Friday, April 24, 2020

ส่วนที่ ๓ กลยุทธ์เข้าตี : กลยุทธ์ที่ ๑๓ ตีหญ้าให้งูตื่น

ส่วนที่ ๓
กลยุทธ์เข้าตี
เมื่อสองฝ่ายเริ่มรบด้วยกลศึก พึ่งใช้ทุกมาตรการ
ถือเพทุกบายเป็นวิถี เอาชนะด้วยเล่ห์กล

กลยุทธ์ที่ ๑๓ ตีหญ้าให้งูตื่น

สงสัยพึงแจ้ง สังเกตจึงเคลื่อน ซ้ำซาก คืออุบายรู้มืด
กลยุทธ์นี้ความหมายว่า เมื่อมีสิ่งใดพึงสงสัย ควรจักส่งคนสอดแนมให้รู้ชัด กุมสภาพข้าศึกได้แล้วจึงเคลื่อน

นี่เรียกว่า สงสัยพึงแจ้ง สังเกตจึงเคลื่อนในคัมภีร์อี้จิง ซ้ำได้อธิบายไว้ว่า ใช้มรรควิธีเดิมกลับไปมา ๗ วัน

เมื่อละเอียดแล้ว จึงเข้าใจสิ่งนั้นได้ความหมายของคำนี้ก็คือ ต่อสิ่งใดก็ตามจักต้องสังเกตซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงจะสามารถจำแนกแยกแยะมันได้ถูก

ที่ว่า ซ้ำซาก คืออุบายรู้มืดนั้น เมื่อนำมาใช้ในการทหาร หมายถึงใช้วิธีการสอดแนมหลายครั้งหลายหน อันเป็นวิธีสำคัญในการเข้าใจสภาพข้าศึก ค้นพบศัตรูที่แฝงเร้นอยู่

ความหมายของ ตีหญ้าให้งูตื่นก็คือแม้เราจะตีหญ้า แต่งูที่ซ่อนอยู่ในหญ้าก็ตื่นตกใจ
นี้เป็นกลอุบายที่ใช้การสอดแนม แจ้งชัดในสภาพข้าศึกที่เราโอบล้อมอยู่ แล้วตียังจุดหนึ่ง
ซึ่งจะกระเทือนไปทั้งแนว หลังจากนั้นจึงทำลายข้าศึกให้แหลกลาญไปทีละส่วนอย่างหนึ่ง

ตัวอย่างของการใช้กลยุทธ์นี้คือ...........
พระเจ้าฉงเจินฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หมิง (จูอิ๋วเจียน) ค.ศ.๑๖๑๑-๑๖๔๔) เป็นกษัตริย์ที่ไร้ทศพิธราชธรรม แสร้งทำดีเป็นผักชีโรยหน้า เพื่อหลอกลวงรีดนาทาเร้นราษฎร จนเดือดร้อนไปทุกย่อมหญ้า ชาวนาจึงต่างพากันก่อการจลาจลเพื่อต่อต้านฉงเจิงฮ่องเต้กันเกือบทั่วไปในแผ่นดิน จนกลายเป็น กองกำลังที่ใหญ่โตหลายต่อหลายแห่ง ในหมู่กองกำลังของชาวนา ๑๓ กองที่ก่อการลุกขึ้นสู้ ที่กล้าแข็งที่สุดคือ หลี่จื้อเฉิง (ค.ศ.๑๖๐๖- ๑๖๔๕) ซึ่งเป็นคนหมี่จือในส่านซี หลี่จื้อเฉิงมิใช่แต่จะมีฝีมือสูงส่ง กล้าหาญชาญชัยเท่านั้น ยังเก่งกาจในทางการทหารอย่างหาตัวจับยากอีกด้วย

