ส่วนที่ ๒ กลยุทธ์เผชิญศึก
ยามเมื่อเผชิญศึกเท็จลวงกับจริงแท้
พึงใช้สอดแทรกซึ่งกันและกันอย่างสลับซับซ้อน
ทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ

กลยุทธ์ที่ ๑๑ หลี่ตายแทนถาว
การจักต้องเสีย เสียมืดเพื่อประโยชน์สว่าง

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อการพัฒนาของสถานการณ์มิเป็นผลดีแก่ตนจักต้องเกิดความเสียหาย อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น เพื่อที่จะแปรความเสียเปรียบเป็นความได้เปรียบ ก็จะต้องยอมเสีย มืด


เพื่อประโยชน์แก่ สว่างซึ่งก็หมายความว่าจำต้องเสียสละส่วนหนึ่ง เสียค่าตอบแทนน้อย
เพื่อแลกกับชัยชนะทั่วทุกด้าน หลี่ตายแทนถาวความหมายเดิมเป็นการเปรียบเทียบความรักใคร่
ช่วยเหลือกันระหว่างพี่น้อง แต่เมื่อใช้ในการทหารหรือในกรณีอื่น ๆ ก็เปรียบเทียบเป็นการทดแทน
ซึ่งกันและกัน อันเป็นกลอุบายที่ให้ ก.เข้าแทนที่ ข.หรือให้ ข.แทนที่ ก. อย่างหนึ่ง ที่ว่าเสียกำเอากอบ
หรือ เสียบ่าวเอานายก็เป็นกลอุบายในทำนองนี้ คำ ๆ นี้เดิมมาจากกวีนิพนธ์บทหนึ่งชื่อ ไก่ขัน
ใน ชุมนุมกวีนิพนธ์กู่เล่อฝู่ความว่า ต้นถาวเกิดที่ปากบ่อ ต้นหลี่โตเคียงมา หนอนบ่อนไชต้นถาว
หลี่ตายแทนถาว ต้นไม้ยังตายแทนกัน พี่น้องไฉนไยจึงลืม

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ........

                ในช่วงหลังของยุคจ้านกว้อ แคว้นจ้าวมีขุนพลฝีมือดีอยู่คนหนึ่งชื่อหลี่มู่เนื่องจากได้สร้าง ความดีความชอบไว้มากมาย จึงได้รับการแต่งตั้งให้มีบรรดาศักดิ์ เป็นอู่อันจิน (๒๓๖ ปีก่อนคริสตกาล) ในสมัยที่เสี้ยวเฉิงอ๋อง (๒๖๕-๒๔๔ ปีก่อนคริสต์กาล) ผู้ครองแคว้นจ้าวยังมีชีวิตอยู่ ขุนพลผู้รักษาแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้น(ในอำเภอเหอซีและหนิงอู่ มณฑลซานซีปัจจุบัน) ซึ่งเป็นเขตชายแดน ของแคว้นจ้าว มักจะตั้งทหารอยู่ ณ เมืองเอี้ยนเหมิน เนื่องจากในขณะนั้นพวกฮวนซงหนู

ได้ตั้งแคว้นซานหลานขึ้นทางภาคเหนือของแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้น ทั้งเผ่าชนฮวนตงหูและหลินหู อีก ๒ เผ่าใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้เคียง ก็คอยคุกคามพรมแดนของแคว้นจ้าวอยู่เสมอมา พวกฮวนเหล่านี้โดยเฉพาะฮวนซงหนู มักจะบุกเข้าในแดนจ้าว ถ้าไม่ไปจับคนไปเป็นเชลย ก็ปล้นชิงเอาสัตว์เลี้ยงและทรัพย์สินของราษฎรไปพวกฮวนแก่งทางขี่ม้า เวลาบุกเข้ามาครั้งละหลายสิบ หรือหลายร้อยคนก็รวดเร็วประดุจพายุหมุน เข้าตีปล้นกวาดต้อนเอาชั่วพริบตาเดียวก็จากไปทิ้งฝุ่นไว้ตลบ

