Thursday, December 13, 2018

แฮหัวตุ้น หยวนหราง (เซี่ยโหวตุ้น) “ยอดขุนพลตาเดียว”

            แฮหัวตุ้น หรือ เซี่ยโหวตุ้น (Xiahou Dun) ชื่อรอง หยวนหราง (Yuanrang) ปีเกิดไม่แน่ชัด เชื่อว่าเกิดปีค.ศ.160 เป็นชาวเฉียว เมืองเป่ย เฉินโซ่วบันทึกไว้ว่า แฮหัวตุ้นเป็นทายาทรุ่นหลังของแฮหัวหยิง ยอดขุนพลที่มีชื่อเสียงในตอนต้นของราชวงศ์ฮั่น

ความจริงแล้วแฮหัวตุ้นเป็นคนในตระกูลเดียวกันกับโจโฉ เพราะบิดาของโจโฉคือโจโก๋นั้นเดิมทีแล้วเป็นคนจากตระกูลแฮหัว แต่ต่อมาได้ไปเป็นบุตรบุญธรรมของมหาขันทีโจเต็ง โจโฉจึงได้ใช้แซ่โจต่อมา ดังนั้น แฮหัวตุ้นจึงเป็นลูกพี่ลูกน้องของโจโฉที่มีอายุไล่เลี่ยกันมากที่สุด และมีความสนิทสนม ได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจมากที่สุดด้วย

            เมื่ออายุ 14 ปี แฮหัวตุ้นได้ร่ำเรียนวิชาจากอาจารย์ในบ้านเกิด เขาฝึกฝนทั้งวิชาทวน กระบี่ และศึกษาตำรา แต่ครั้งหนึ่ง มีคนมากล่าวดูถูกอาจารย์ของเขา ดังนั้นเขาจึงสังหารคนผู้นั้นทิ้ง นับแต่นั้น แฮหัวตุ้นจึงมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วว่าเป็นผู้มีอารมณ์เลือดร้อนและชอบใช้กำลังรุนแรง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นผู้มีความซื่อตรงและเที่ยงธรรมด้วย

ซุนวู ๑๓ บท : บทที่ ๘ เก้าลักษณะ

อันหลักแห่งการบัญชาทัพนั้น แม่ทัพรับโองการจากประมุข ระดมไพร่รวบรวมพล พื้นที่วิบากไม่ตั้งค่าย พื้นที่คาบเกี่ยวพึงคบมิตร พื้นที่กันดารอย่าหยุดทัพ พื้นที่โอบล้อมใช้กลยุทธ์ พื้นที่มรณะต้องสู้ตาย

เส้นทางบางสายไม่ผ่าน กองทัพบางกองไม่ดี หัวเมืองบางเมืองไม่บุก ชัยภูมิบางแห่งไม่ชิง โองการบางอย่างไม่รับ

ฉะนั้น แม่ทัพผู้แจ้งในประโยชน์แห่งเก้าลักษณะ จึงเป็นผู้รู้การศึก แม่ทัพผู้ไม่แจ้งผลแห่งเก้าลักษณะ แม้จะรู้ภูมิประเทศ ก็จักมิได้ประโยชน์จากพื้นที่ การบัญชาทัพมิรู้กลวิธีแห่งเก้าลักษณะ แม้จะแจ้งในผลดีทั้งห้าก็นำทัพมิได้

เหตุนี้ การคิดคำนึงของผู้ฉลาด จึงใคร่ครวญทั้งผลดีผลเสีย ใคร่ครวญผลดี จักทำให้เชื่อมั่นในภารกิจ ใคร่ครวญผลเสีย จักปัดเป่าอันตรายให้หายสูญ

Monday, November 5, 2018

กุยแก ฟ่งเซี่ยว (Gua Jia)- จ้าวแห่งการวิเคราะห์ กุนซือทางทหารอันดับหนึ่งของโจโฉ


จากจดหมายเหตุชีวประวัติกุยแก โดยเฉินโซ่ว  (Biography of Guo Jia)  