ปีที่ ๑๕ แห่งรัชสมัยของฉงเจินฮ่องเต้ หลังจากหลี่จื้อเฉิงรบกับทหารราชวงศ์หมิงที่ เชียงหยางและพานเฉิง ในส่านซีแล้วก็นำทัพมุ่งไปยังเหอหนานเพราะรู้ว่าเหอหานมีชาวนามาก การรบใหญ่หลายครั้งกับทหารหมิง แม้จะชนะก็สูญเสียกำลังพลไปมาก การรบใหญ่หลายครั้งกับทหาร หมิง แม้จะชนะก็สูญเสียกำลังพลไปมาก จำต้องหามาเพิ่มเติม เสริมกองทัพของตนได้เข้มแข็งอยู่เสมอ และเหอหนานจะเป็นแหล่งเสริมกำลังได้ดีที่สุด มิผิดไปจากที่หลี่จื้อเฉิงได้คาดคิดไว้ พอทัพของเขาเข้าแดนเหอหนานก็มีกองทัพลุกขึ้นสู้ของชาวนา ที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่มีชื่อว่าเสี่ยวหยวนอิ่ง มีกำลังพลถึง ๒๐ หมื่น เข้ามาสมทบด้วย นอกจากนั้นยังทัพของหลอหรู่ไฉ ซึ่งเป็น ๑ ใน ๑๓ ทัพที่ลุกขึ้นสู้กับราชวงศ์หมิง เห็นทัพอันเกียงไกรของ หลี่จื้อเฉิงก็ยอมเข้ามาสมทบด้วย ในชั่วเวลาอันสั้นชาวนาเหอนหนานซึ่งอดยากยากแค้นเหลือเข็ญ ถูกข่มเหงรังแกสุดจะทน

เมื่อพบกับกองทัพลุกขึ้นสู้ ต่างก็พากันหลั่งไหลเข้ามาสมัครเป็นทหารของหลี่จื้อเฉิง ประดุจสายน้ำที่พรั่งพรู ลงสู่มหาสมุทรฉะนั้น บ้างก็ยกกันมาทั้งครอบครัว คน ๒ รุ่น ๓ รุ่นอยู่ในกองทัพเดียวกันก็มี หลี่จื้อเฉิงเมื่อได้ กำลังเสริมมามากมายได้ดังนั้น ในเดือน ๓ ก็ยกเข้าตีเมืองไท่คัง ซุยโจว หนิงหลิง กุยเต๋อซึ่งเป็นเมืองสำคัญ ในเหอหนานได้ภายในเวลาเพียง ๖ วัน ในเดือน ๔ ก็ตีได้เมืองอี๋ฟง ฉี่เสี้ยน เจ้อเฉิง หยีเฉิง อีก ผู้คนต่างพากันมาสวามิภักดิ์ด้วยอย่างไม่ขาดสาย กำลังของหลี่จื้อเฉิงเข้มแข็งยิ่งขึ้นทุกวัน จึงตระเตรียมที่จะบุก เมืองใคฟงอันเป็นเมืองเอกของเหอหนานสืบไป ฉงเจินฮ่องเต้ ได้รับข่าวว่าเมืองไคฟงคับขันก็เรียกประชุมขุนนาง ทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊แต่ขุนนางในราชสำนักของราชวงศ์หมิง ก็เป็นเช่นเดียวกับฉงเจินฮ่องเต้ ล้วนแต่เป็นขุนนาง ที่ประจบสอพลอ เห็นแก่ตัว มือใครยาวสาวได้สาวเอา และรักตัวกลัวตายกันทั้งสิ้น จึงไม่มีใครให้ความเห็นที่ดี แก่ฉงเจินฮ่องเต้เลย ได้แต่ก้มหน้าก้มตานิ่งอยู่ ฉงเจินฮ่องเต้จนพระทัย จึงรับสั่งให้ติงฉี่รุ่นแม่ทัพประจำเหอหนาน ยกพลไปช่วยไคฟงจากทิศใต้ หยางเหวินเย่ข้าหลวงเมืองเป่าติ้งยกไปทางทิศตะวันตก แล้วให้โหวสุนเสนาบดี ฝ่ายกลาโหมไปควบคุมการช่วยไคฟง