ราษฎรแห่งแคว้นจ้าวทั้งหลายทางภาคเหนือต้องรับเคราะห์กรรมจากการบุกรุกของพวกฮวนครั้งแล้วครั้งเล่า เดือดร้อนไปทุกครัวเรือน หลี่มู่จึงถูกส่งให้มาเป็นแม่ทัพรักษาแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้น เมื่อถึงเมืองเอี้ยนเหมินแล้ว ก็ใช้กฎอัยการศึกคุมอำนาจการบริหารไว้ แต่งตั้งขุนนางชั้นต่าง ๆ จัดให้มีที่ว่าราชการ ส่วยสาอากรต่าง ๆ ก็จัดเข้าท้องพระคลังที่ตนควบคุมดูแลเองจนสิ้น มิให้รั่วไหลไปไหน เพื่อนำไปใช้ในการศึกหลี่มู่ฆ่าวัวแพะ เลี้ยงดูไพร่พลเกือบทุกวัน ทั้งออกควบคุมการฝึกทหารด้วยตนเอง ให้ขี่ม้า ยิงเกาทัณฑ์ ซ้อมรบเป็นอาทิ และส่งม้าเร็วออกไปสอดแนมสภาพข้าศึกเป็นประจำ นอกจากนั้นยังร่วมกินร่วมนอนร่วมทุกข์ร่วมสุข กับไพร่พลดูแลเอาใจใส่ไพร่พลเป็นอย่างดี

                แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ไพร่พลทั้งหลายไม่เข้าใจ คือหลี่มู่ให้ทหารทั้งหลายเอาตัวรอดไม่ให้ออกรบ ทั้งยังออกคำสั่งที่แปลกประหลาดฉบับหนึ่ง ความว่า บรรดาไพร่พลทั้งหลาย เมื่อพวกฮวนซงหนู และเผ่าหูบุกเข้ามาปล้นสะดม ให้รีบหนีกลับเข้าเมืองรักษาค่ายไว้ หมั่นอย่างกวดขันโดยเร็ว ห้ามมิให้ออกปะทะด้วยเป็นอันขนาด ผู้ใดฝ่าฝืนอออกจากค่ายไปไล่จับพวกฮวนโดยพลการ จะถูกตัดคอในทันทีดังนั้นในคราใดที่พวกฮวนซงหนูบุกรุกเข้ามารังควาน หลี่มู่ก็ให้ทหารเป่าสัญญาณขึ้น เมื่อบรรดาไพร่พลได้ยินเสียงสัญญาณก็รีบพากันกลับเข้าค่ายสงบอยู่ มิมีผู้ใดกล้าฝ่าฝืนออกรบด้วยข้าศึก

หลี่มู่กระทำเช่นนี้อยู่หลายปี พรมแดนของแคว้นจ้าวแม้จะถูกพวกฮวนรบกวนอยู่เสมอ แต่เนื่องจากไม่รู้ตื้นหนาบางของเหตุไม่ออกรบด้วยจึงไม่กล้าบุกลึกเข้ามา ราษฎรทั้งหลายก็มิได้รับ ความเสียหายอะไรมากมายนักทว่าพวกฮวนซงหนูก็มักจะเข้าใจว่า หลี่มู่เป็นคนขี้ขลาดตาขาว และแม้แต่แม่ทัพนายกองและไพร่พลของหลี่มู่เองก็เห็นว่า แม่ทัพของตนกลัวพวกฮวนเหมือนกาหวาดธนู ความเป็นไปเหล่านี้ ก็ได้แพร่ไปถึงเมืองหลวงหานตานของแคว้นจ้าวในที่สุด แม้แต่เสี้ยวเฉิงอ๋อง

ก็ยังเข้าใจว่า ที่หลี่มู่ไม่ออกรบกับพวกฮวนซงหนูก็เพราะขี้ขลาด มิได้คิดว่าเป็นเพราะซงหนูรวมกัน เผ่าหูอีก ๒ เผ่า มีกำลังกล้าแข็ง หลี่มู่จึงหลีกเลี่ยงการรบเสียชั่วคราว เพื่อสะสมพละกำลังของตนเอง ให้ทัดเทียมพอสู้รบปรบมือกับข้าศึกได้ และตระเตรียมการออกรบเสี้ยวเฉิงอ๋องแล้ว ก็ยังคงดำเนินตาม อุบายเก่าของตนอยู่เช่นเดิม เสี้ยวเฉิงอ๋องจึงกริ้ว เรียกตัวหลี่มู่กลับเมืองหลวง ส่งจ้าวซงไปแทน จ้าวซงพอไปถึงเมืองเอี้ยนเหมินก็ดำเนินการในทางตรงกันข้ามกับหลี่มู่ปีกว่าที่จ้าวซงรักษา แคว้นเอี้ยนเหมินจิ้นอยู่ แต่ละครั้งที่ซงหนูบุกเข้ามา จ้าวซงเป็นต้องยกกำลังออกปะทะด้วย แต่ก็ต้องได้รับความพ่ายแพ้กลับมาเกือบทุกครั้งไป ด้วยเหตุนี้ สัตว์เลี้ยงและทรัพย์สิน รวมทั้งตัวของราษฎรเองก็มักจถูกพวกฮวนซงหนูกวาดต้อนไปเป็นประจำ ราษฎรในท้องถิ่น ก็มิกล้าออกไปเพาะปลูก ไม่กล้าออกไปเลี้ยงสัตว์ ได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส ส่วนแม่ทัพนายกอง และไพร่พลทั้งหลายก็บาดเจ็บล้มตายกันไม่น้อย ประกอบกับรบแพ้ด้วย จึงต่างพากันมีหนังสือขอให้