กุยแก หรือ กัวะเจียะ (Guo Jia) ชื่อรอง เฟิ่งเซี่ยว (Fengxiao) เกิดปีค..170 เป็นชาวเมืองอิงฉวน มณฑลเหอหนาน เฉินโซ่วบันทึกไว้ด้วยความยกย่องว่า กุยแกเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในฐานะเป็น กุนซือ หรือ เสนาธิการ ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยกย่องมากที่สุดในกองทัพของโจโฉ

เมื่อวัยหนุ่ม กุยแกมีชื่อเสียงอย่างมากว่าเป็นบัณฑิตที่มีสติปัญญาล้ำเลิศ ท่วงท่าสง่างาม เขายังมีชื่อเสียงเลื่องลือในด้านที่ชอบกล่าววิจารณ์ผู้คนและเสียดสีสังคมอย่างตรงไปตรงมา ในเวลานั้นอ้วนเสี้ยวซึ่งกำลังสะสมกำลังอำนาจอยู่ทางตอนเหนือจึงเชิญกุยแกให้มารับราชการอยู่ด้วย จากนั้นกุยแกจึงได้ไปรับราชการอยู่กับอ้วนเสี้ยว เฉกเช่นเดียวกับบัณฑิตและนักปราชญ์ส่วนใหญ่ในแถบเหอหนานและเหอเป่ยที่มักจะเลือกไปทำงานอยู่กับอ้วนเสี้ยวกันมาก ฝ่ายอ้วนเสี้ยวเองก็ให้ความเลื่อมใสในตัวกุยแกมาก

Sunday, November 4, 2018

ส่วนที่ ๒ กลยุทธ์เผชิญศึก : กลยุทธ์ที่ ๑๐ ซ่อนดาบในรอยยิ้ม

ส่วนที่ ๒ กลยุทธ์เผชิญศึก 
ยามเมื่อเผชิญศึกเท็จลวงกับจริงแท้ 
พึงใช้สอดแทรกซึ่งกันและกันอย่างสลับซับซ้อน 
ทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ

กลยุทธ์ที่ ๑๐ ซ่อนดาบในรอยยิ้ม 

เชื่อจึงวางใจ มืดเพื่อเตรียมการ พร้อมแล้วจึงเคลื่อน อย่าให้แปรเปลี่ยน แข็งในอ่อนนอก 
กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า จะต้องทำให้ข้าศึกเชื่อว่าเรามิได้เคลื่อนไหวอะไรเลย จึงสงบไม่เคลื่อนเช่นกัน ทั้งเกิดความคิดมึนชาขึ้น 

แต่เรากลับดำเนินการตระเตรียมเป็นการลับ รอคอยโอกาสเพื่อที่จะออกปฏิบัติการโดยฉับพลันทันที แต่ต้องระวังมิให้ข้าศึกล่วงรู้ก่อน อันจะทำให้สภาพการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงไป 

แข็งในอ่อนนอกคือภายนอกนั้นดูละมุนละไม แต่ภายในนั้นเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง 

 ซ่อนดาบในรอยยิ้มความเดิมหมายถึงโดยผิวเผินก็อ่อนโยน แต่ภายในนั้นมากด้วยเล่ห์ เมื่อนำมาใช้ก็คือกลยุทธ์ที่นอกอย่างในอย่าง แจ้งอย่างลับอย่างภายนอกแสดงความอ่อนละมุน แต่ภายในแผงไว้ด้วยการเอาเป็นเอาตายอยางหนึ่ง


ซุนฮก เหวินรั่ว (สวินอวี้) “ถุงปัญญาผู้วางรากฐานวุยก๊ก”


จากจดหมายเหตุชีวประวัติซุนฮก โดยเฉินโซ่ว(Biography of Xun Yu)
 