เมื่อพระราชโองการของฉงเจินฮ่องเต้ไปถึงติงรุ่ย หยางเหวินเย่ และจ่อเหลียงอี้แล้ว คนทั้งสามรู้ว่าการศึกครั้งนี้หนักนัก ลำพังกำลังที่ต่างมีอยู่คงจะไม่พอส่งไปช่วยเมืองไคฟงเป็นแน่ เมื่อปรึกษาหารือกันแล้ว จึงจัดรวบรวมไพร่พล ดึงกำลังของพวกเจ้าที่ดินที่หวาดกลัวการลุกขึ้นสู้ของชาวนาเข้ามาอยู่ในกองทัพ จัดเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งต้องใช้เวลาเดือนหนึ่งเต็มๆ จึงสามารถรวบรวมไพร่พลได้ ๒๐ หมื่น และปืนใหญ่อีก ๑ หมื่น ครั้นแล้วก็พากัน ยกกำลังเข้าไปตั้งมั่นอยู่ในจูเชียนเจิ้น เมืองหน้าด่านทางใต้เมืองไคฟงและเป็นเมืองสำคัญทางยุทธศาสตร์ ในสมัยนั้นในตอนปลายเดือน ๖ อันที่จริงในตอนกลางเดือน ๖ หลี่จื้อเฉิงก็ได้วางกำลังโอบล้อมเมืองไคฟงไว้เรียบร้อยแล้ว เตรียมเข้าตีเมืองอยู่ในวันในพรุ่ง และตั้งทัพอยู่ในเมืองจูเชียนเจิ้น จึงให้ยับยั้งการตีเมืองไคฟงไว้ก่อน เรียกแม่ทัพนายกอง มาปรึกษาหารือกลยุทธ์ที่รบกับทหารราชวงศ์หมิง แม่ทัพนายกองก็เสนอความเห็นกันต่างๆ นานา สรุปได้ความว่าเหอหนานอยู่ในมือของกองทัพชาวนาแล้ว ไคฟงก็ถูกล้อม เมื่อทหารหมิงเข้ามาตั้งอยู่ที่จูเชียนเจิ้น ก็ให้ขยายแนว โอบล้อมกว้างออกไป ครอบคลุมเอาจูเซียนเจิ้นเข้าไปด้วย ให้เป็นแนวโอบล้อมใหญ่เป็นเนื้อในหม้อเดียวกัน

แต่หลี่จื้อเฉิงก็เป็นนักการทหารที่ศึกษาตำราพิชัยสงครามาจนจบคนหนึ่ง จึงคิดว่าด้วยกำลังเป็นล้านของทัพชาวนา ไคฟงก็มีสภาพเหมือนหมู่ในอวยอยู่แล้ว ทัพราชวงศ์หมิงที่ส่งมาช่วย อย่างมากก็ประมาณสัก ๒๐ หมื่นถ้าจะขยายแนว โอบล้อมรวมเอาจูเซียนเจิ้นเข้าไปด้วยก็มิใช่เรื่องยาก แต่ถ้าทำเช่นนั้น ทัพที่มาช่วยก็จะรวมกำลังเข้ากับไพร่พล ในเมืองไคฟงได้ ทำให้ข้าศึกกล้าแข็งขึ้น กลับจะเป็นเรื่องยากแก่ชัยชนะ ในตำราพิชัยสงครามเคยมีกล่าวไว้ว่าตีให้แตกทีละส่วนกับ แบ่งแยกแล้วทำลายเสียจักให้ข้าศึกรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมิได้

ดังนั้น หลี่จื้อเฉิงจึงจัดวางแผนการยุทธ์ขึ้นมาใหม่ กล่าวคือ การโอบล้อมเมืองไคฟงไม่ถอย แต่ให้ตั้งแนวโอบล้อมเมืองจูเซียนเจิ้นขึ้นอีกแนวหนึ่งและจะต้องใช้ทหารชาญศึกชั้นเยี่ยมเข้าทำหน้าที่นี้ มิฉะนั้นแล้วก็จะล้อมทหารหมิงไว้ไม่อยู่ เมื่อล้อมได้แล้ว จึงค่อยหาทางทำลายเสียต่อไป แผนการยุทธ์นี้ เมื่อแม่ทัพนายกองได้ปรึกษาหารือกันแล้วก็เห็นฟ้องด้วยว่า ดีกว่าจะให้ข้าศึกบรรจบทัพเป็นกองเดียวกันแข็งแกร่งขึ้น