เสี้ยวเฉิงอ๋องส่งหลี่มู่กลับมารักษาแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้นเหมือนเดิม เสี้ยวเฉิงอ๋องเมื่อได้รับหนังสือร้องทุกข์แล้ว จึงสำนึกว่าการรักษาชายแดนของหลี่มู่นั้น มีอุบายแยบยลของตนเอง ที่แล้วมาตนตำหนิหลี่มู่ผิดไป จึงดำริให้หลี่มู่กลับไปรักษาแคว้นเอี้ยนหมินจิ้นอีก

                หลี่มู่รู้สึกไม่พอใจในตัวเสี้ยวเฉิงอ๋องที่ทราบความเป็นไปของชายแดนอย่างแท้จริง ฟังแต่เสียงลือเสียงเล่าอ้างก็หลับหูหลับตาเชื่อ เรียกตัวเองกลับโดยมิคิดหน้าคิดหลัง ครั้นแล้วเสี้ยวเฉิงอ๋องจะให้กลับไปยังแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้นอีก ก็ปฏิเสธว่าป่วย ปิดประตูเงียบไม่ยอมออกจากบ้าน

                แต่เสี้ยวเฉิงอ๋องรู้ตัวดีว่า ตนเข้าใจผิดต่อหลี่มู่แต่แรก จึงยืนยันซ้ำขอให้หลี่มู่ช่วย หลี่มู่จึงออกไปพบเสี้ยวเฉิงอ๋องกล่าวว่า หากท่านอ๋องประสงค์จะให้ข้าพเจ้าไปรักษาเอี้ยนเหมินจิ้น ก็จะต้องยินยอมให้ข้าพเจ้าใช้อุบายเดิมของข้าพเจ้า มิฉะนั้นแล้วข้าพเจ้าก็ยากที่จะปฏิบัติตามความประสงค์ได้เสี้ยวเฉิงอ๋องจึงอนุญาตว่า ขอให้ท่านจงวางใจออกไปรักษาแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้นตามเดิม ท่านจะใช้อุบายของท่านอย่างไรก็สุดแต่ความเห็นของท่านเถิด เราจักไม่ห้ามปรามท่านอีกแล้วหลี่มู่จึงกลับยังแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้นอีก ก็ยังคงใช้อุบายเก่า ไม่ออกไปปะทะกับข้าศึก เมื่อถูกบุก ก็ให้รีบกลับเข้าค่าย ต่อพวกไพร่พลก็ร่วมทุกข์ร่วมสุขดูแลเอาใจใส่ในชีวิตความเป็นอยู่อย่างดี เมื่อพวกฮวนซงหนูรู้ว่าหลี่มู่ กลับมารักษาเอี้ยนเหมินอีกก็ระมัดระวังตัวขึ้น ไม่กล้าเข้ารังควาน อย่างบุ่มบ่ามเยี่ยงแต่ก่อน แม้จะรุกเข้ามาบ้างแต่ก็รีบถอนตัวกลับไปอย่างรวดเร็วมิหาญบุกลึกเข้ามา ส่วนพวกแม่ทัพนายกองและไพร่พลทั้งหลายได้รับการเลี้ยงดูอย่างอิ่มหนำสำราญทุกวัน และมีการฝึกปรืออยู่เป็นประจำ ต่างก็รู้สึกคันไม้คันมืออยากออกรบเอาชัยแก่ข้าศึกเป็นกำลัง ปีที่ ๑๖ ในสมัยเสี้ยวเฉิงอ๋อง (๒๕๐ ปีก่อนคริสตกาล) หลี่มู่เห็นแม่ทัพนายกองและไพร่พลของตน ต่างก็มีร่างกายแข็งแกร่งและฝึกปรือมีความเก่งกาจ จนมีความกระเหี้ยนกระรือรือที่จะออกรบข้าศึก ก็เห็นว่าโอกาสที่ตนรอคอยได้มาถึงแล้วจึงจัดรถศึก ๑,๓๐๐ คัน ม้าศึกอีก ๑๓,๐๐๐ ตัว ไพร่พลอีก ๕ หมื่น พลเกาทัณฑ์อีก ๑๐ หมื่น ฝึกการประลองยุทธ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก

                แม้กระนั้น ด้วยความสุขุมรอบครอบ ไม่อยากให้ไพร่พลของตนออกไปเสียชีวิตโดยใช่เหตุ แต่ละคืนหลี่มู่ก็จมอยู่กับกองตำราพิชัยสงคราม เช่น ซุนซิว” “จ่อจ้วน” “ซุนซื่อ” “กว้อเซ่อเป็นต้น อ่านทบทวนซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อค้นหายุทธวิธีที่จะรบชนะโดยสิ้นเปลืองกำลังทหารน้อยที่สุด ในยามกลางวันก็ส่งทหารออกไปสอดแนมความเป็นไปของข้าศึกโดยละเอียดเพื่อให้รู้เขารู้เรา มิให้พลาดพลั้งเสียทีแก่ข้าศึกได้

                ในที่สุด หลี่มู่ก็ติดสินใจใช้กลยุทธ์ เสียมืดเพื่อประโยชน์สว่างโดยจงใจแสดงความอ่อนแอของฝ่ายตน ให้ข้าศึกเห็นเป็นที่ประจักษ์ ในขณะออกรบ ยอมเสียหายเล็กน้อย เพื่อล่อลวงข้าศึก ทำให้ข้าศึกหยิ่งผยอง และเหิมเกริมครั้นแล้วจึงใช้อุบาย เอาชนะข้าศึกในขั้นแตกหัก เมื่อตัดสินใจดังนี้แล้ว หลี่มู่ก็เรียกประชุม แม่ทัพนายกองเพื่อปรึกษาอุบายนี้ แม่ทัพนายกองต่างก็เห็นด้วย ชิงกันสมัครออกรบ เพื่อสร้างความดีความชอบกันเป็นจ้าละหวั่น และในวันหนึ่ง หลี่มู่ก็สั่งให้ชาวบ้านนำสัตว์ออกไปเลี้ยง ยังท้องทุ่งนอกเมืองในชั่วขณะนั้น ทั้งคนและสัตว์คลาดคล่ำอยู่บนท้องทุ่งหญ้าเป็นบริเวณกว้าง เป็นภาพที่เห็นได้ยากยิ่งนักในช่วงเวลาเหล่านั้น ซึ่งก็เป็นที่แน่นอนว่า ย่อมจะเป็นที่สนใจแก่พวกซงหนู เป็นอย่างยิ่งด้วยจึงส่งพลม้าจำนวนหนึ่งออกมาปล้นสะดม เพื่อชิมลาง หลี่มู่แสร้งรบแพ้ถอยหนี ทั้งผู้คนและสัตว์เลี้ยงไว้ส่วนหนึ่งให้พวกซงหนูกวาดต้อนเอาไป

                ฝ่ายตานยีหัวหน้าเผ่าชนซงหนูได้รับแจ้งว่า หลี่มู่ที่ตนระวัดระวังเป็นนักหนานั้น แท้ที่จริง ก็เป็นคนไร้ความสามารถ ขี้ขลาดอ่อนแอ จึงได้ใจ เห็นเป็นโอกาสที่จะกระหน่ำซ่ำเติมหลี่มู่ให้พ่ายไป ขยายอาณาเขตแคว้นซานหลานของตนให้กว้างยิ่งขึ้น จึงระดมพลนำกำลังใหญ่บุกรุกเข้ามาในดินแดน ของแคว้นจ้าวด้วยตนเองอย่างย่ามใจ

                นอกเหนือความคาดหมายของตานยีก็คือ แท้ที่จริงแล้ว หลี่มู่ได้เตรียมกำลังอันมหึมารอคอย ให้ตานยีหลงกลอยู่แล้ว เขาแยกทหารออกเป็น ๓ ทัพ ทัพแรกให้ออกปะทะกับข้าศึกซึ่งหน้า ส่วนปีกขวากับปีกช้ายแยกกันโอบล้อมกำลังของซงหนูไว้ตรงกลาง แล้วจึงบดขยี้เสีย