ซุนฮก หรือ สวินอวี้ (Xun Yu) ชื่อรอง เหวินรั่ว (Wenruo) เกิดปีค..162 เป็นชาวอิงฉวน เมืองสวีชางหรือฮูโต๋ มณฑลเหอหนาน เฉินโซ่วบันทึกว่าพื้นเพของซุนฮกว่า เขาเกิดในตระกูลซุนซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงและบารมีมากในจงหยวนหรือภาคกลางของจีน ปู่ของเขาคือซุนซี เคยรับราชการในสมัยพระเจ้าฮั่นซุ่นเต้และฮั่นหวนเต้ ได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองหลางหลิง เกียรติยศชื่อเสียงเลืองลื่อไปทั่วแผ่นดิน ซุนชีมีบุตรชายแปดคน ทั้งหมดมีชื่อเสียงมาก ผู้คนมักเรียกรวมกันว่า แปดมังกรแห่งตระกูลซุน


Thursday, September 20, 2018

วิธีการเลือกเมียของขงเบ้ง

วิธีการเลือกเมียของขงเบ้ง



Credit :  http://www.chinatalks.co/chinatalks/sanguo/kongmingage/


กลศึกขงเบ้ง ยุให้แตกสามัคคี ชนะโดยไม่ต้องรบ

กลศึกขงเบ้ง ยุให้แตกสามัคคี ชนะโดยไม่ต้องรบ 
ในศึกกับม่านอ๋อง เบ้งเฮ็ก ขงเบ้งใช้วิธียุให้เจ้าเมือง 3 เมืองที่เป็นพันธมิตรกับเบ้งเฮ็กเกิดแตกสามัคคี ระแวงกันเอง สุดท้ายก็เอาชนะได้โดยไม่ต้องยกทัพใหญ่เข้าสู้รบ


Credit :  http://www.chinatalks.co/chinatalks/sanguo/kongmingage/

กลศึกแรกของขงเบ้ง

 
กลศึกแรกของขงเบ้ง

ในเรื่องสามก๊ก เล่าเรื่อง ยุทธการเนินพกบ๋อง ไฟเผาเมืองซินเอี๋ย ไขแม่น้ำแปะโหท่วมกองทัพโจโฉ


Credit : http://www.chinatalks.co/chinatalks/sanguo/kongmingage/

Thursday, July 19, 2018

จิวยี่ กงจิ๋น (Zhou Yu) - จอมทัพเรืออันดับหนึ่งแห่งยุคสามก๊ก

จิวยี่ กงจิ๋น (โจวอวี่)
จอมทัพเรืออันดับหนึ่งแห่งยุคสามก๊ก
สำนวนที่ว่า ฟ้าให้จิวยี่เกิดมาแล้วไยต้องให้ขงเบ้งเกิดมาด้วยเล่า

         นี่เป็นประโยคที่โด่งดังมากที่สุดประโยคหนึ่งในนิยายสามก๊ก เป็นวาทะของบุรุษผู้หนึ่งได้พูดเอาไว้ก่อนวาระสุดท้าย เขาผู้นี้ก็คือยอดแม่ทัพเรืออัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งยุคสามก๊ก ทั้งเป็นบุรุษรูปงาม ผู้เปี่ยมด้วยสติปัญญา ความสามารถในการทำศึก และความภักดีต่อง่อก๊กอย่างลึกซึ้ง ที่กล่าวมานี้ไม่อาจเป็นอื่นได้อีกนอกจาก บุรุษนาม จิวยี่ กงจิ๋น แม่ทัพใหญ่แห่งรัฐหวูหรือ ง่อก๊ก

         เรื่องราวของจิวยี่ได้รับการกล่าวขวัญถึงและเป็นที่รู้จักสำหรับแฟนหนังสือสามก๊กในฐานะคู่ต่อสู้ทางสติปัญญาที่มีความทัดเทียมกับมังกรหลับขงเบ้ง แม้ว่าจิวยี่มักจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการประลองทางปัญญาและเสียรู้ให้อุบายของขงเบ้งอยู่บ่อยครั้ง