ครั้นแล้ว หลี่จื้อเฉิงจึงสั่งให้รักษาแนวโอบล้อมไคฟงอยู่เช่นเดิม มิให้ทัพหมิงในเมืองแหกวงล้อมมาสมทบกับ ทัพหนุนช่วยที่จูเซียนเจิ้นได้ ให้ถอนกำลังส่วนใหญ่มาไว้ที่เมืองเกาฝูทางใต้ของจูเซียนเจิ้น สร้างป้อมปืนใหญ่ขึ้น บนแถบเนินสูงทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองนั้น แต่ละป้อมให้ขุดคูกว้าง ๑๖ เซียะยาว ๑๐๐ กว่าลี้ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจูเซียนเจิ้นเป็นวงแหวน ส่วนทางเหนือของเมืองก็เป็นแม่น้ำเหลืองซึ่งเชี่ยวกราก ไม่จำต้องป้องกันข้าศึกก็ข้ามไปมิได้ พร้อมกันนั้นก็ส่งทหารสอดแนมออกไปสืบสภาพของข้าศึกแล้วให้กลับมา รายงานโดยละเอียดเป็นประจำ

จ่อเหลืองอี้แม่ทัพเมืองเป่าติ้งหวาดกลัวที่จะสู้รบกับกองทัพชาวนาเป็นอันมาก ครั้นเมื่อทราบว่า ทัพชาวนา ขุดคูตัดเส้นทางลำเลียงทางตะวันออกเฉียงใต้แล้วก็เดือดร้อนยิ่งนัก หากขาดเสบียงอาหารแล้ว ไม่ต้องรบกองทัพหมิงก็วุ่นวายไปเอง จ่อเหลียงอี้จึงบังคับให้ราษฎรในจูเซียนเจิ้นสร้างทางขึ้นสายหนึ่ง เพื่อเชื่อมต่อกับเมืองไคฟงทะลุไปจนถึงริมฝั่งแม่น้ำเหลือง เพื่ออาศัยการขนส่งทางน้ำมาชดเชยกับ เส้นทางที่ถูกตัดขาดไป แต่จ่อเหลืองอี้เป็นแม่ทัพใจโหด กระทำการทารุณต่อราษฎรเป็นที่รู้กันทั่วไป ราษฎรทั้งหลายเมื่อถูกบังคับให้สร้างทางจึงต่างพากันเฉื่อยงาน หรือมิฉะนั้นก็หาทางทำลายการสร้างถนน ด้วยประการต่างๆ วันนี้สร้างได้ ๑๐ เซี๊ยะ ตกกลางคืนชาวบ้านก็พากันขุดทำลายเสีย การสร้างทางเพื่อแก้ปัญหา การขนส่งของจ่อเหลียงอี้ โดยเฉพาะเรื่องเสบียงอาหาร จึงมิได้ประสบความสำเร็จจนแล้วจนรอด

ทัพหมิงเมื่อตั้งค่ายลง ณ จูเชียนเจิ้น ด้วยจำนวนพลเพียง ๒ หมื่นคนก็ตั้งค่ายยาวถึง ๒๐ ลี้ ดูแล้วให้น่าเกรงขามยิ่งนัก แต่ทว่าแม่ทัพทั้ง ๓ คนต่างก็คิดกันไปคนละอย่าง ล้วนแต่กลัวที่จะออกรบกับกองทัพของชาวนาทั้งสิ้น เมื่อมาพบหน้าปรึกษาหารือกันคราใดเป็นต้องทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างเอาเป็นเอาตายครานั้น เพื่อปกป้องมิให้กำลังของตนต้องได้รับความเสียหายจากการสู้รบกับข้าศึก ในที่สุด จึงตกลงกันได้ที่จะใช้คำขวัญว่าร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อแบ่งเบาภาระขององค์ฮ่องเต้กำหนดให้กองทัพของทุกฝ่ายออกปราบข้าศึกพร้อมกัน โดยหวังที่จะทำลายกองทัพชาวนาเสียในครั้งเดียวนี้