                พวกซงหนูและพวกอื่นๆ เก่งทางปล้นสะดมเป็นกิจวัตร แม้จะมีความสามารถทางขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์ แต่ก็ไม่สู้จะมีระเบียบวินัย ไม่ฟังคำสั่งความจริงก็เป็นแต่เพียงกำลังที่รวมตัวกันเข้ามาอย่างหลวม ๆเท่านั้น ไหนเลยจะรบพุ่งต่อตีกับกองทัพของแคว้นจ้าวที่มีแม่ทัพนายกองและไพร่พลที่ได้รับการฝึกปรือ มาอย่างเข้มงวดได้ ทัพ ๓ ทัพของหลี่มู่ ตีโอบเอากำลัง ๑๐ หมื่นไว้ในวงล้อมอย่างหนาแน่น การรบได้ดำเนินไปอย่างดุเดือดจนเลือดนองแผ่นดิน กำลังของซงหนูถูกตัดเป็นส่วนๆ และถูกทำลายไป ทีละส่วนด้วยการบัญชาของหลี่มู่ก็แตกพ่ายยับเยิน ตานยีหัวหน้าเผ่าก็ได้แต่หลบหนีออกจากสนามรบ เอาชีวิตรอด ปล่อยให้ไพร่พลเผชิญกับกองทัพอันแข็งแกร่งของแคว้นจ้าวอย่างจนตรอก ในที่สุดแคว้นซานหลานของพวกฮวนหนูก็ถึงกาลอวสาน

                เมื่อพวกฮวนซงหนูพ่ายศึกไปแล้ว พวกฮวนตงหูและหลินหูเห็นกำลัง ๑๐ หมื่นของซงหนูแหลกไป ต่อหน้าต่อตาก็รู้ว่าตนไม่อาจจะต้านกับกองทัพของแคว้นจ้าวได้ จึงยอมจำนนแต่แคว้นจ้าวโดยดี นับแต่นั้นมาภาคเหนือของแคว้นจ้าวจึงมิได้ถูกพวกฮวนมารบกวนอีกเลยเป็นเวลาหลายสิบปี แคว้นจ้าวเปลี่ยนผู้ครองบัลลังก์จากเสี้ยวเฉิงอ๋องมาเป็นเต้าเซียนอ๋องหลังจากนั้นก็เป็นจ้าวเซียนอ๋อง ซึ่งเป็นศัตรูครองนครจ้าวคนสุดท้าย ครั้นถึงปีที่ ๗ ในสมัยของจ้าวเซียนอ๋อง แคว้นเฉินก็ให้หวางเจี่ยน นำทัพบุกแคว้นจ้าว จ้าวเซียนอ๋องจึงให้หลี่มู่นำทัพออกต่อต้าน ทัพฉินต้องพ่ายแพ้แก่แคว้นจ้าวเป็นหลายครั้ง

แคว้นฉินก็รู้ว่าได้เจอคู่ศึกฝีมือฉกาจฉกรรจ์เข้าแล้ว จะหวังชัยชนะได้ยากนัก จึงใช้กลอุบายติดสินบนแก่เก้อไค ขุนนางแคว้นจ้าวผู้เป็นที่โปรดปรานของจ้าวเชียนอ๋อง ใช้กลยุทธ์ไส้ศึก แพร่ข่าวลือว่าหลี่มู่คิดกบฎ จ้าวเชียนอ๋องเชื่อว่าเป็นความจริง ส่งจ้าวชงกับเหยียนจี้ไปรับมอบตำแหน่งแม่ทัพแทน หลี่มู่ หลี่มู่เห็นการศึกติดพันอยู่ เกรงว่าแคว้นจ้าวจักพ่ายแพ้ จึงมิรับคำบัญชา แต่จ้าวเซียนอ๋องก็ลอบส่งคนไปอีก อย่างลับ ๆ ฉวยโอกาสที่หลี่มู่มิทันจะได้ระวังตัว จับหลี่มู่เอาไว้ แล้วฆ่าเสียในทันที ชีวิตของหลี่มู่ ซึ่งมีความชอบต่อแผ่นดินอย่างใหญ่หลวง จำต้องประสบเคราะห์กรรมจากความหูเบาของผู้ครองแคว้น ที่ไร้สติปัญญา แต่ในที่สุด แคว้นจ้าวก็ล่มด้วยน้ำมือของจ้าวเชียนอ๋องผู้ครองแคว้นที่ใฝ่ใจ แต่การประจบสอพลอคนนั้นเอง?

กลยุทธ์นี้สรุปว่า

ในขณะที่ ๒ ฝ่ายประจันหน้ากันอยู่ ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องประสบความสูญเสีย
จักไม่บาดเจ็บล้มตายเลยหาได้ไม่ ในขณะที่กำลังของทั้งสอง ฝ่ายทัดเทียมกัน
ใครจะอยู่ใครจะไปยังมิอาจรู้ได้ ก็ควรจักยอมเสียค่าตอบแทนไปบ้างแต่น้อย
เพื่อแลกมาซึ่งผลประโยชน์ใหญ่ที่สุด จึงถูก”.


  
Source :  http://porgorn0009.blogspot.com/2012/05/blog-post_2970.html

No comments:

Post a Comment