Wednesday, July 18, 2018

ลิโป้ เฟยเสียง (Lu Bu) - เทพนักรบแห่งยุคสามก๊ก


ลิโป้ เฟิ่งเซี่ยน
Lu Bu (Fengxian)

                 หยืนจงหลี่ปู้ หม่าจงชื่อทู่ความหมายของประโยคนี้คือ
ยอดคนต้องลิโป้ ยอดอาชาต้องเซ็กเธาว์
         ประโยคข้างต้นนี้เป็นคำที่ใช้สำหรับกล่าวขานถึงยอดนักรบหนึ่ง ซึ่งได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในยุคก่อนหน้าที่แผ่นดินจะแตกขั้วเป็นสามก๊ก และเป็นบุคคลเดียวที่สามารถต่อสู้ได้สูสีกับ กวนอูและเตียวหุย สองยอดขุนพลแห่งยุคโดยพร้อมกัน ก็ยังไม่อาจเอาชีวิตเขาได้ ทำให้ความแข็งแกร่งของเขากลายเป็นตำนานในฐานะของเทพนักรบผู้เข้มแข็งที่สุดในแผ่นดิน

ซุนวู ๑๓ บท : บทที่ ๗ การสัประยุทธ์


อันหลักแห่งการบัญชาทัพนั้น แม่ทัพรับโองการจากประมุข ระดมไพร่รวบรวมพล ตั้งทัพเผชิญข้าศึก ที่ยากคือการชิงชัย ความยากของการชิงชัยอยู่ที่แปลงอ้อมให้เป็นตรง แปลงภยันตรายให้เป็นประโยชน์
ฉะนั้นจึงพึงเดินทางอ้อม แล้วล่อด้วยประโยชน์ เคลื่อนพลทีหลัง ถึงที่หมายก่อน นี้คือผู้รู้กลยุทธ์อ้อมตรง ฉะนั้น การชิงชัยมีประโยชน์ การชิงชัยมีภัย ยกทัพทั้งกองไปชิงประโยชน์ จักไม่ทันกาล ทิ้งยุทโธปกรณ์ไปชิงประโยชน์ จักสูญเสียสัมภาระ

เหตุนี้ แม้นเก็บเสื้อเกราะเร่งเดินทัพ ไม่หยุดทั้งกลางวันกลางคืน รีบรุดเป็นทวีคูณ เพื่อไปชิงประโยชน์ในร้อยลี้ แม่ทัพทั้งสามจักเป็นเชลย เพราะผู้แข๋งแรงจะขึ้นหน้า ผู้เหนื่อยล้าจะตกหลัง การนี้จะมีทหารถึงที่หมายเพียงครึ่งเดียว แม้นเพื่อชิงประโยชน์ในสามสิบลี้ ก็จะมีทหารถึงที่หมายเพียงสองในสาม

ซุนวู ๑๓ บท : บทที่ ๖ ตื้นลึกหนาบาง


ผู้เข้าสนามรบคอยข้าศึกก่อนย่อมสดชื่น ผู้เข้าสนามรบสู้ศึกฉุกละหุกทีหลังย่อมอิดโรย ฉะนั้น ผู้สันทัดการรบ จึงกระทำต่อผู้อื่นใช่ถูกผู้อื่นกระทำ

ที่สามารถทำให้ข้าศึกมาเอง ก็เพราะล่อด้วยประโยชน์ที่สามารถทำให้ข้าศึกมิกล้าเข้า ก็เพราะเผยให้เห็นภัย ฉะนั้น ข้าศึกสดชื่นพึงให้อิดโรย อิ่มพึงให้หิว สงบพึงให้เคลื่อน