แต่สภาพความเป็นไปของกองทัพหมิงได้ถูกส่งมาถึงมือของหลี่จื้อเฉิงอยู่ตลอดเวลา เช่นความขัดแย้งของพวกแม่ทัพ การจัดวางกำลังของข้าศึกตลอดจนปืนใหญ่และยุทโธปกรณ์อื่นๆ หลี่จื้อเฉิงได้รับทราบโดยละเอียด กองทัพหมิงที่อยู่ในจูเซียนเจิ้น ทัพของจ่อเหลียงอี้นับว่าเข้มแข็งที่สุดมีกำลังพล ๑๐ กว่าหมื่นคน ของหยางเหวินเย่มีเพียงหมื่นกว่าคน ส่วนของติงฉี่ลุ่ยมีราว ๓ หมื่นคน ส่วนโหวสุนมเลยสักคนเดียว ในด้านฐานะตำแหน่งนั้นเล่า ติงฉี่ลุ่ยสูงสุด รองลงมาก็เป็นหยางเหวินเย่ ส่วนจ่อเหลียงอี้แม้จะมีไพร่พล ในมือมากกว่าคนอื่น แต่ก็มีตำแหน่งฐานะต่ำกว่าคนอื่นทั้งหมด ทว่าจ่อเหลียงอี้ก็เป็นขุนพลที่เจ้าเล่ห์ที่สุด ซึ่งรู้ดีว่าถ้ารบชนะ ความดีความชอบก็จะตกเป็นของติงฉี่รุ่ยและหยางและหยางเหวินเย่ ถ้าแพ้ ตนก็จะต้องเสียไพร่พลในมือไปโดยเปล่าประโยชน์ ในทัพของจ่อเหลียงอี้ขุนพลหู่ต้าเวยอยู่คนหนึ่งเท่านั้น ที่บ้าบิ่นไม่รู้เหนือรู้ใต้ อยากจะรบเพื่อเป็นบันไดไต่เต้าเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้นท่าเดียว

เมื่อหลี่จื้อเฉิงทราบสภาพของข้าศึกเช่นนี้แล้ว จึงเห็นว่าจากการวางกำลังของทั้ง ๒ ฝ่าย กองทัพชาวนา บรรจบวงล้อมได้แล้ว จักต้องรักษาไว้มิให้ข้าศึกแหกวงล้อมไป สำหรับข้าศึกที่ถูกล้อมนั้นเล่า ก็ควรจะเข้าโจมตี โดยเลือกจุดที่อ่อนแอของข้าศึกเป็นที่สุด เพื่อให้ทัพหมิงเกิดสะทกสะท้าน เมื่อข้าศึกเกิดความหวาดกลัวแล้ว ก็จะตื่นตระหนก ต้องดำเนินการไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งทัพชาวนาก็จะได้ฉวยโอกาสซ้ำเติมในขณะที่ข้าศึกเคลื่อนพล ก็จะได้ชัยชนะอย่างสิ้นเชิง เมื่อใคร่ครวญจนมีความมั่นใจแล้ว หลี่จื้อเฉิงจึงวางแผนกลยุทธิ์ตีหญ้าให้งูตื่น แล้วกำจัดเสีย