พึงดีที่ข้าศึกมิอาจหนุนช่วย พึงรุกที่ข้าศึกมิได้คาดคิด เดินทัพพันลี้มิเหนื่อย เพราะเดินในที่ปลอดคน โจมตีก็ต้องได้เพราะข้าศึกมิอาจป้องกัน รักษาก็ต้องมั่นคง เพราะข้าศึกมิอาจเข้าตี

ฉะนั้น ผู้สันทัดการโจมตี ข้าศึกมิรู้ที่จะตั้งรับ ผู้สันทัดการตั้งรับ ข้าศึกมิรู้ที่จะโจมตี แยบยลแสนจะแยบยล จนมิเห็นแม้วี่แววพิสดารสุดพิสดาร จนไร้สิ้นซึ่งสำเนียง ฉะนั้น จึงสามารถบัญชาชะตากรรมข้าศึก

Thursday, July 12, 2018

ส่วนที่ ๒ กลยุทธ์เผชิญศึก : กลยุทธ์ที่ ๙ ดูไฟชายฝั่ง

ส่วนที่ ๒ กลยุทธ์เผชิญศึก
ยามเมื่อเผชิญศึก
เท็จลวงกับจริงแท้
พึงใช้สอดแทรกซึ่งกันและกันอย่างสลับซับซ้อน
ทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ
  
กลยุทธ์ที่ ๙ ดูไฟชายฝั่ง

แจ้งแตกมิเป็นส่ำ มืดรอให้อับจน ความดุร้ายใจโหด จักคร่าชีวิตเอง
คล้อยเพื่อเคลื่อนตาม คล้อยตามจึงเคลื่อน


กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อประสบกับภาวะที่ข้าศึกแตกแยกวุ่นวายปั่นป่วนอย่างหนัก
พึงรอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสงบ หากข้าศึกใช้ความป่าเถื่อนแก่กัน ต่างพิพาทเข่นฆ่ากัน
แนวโน้มก็จักพาไปสู่ความวินาศเอง ในเวลาเยี่ยงนี้จักต้องปฏิบัติให้คล้อยตามการเปลี่ยนแปลง
ของสภาพข้าศึก ตระเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า เพื่อดำเนินการให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ชิงมาซึ่งชัยชนะ
โดยใช้การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของทางฝ่ายข้าศึกให้เป็นประโยชน์

Monday, June 18, 2018

จูล่ง "สุภาพบุรุษจากเซียงซาน"


จูล่ง (จีนตัวเต็ม: 子龍; จีนตัวย่อ: 子龙; พินอิน: Zǐlóng) เป็นตัวละครในวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่อง สามก๊ก ที่มีตัวตนจริง ชื่อจริงว่า เตียวหยุน (จีนตัวเต็ม: 趙雲; จีนตัวย่อ: 赵云; พินอิน: Zhào Yún) แม่ทัพคนสำคัญของเล่าปี่ และเป็นหนึ่งในห้าทหารเสือ
จูล่ง ได้รับฉายาว่าเป็น "สุภาพบุรุษจากเสียงสาน" เกิดในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 2 ประมาณปี ค.ศ. 157 หรือ 168 ที่อำเภอเจินติ้ง เมืองเสียงสาน มีแซ่เตียว (จ้าว) ชื่อ หยุน (แปลว่าเมฆ) ชื่อรอง จูล่ง หรือ จื่อหลง (แปลว่าบุตรมังกร) สูงประมาณ 6 ศอก (1.89 เมตร) หน้าผากกว้างดั่งเสือ ตาโต คิ้วดก กรามใหญ่กว้างบ่งบอกถึงนิสัยซื่อสัตย์ สุภาพเรียบร้อย น้ำใจกล้าหาญ สวมเกราะสีขาว ใช้ทวนยาวเป็นอาวุธ พาหนะคู่ใจ คือ ม้าสีขาว

Saturday, May 5, 2018

ซุนวู ๑๓ บท : บทที่ ๕ พลานุภาพ

อันการปกครองไพร่พลมาก ให้เสมือนหนึ่งปกครองไพร่พลน้อย ก็ด้วยการจัดกำลังพล การบัญชาไพร่พลมาก ให้เสมือนหนึ่งบัญชาไพร่พลน้อย ก็ด้วยการจัดอาณัติสัญญาณ ไพร่พลสามทัพมิพ่ายเมื่อสํ้ข้าศึก ก็ด้วยการรบสามัญและพิสดาร การรุกรบข้าศึก ประหนึ่งเอาหินทุ่มไข่ ก็ด้วยการใช้แข็งตีอ่อน


อันการรบนั้น สู้ศึกด้วยรบสามัญ ชนะด้วยรบพิสดาร ฉะนั้นผู้สันทัดการรบพิสดาร จักไร้สิ้นสุดดุจฟ้ดิน จักมิเหือดแห้งดุจสายน้ำ จักหยุดหรือหวนรบดุจเดือนตะวัน จักตายหรือกลับฟื้นดุจฤดูกาล เสียงมีเพียงห้า ห้าเสียงพลิกผัน จึงฟังมิรู้เบื่อ สีมีเพียงห้า ห้าสีพลิกผัน จึงดูมิรู้หน่ย รสมีเพียงห้า ห้ารสพลิกผัน จึงลิ้มมิรู้จาง สถานะศึก มีเพียงสามัญ และพิสดาร สามัญและพิสดารพลิกผัน จึงเห็นมิรู้จบ สามัญและพิสดารพัวพันหันเหียน ดุจวงกลมที่มิมีจุดเริ่มต้น จักมีที่สิ้นสุดได้ไฉน ความแรงของกระแสน้ำไหลเชี่ยว สามารถพัดหินลอยเคลื่อนนี้คือพลานุภาพ  

สุมาอี้ : คนไประบบต้องอยู่


"สุมาอี้" ชื่อนี้ผู้ที่อ่านสามก๊กคงรู้จักกันดีว่าเป็นผู้สวมบท "ตาอยู่" ในการรบระหว่างสามยอดคน "เล่า-โจ-ซุน" และเป็นคนที่ชิงจังหวะยึดแผ่นดินรวมก๊กที่แตกแยกเข้าด้วยกันได้สำเร็จ แต่ผู้ที่ไม่ได้อ่านสามก๊กอาจจะสงสัยว่า สุมาอี้คือใคร มาจากไหน


โดยสังเขป สุมาอี้เป็นข้าราชการให้กับโจโฉมาก่อน แต่ด้วยบุคลิกที่เรียกว่า "จิ้งจอกเหลียวหลัง" ที่สามารถใช้สายตามองด้านหลังผ่านหัวไหล่ โดยที่คอยังตั้งตรงอยู่ได้ ลักษณะแบบนี้โจโฉมองว่าไม่ดี

Saturday, April 14, 2018

ซุนวู ๑๓ บท : บทที่ ๔ รูปลักษณ์การรบ

ผู้สันทัดการรบในอดีต จักทำให้ตนมิอาจพิชิตได้ก่อน เพื่อรอโอกาสข้าศึกจะถูกพิชิต มิอาจพิชิตเป็นฝ่ายตน ถูกพิชิตเป็นฝ่ายข้าศึก ฉะนั้น ผู้สันทัดการรบ อาจทำให้ตนมิอาจพิชิตได้ แต่ไม่อาจทำให้ข้าศึกจะต้องถูกพิชิต ดังนี้จึงว่า ชัยชนะอาจล่วงรู้ แต่ไม่อาจกำหนดได้ ผู้ที่เราไม่อาจเอาชนะ พึงตั้งรับ

ผู้ที่เราอาจเอาชนะ พึงเข้าตี ตั้งรับเพราะกำลังไม่พอ เข้าตีเพราะกำลังเหลือเฟือ ผู้สันทัดการตั้งรับ จักประหนึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้บาดาล
 