การรบที่จูเชียนเจิ้นจึงระเบิดขึ้น ทัพหมิงมีปืนใหญ่หมื่นกระบอก หยางเหวินเย่แม่ทัพเป็นผู้เปิดฉากใช้ปืนใหญ่ ยิงทัพชาวนาก่อน แต่หลี่จื้อเฉิงก็ใช้แผนตัดเสบียงอาหารและน้ำของทัพนี้ โดยกั้นลำธารน้ำให้เปลี่ยนทิศทาง พร้อมทั้งตัดเส้นทางส่งเสบียงอาหารเสียด้วย ทัพหมิงใช้ปืนใหญ่ระดมยิงอยู่ ๓ วันแต่พวกทหารไม่มีน้ำไม่มีอาหาร เข้าปากเลยแม้สักคำเดียว ขณะนั้นก็เป็นกลางฤดูร้อนที่อากาศร้อนจัด เส้นทางส่งเสบียงอาหารก็เป็นเส้นทาง ส่งกระสุนดินดำด้วยเช่นกัน ทัพปืนใหญ่ของหยางเหวินเย่จึงขาดทั้งอาหาร ขาดน้ำ ขาดกระสุนดินดำ หยางเหวินเย่ ส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากเมืองไคฟงก็มิได้รับตอบ ส่วนทัพของติงฉี่รุ่ยกับจ่อเหลียงก็ทำเฉยเสีย หยางเหวินเย่ ให้บันดาลโทสะ แต่ก็มิรู้ที่จะทำประการใด จิตใจของไพร่พลก็ท้อแท้ ในที่สุด ปืนใหญ่หมื่นกระบอก ก็มิผิดอะไรกับท่อนเหล็ก

กำลังของจ่อเหลืองอี้ ๑๐ หมื่นคนอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจูเซียนเจิ้นขุนพลหู่ต้าเวยก็อยู่ใต้ลงไป เมื่อหลี่จื้เฉิงรู้ถึงกำลังและที่ตั้งของคนทั้งสองแล้ว ก็เห็นว่าหากล้อมไว้เฉยๆ โดยไม่เข้าตี ก็ไม่อาจทำลายข้าศึกลงได้ แม้นสถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงก็ยากที่จะควบคุมแนวโอบล้อมไว้ได้ต่อไป ดังนั้น จึงได้ระดมกำลังหลักและขุนพลกล้าศึกเข้าตีที่ตั้งของหู่ต้าเวยอย่างรุนแรง เพื่อทำลายให้สิ้น ส่วนตัวหลี่จื้อเฉิงเองก็กำลังส่วนหนึ่ง ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อดึงกำลังของจ่อเหลืยงอี้ไว้มิให้ไปช่วยหู่ต้าเวยได้

ทัพของหลี่จื้อเฉิงใช้กำลัง ๒ หมื่นบุกเข้าตีที่ตั่งของหู่ต้าเวยอย่างดุเดือดหู่ต้าเวยแม้จะมีความกล้า แต่ก็ปรามาสข้าศึกมาแต่แรก นอนใจว่าข้าศึกคงจะไม่หาญบุกเข้ามา เพราะ ทหารของตนนั้น ล้วนแต่แกล้วกล้าอาจหาญ ทั้งยังมีกำลังของจ่อเหลียงอี้หนุนหลังอยู่ ครั้นทัพลี่จื้อเฉิงบุกเข้าจริงอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว มิทันจะได้รับพวกไพร่พลก็แตกหนีจนหู่ต้าเวยบังคับไว้ไม่อยู่ ต้องพลอยหนีตามไพร่พลไปด้วย ส่งคนไปขอความช่วยเหลือ จากจ่อเหลียงอี้ เฝ้าแต่คอยก็คอยหาย กำลังของทัพหลี่จื้อเฉิงก็ตามติดมาไม่ยอมปล่อย จนกระทั้งฟ้ามืดทัพหลี่จื้อเฉิง จึงหยุดไล่ตาม แต่ทัพของหู่ต้าเวยก็เหลืออยู่เพียง ๓ พันคน