ผู้สันทัดการเข้าตี จักประหนึ่งเคลื่อนตัวอยู่เหนือฟากฟ้า ฉะนั้น จึงสามารถพิทักษ์ตนเอง ให้ได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์
 
หยั่งเห็นในชัยชนะมิเกินซึ่งคนทั้งปวงรู้ หาใช่ความยอดเยี่ยมที่แท้ไม่ ฉะนั้น ยกขนนกขึ้นได้ใช่ว่าทรงพลัง เห็นแสงเดือนตะวัน ใช่ว่าตาสว่าง ได้ยินเสียงฟ้าคำรณใช่ว่าโสตไว

ขงเบ้ง : ผู้บริหารสันดานเสมียณ


"ขงเบ้ง หรือ จูกัดเหลียง" ที่ปรึกษามือหนึ่งแห่งจ๊กก๊ก ของเล่าปี่ ถ้าเป็นองค์กรขนาดใหญ่ขงเบ้งก็เปรียบเหมือนกับ CEO ที่มีอำนาจหน้าที่ในหารบริหารธุรกิจแทนเจ้าของหรือก็คือมือปืนขององค์กรนั่นเอง ขงเบ้งเป็นผู้มีความฉลาดหลักแหลมทั้งในเรื่องการบริหารภายในองค์กรและการบริหารในเชิงกลยุทธ์และนโยบาย กล่าวคือ แต่เดิมองค์กรของเล่าปี่ก็ประกอบด้วยฝ่ายที่ปรึกษา ได้แก่ ซุนเขียน บิต๊ก (พี่ชายของนางบิฮูหยินผู้เป็นภรรยาเล่าปี่) กันหยง และฝ่ายปฏิบัติการได้แก่ กวนอู เตียวหุย จูล่ง หากมองเผินๆ จะพบว่าฝ่ายปฏิบัติการ (ฝ่ายบู๊) นั้นมีความเข้มแข็งมาก หากแต่ฝ่ายที่ปรึกษา (ฝ่ายบุ๋น) นั้นยังไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร (ดังที่สุมาเต๊กโชอาจารย์ของขงเบ้ง บอกกับเล่าปี่ว่าคนเหล่านี้เป็นเพียงผู้รู้หนังสือเท่านั้น หาใช่ปราชญ์ผู้พลิกแผ่นดินไม่) เพราะบุคคลดังกล่าวก็มาจากคนสนิทของเล่าปี่เอง ถ้าเทียบกับบริษัทหรือโรงงานๆ หนึ่งนั้น อาจจะมองได้ว่าฝ่ายผลิตและฝ่ายวิจัย มีความสามารถในการผลิตสินค้าที่ดีมากๆ หากแต่ขาดฝ่ายการตลาดและฝ่ายกลยุทธ์ที่จะช่วยขายสินค้าเหล่านี้ให้ได้ ดังนั้นขงเบ้งจึงเป็นบุคคลที่สามารถเข้ามาเติมเต็มส่วนนี้ให้กับเล่าปี่ได้ จนทำให้เล่าปี่ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ได้ในที่สุด

Thursday, April 12, 2018

จิวยี่ ผู้ถ่มน้ำลายรดฟ้า


จิวยี่...เสือสำอาง

เทียนกี้แซยี่ ฮ่อปิ๊ดแซเหลียง
          ฟ้าให้ยี่มาเกิด ไฉนให้เหลียงมาเกิดด้วยเล่า..

          ผมเชื่อว่าประโยคข้างต้น ..เป็นประโยค"คุ้นหู"คนอ่าน"สามก๊ก" จนเป็นเสมือน"ตราบาป"ติดตัวเจ้าของคำพูด ..คนที่ชื่อ"จิวยี่"ไปตลอดกาล..

          จิวยี่เป็นคนเช่นนั้นจริงหรือ?
          แน่นอนว่า ใครที่อ่าน"สามก๊ก"..ก็คงคิดเช่นนั้น เพราะ"ภาพ"ที่ออกมาของจิวยี่ที่เป็น"คู่ปรับ"ของ ขงเบ้ง..จะออกมาในลักษณะ"ขี้อิจฉา" เนื่องจากเมื่อเทียบกับ"ขงเบ้ง" การต่อกรทุกครั้งจิวยี่จะเป็นผู้แพ้..
          แม้กระทั่งตอนเสียชีวิต ก็มีเรื่องเล่าว่า..
          จิวยี่ สิ้นชีพเมื่ออายุได้เพียง 36 ปี ระหว่างยกทัพบุกเมืองปาเหล็ง ด้วยอาการโลหิตเป็นพิษจากลูกธนู ประกอบกับความแค้นใจที่มีต่อขงเบ้ง จึงกระอักเลือดตาย ก่อนสิ้น จิวยี่ได้รำพันออกมาว่า "เมื่อฟ้าส่งข้ามาเกิดแล้ว เหตุไฉนถึงส่งขงเบ้งมาเกิดด้วย"

ส่วนที่ ๒ กลยุทธ์เผชิญศึก : กลยุทธ์ที่ ๘ ลอบตีเฉินชัง

ส่วนที่ ๒ กลยุทธ์เผชิญศึก
ยามเมื่อเผชิญศึก
เท็จลวงกับจริงแท้
พึงใช้สอดแทรกซึ่งกันและกันอย่างสลับซับซ้อน
ทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ

กลยุทธ์ที่ ๘ ลอบตีเฉินชัง
แสดงเคลื่อนให้เห็น ศัตรูสงบจึงกระทำ เข้าจู่โจมดุจพายุ

            กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ในการศึก ใช้โอกาสที่ฝ่ายข้าศึกตัดสินใจจะรักษาพื้นที่


แสร้งทำเป็นจะโจมตีด้านหน้า แต่เข้าจู่โจมในพื้นที่ข้าศึกไม่สนใจอย่างมิได้คาดคิด
ใน คัมภีร์อี้จิง ประโยชน์เรียกว่า เข้าจู่โจมดุจพายุซึ่งก็คือกลวิธีวกวนลอบเข้าจู่โจม
อย่างเป็นฝ่ายกระทำ เข้าตีข้าศึกโดยมิได้ระวังตัว เอาชนะอย่างมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง  

Saturday, April 7, 2018

ส่วนที่ ๒ กลยุทธ์เผชิญศึก : กลยุทธ์ที่ ๗ มีในไม่มี


ส่วนที่ ๒ กลยุทธ์เผชิญศึก
ยามเมื่อเผชิญศึก
เท็จลวงกับจริงแท้
พึงใช้สอดแทรกซึ่งกันและกันอย่างสลับซับซ้อน
ทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ
 


กลยุทธ์ที่ ๗ มีในไม่มี
ลวง ใช่ลวง จริงอยู่ในลวง มืดน้อย มืดมาก ก็สว่าง
            กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ให้ใช้ภาพลวงล่อหลอกข้าศึก แต่มิใช้จะล่อลวงจนถึงที่สุด หากแต่เพื่อแปรเปลี่ยนจากลวงเป็นจริง ทำให้ข้าศึกเกิดความหลงผิด ที่ว่า ลวงก็คือ หลอกลวง" ที่ว่า มืดก็คือ เท็จจากมืดน้อยไปจนถึงมืดมาก จากมืดมาก แปรเปลี่ยนเป็นสว่างแจ้ง ก็คือ ใช้ภาพลวงปกปิดภาพจริง ผันจากเท็จลวงให้กลายเป็นจริงแท้ นี่เป็นเรื่องในการศึก เท็จลวงและจริงแท้สลับกันเป็นฟันปลา ในจริงมีเท็จ ในเท็จมีจริง มีในไม่มีหมายถึงกลอุบายซึ่ง จริงในเท็จที่ใช้ภาพลวงล่อหลอกข้าศึก ให้ข้าศึกเกิดความหลงผิดอย่างหนึ่ง