เมื่อทัพหมิงทางใต้ย่อยยับแล้ว ก็ทำให้ทัพของจ่อเหลียงอี้เผชิญกับทหารชาวนาทั้งทางด้านตรงและด้านข้างโดยตรง หู่ต้าเวยเป็นขุนพลที่มีทหารชั้นเยี่ยมที่สุดของกองทัพหมิงอยู่ในมือ แต่ก็กลับแตกกระเจิงในเวลาเพียงวันเดียว จึงส่งผลสะเทือนต่อทัพของจ่อเหลียงอี้เป็นอันมาก บวกกับจ่อเหลียงอี้ ไม่คิดจะรบกับทัพของชาวนา คิดแต่รักษากำลังของตนไว้แบบ รู้รักษาตัวยอดเป็นยอดดีถ่ายเดียว ดังนั้น เมื่อหลี่จื้อเฉิงกับขุนพลของทัพชาวนา บุกขนาบทัพของจ่อเหลียงอี้เข้ามา ๒ ทาง จ่อเหลียงอี้จึงจำใจต้องรบด้วยอย่างฝืนๆ ทว่าก็คิดหาทางหลีกเลี่ยง การปะทะอยู่ตลอดเวลา แต่เนื่องจากทัพของหลี่จื้อเฉิงติดพันอยู่ไม่ยอมให้มีโอกาส จ่อเหลียงอี้จึงหมดปัญญา ต้องกัดฟันสู้อย่างสุนัขจนตรอกไปตามเพลง

ทั้ง ๒ ฝ่ายรบกันอยู่ ๕ วันกับ ๕ คืน จ่อเหลืยงอี้ต้องสูญเสียทหารไปกว่าครึ่งก็ให้รู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก เกรงว่าขืนรบต่อไป กำลังของตนก็คงจะไม่มีเหลือจึงพยายามถอนตัวจากการรบตีฝ่าออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ หลี่จื้อเฉิงยืนอยู่บนเนินสูง เห็นเช่นนั้นก็รู้ความประสงค์ของจ่อเหลียงอี้ จึงมีคำสั่งให้เปิดทางให้ จ่อเหลียงอี้จึงสามารถหลุดพ้นออกมาจากวงล้อมได้ และได้พบกับหู่ต้าเวยกับทหารที่เหลืออยู่ จึงสมทบกันถอยทัพต่อไปอย่างเร่งรีบ

แท้ที่จริงนั้น หลี่จื้อเฉิงได้เตรียมกำลังบดขยี้จ่อเหลียงอี้ไว้ก่อนแล้วที่ให้เปิดทางก็เพื่อให้จ่อเหลียงอี้ตกหลุมพราง ที่ตนได้วางไว้ จ่อเหลียงหนีมาได้ ๑๐ กว่าลี้ก็โล่งใจคิดว่าตนรอดชีวิตมาได้แล้ว ทันใดนั้นเองก็มีทหารมาแจ้งว่า ทัพหลี่จื้อเฉิงไล่ติดตามมาทางด้านข้างหลังอย่างรวดเร็วจนฝุ่นตลบบังแสงอาทิตย์ไปหมดสิ้น จ่อเหลียงอี้จึงเลี่ยง หนีไปตามทางเล็ก แต่ไม่นานก็มีรายงานมาอีกว่า เกิดปะทะกับข้าศึกทางด้านหน้าอีก จ่อเหลียงอี้จึงรู้ว่า ตนเข้ามาติดกับของหลี่จ้อเฉิงเข้าให้แล้ว ครั้นจะนำทะลวงไปทางเมืองที่ซางทางใต้ ก็ไปเจอเข้ากับ คูขุดกว้าง ๑๖ เซียะ ของหลี่จื้อเฉิงเข้า ม้ากระโดดข้ามไม่ได้ บ้างก็มีทัพของหลี่จื้อเฉิงติดตามมาอย่างประชิด ถึง ๒ ทางด้วยกัน ก็มีแต่ต้องรุดหน้าไปแม้จะเป็นคู ทั้งคนทั้งม้าลงคูเพื่อปืนป่ายไปยังอีกฟากหนึ่ง กองทัพของจ่อเหลียงอี้เข้าไปจุกกันอยู่ที่ริมคู ที่อยู่ในคูก็เบียดเสียดยัดเบียดกันแย่งจะขึ้นคูหนีตายกันจ้าละหวั่น ทั้งม้าทั้งคนจึงถูกเหยียบตายอยู่ในคูเป็นอันมากส่วนอาวุธยุทโธปกรณ์ก็ทั้งกันเกลื่อนไปทั่วท้องทุ่ง จ่อเหลียงอี้มีคนสนิท ๑๐ กว่าคนช่วยประคับประคองก็หนีออกจากวงล้อมของกองทัพหลี่จื้อเฉิงไปจนถึง เมืองเซียงหยางได้ เมื่อตรวจสอบไพร่พลที่ยังเหลืออยู่ ของหู่ต้าเวยมีเหลืออยู่เพียง ๑๐ กว่าคน ส่วนกำลัง ๑๐ หมื่นของจ่อเหลียงอี้ก็เหลืออยู่เพียงหมื่นกว่าคน จ่อเหลียงอี้ถึงกับร้องไห้รำพันว่าเราอุตส่าห์สะสมกำลังอยู่นาน ๑๐ ปี ต้องพังพินาศไปเพราะการยุทธ์จูเซียนเจิ้นนี้ไปจนหมดสิ้น ฟ้าคงจะลงโทษเราเป็นแน่แล้วหู่ต้าเวยได้ฟังดังนั้นก็ให้รู้สึกอับอายขายหน้าเป็นที่ยิ่ง จึงชักดาบออกมา จะเชือดคอตาย เดชะบุญที่ผู้ใกล้ชิดแย่งดาบไว้ทัน

เมื่อทัพของจ่อเหลียงอี้แหลกลาญไป หยางเหวินเย่ก็ดีใจสมน้ำหน้าเป็นอย่างยิ่ง ส่วนทัพของติงฉี่รุ่ย หลี่จื้อเฉิงก็ให้ขุนพล ๒ คนนำทัพไปบดขยี้เสีย ติงฉี่รุ่ยขอให้หยางเหวินเย่ยิงปืนใหญ่ช่วย แต่ทหารของหยางเหวินเย่กลับปฏิเสธว่า หากท่านให้น้ำเราสักชามหนึ่งเสียแต่แรก ปืนใหญ่ของเรา ก็จะยิงเสียตั้งนานแล้วทหารของติงฉี่รุ่ยก็ถูกทัพชาวนาตีแตกไม่เป็นกระบวน ติงฉี่ลุ่ยกับหยางเหวินเย่ จึงจำต้องหันหน้าเข้าปรึกษาหารือกันทะลวงแนวโอบล้อมลงไปทางใต้พร้อมกัน ผลของการรบใหญ่ที่จูเซียนเจิ้น ทหารราชวงศ์หมิงถูกจับเป็นเชลยของกองทัพชาวนาหลี่จื้อเฉิงหลายหมื่นคน ได้ยุทโธปกรณ์อาทิเช่น เสบียง ปืนใหญ่ กระสุนดินดำมากมาย เฉพาะม้าศึกก็ได้ถึง ๒ หมื่นตัว กลยุทธ์นี้ ได้ใช่วิธี ตีหญ้าคือเล่นงานทัพ ๒ หมื่นของหู่ต้าเวยก่อนเมื่อหู่ต้าเวยพ่ายก็กระทบกระเทือนถึง จิตใจทัพจ่อเหลียงอี้ให้เกิดหวั่นไหวเหมือน งูตื่นเมื่อ งูตื่นก็เอาแต่หนีมิคิดสู้ จึงกำจัดเสียได้โดยไม่ยาก

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
เมื่อสภาพของข้าศึกยังไม่ชัดแจ้งแก่เราฝ่ายเราไม่ควรจะปฏิบัติการอย่างลวก ๆ จะต้องหาทางสืบทราบ สภาพของข้าศึกให้ถ่องแท้ ครั้นเมื่อทราบเจตนาของฝ่ายตรงข้ามแล้ว จึงออกโจมตี เยี่ยงเดียวกับงูที่ซ่อนอยู่ในพงหญ้า ควรจะใช้ไม้ตีพงหญ้าไปรอบ ๆ เพื่อให้งูปรากฏให้เห็น แล้วจึงจับเอาภายหลัง ไม่จำเป็นต้องบุกเข้าไปจับจนถังรัง งูให้เปลืองแรง


 Source : http://porgorn0009.blogspot.com/2012/05/blog-post_1497.html?q=%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%93&view=classic


No comments:

Post a Comment